ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 109 แต่งกับองค์ชายแปด
ตอนที่ 109 แต่งกับองค์ชายแปด?
ตอนที่ 109 แต่งกับองค์ชายแปด?
อากุ้ยลี่กินอีกหลายคำ ก่อนจะเช็ดเศษอาหารออกจากปาก “เหยียนอี้ เจ้าทำอาหารอร่อยจริง ๆ ต่อไปนี้ทำให้ข้าดีหรือไม่”
เหยียนอี้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากพระองค์ประสงค์เช่นนั้นก็ย่อมได้เพคะ”
อากุ้ยลี่พับถุงกระดาษน้ำมันอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เก็บเข้าไปในเสื้อ “ข้าจะเอากลับไปกิน”
เหยียนอี้รีบห้าม “อย่าเลยเพคะ… หากพระองค์พอพระทัย พรุ่งนี้หม่อมฉันจะทำขนมมาให้อีกสักหลาย ๆ ชิ้น ของพวกนี้เละหมดแล้ว อย่าเสวยเลยเพคะ”
อากุ้ยลี่กลับท้วงขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าชอบมาก”
องค์หญิงประคองเหยียนอี้ลุกขึ้นยืน ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่จนถึงทางแยก เหยียนอี้ต้องกลับตำหนักฉืออัน นางเดินไปทางทิศเหนือ ส่วนองค์หญิงอากุ้ยลี่อยู่ตำหนักหลินเจียงซึ่งอยู่ทางทิศใต้
เหยียนอี้เดินกลับไปตามทาง แต่พระราชวังกว้างมาก และสถานที่ที่อากุ้ยลี่พำนักอยู่ห่างไกลจากที่นี่มากนัก
เหยียนอี้กลัวว่าอากุ้ยลี่ไม่คุ้นเส้นทาง และจะหาทางกลับตำหนักไม่เจอ ยิ่งกลางดึกไร้ผู้คนเช่นนี้ อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ จึงยืนยันที่จะไปส่งนาง
อากุ้ยลี่ไม่ได้ปฏิเสธและรับคำเหยียนอี้
เหยียนอี้ลอบสังเกตใบหน้าของนางอย่างระมัดระวัง เวลาที่นางไม่ยิ้ม ใบหน้าที่กระทบแสงจันทรานั้นดูไร้สีเลือดราวกับกระดาษก็มิปาน
เมื่อมาถึงบริเวณตำหนักหลินเจียงซึ่งเป็นทางไปตำหนักบูรพา เหยียนอี้ก็มักจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันเกิดที่หลี่หรงอวี่พูดกับนาง แม้เรื่องนั้นจะผ่านมาแล้ว แต่บางอย่างในใจกลับไม่เหมือนเดิม
อากุ้ยลี่หยุดฝีเท้า หันมาถามเหยียนอี้ “ตำหนักนี้ไม่เหมือนกับตำหนักอื่น ๆ ในพระราชวัง สถานที่แห่งนี้คืออะไรหรือ?”
เหยียนอี้ตอบกลับ “ที่แห่งนี้คือตำหนักบูรพาขององค์ชายรัชทายาท ตำหนักในพระราชวังใช้กระเบื้องหินเงินนิลกาฬมุงหลังคา มีเพียงตำหนักเฉียนคุนกับตำหนักจาวหยางของฮ่องเต้และฮองเฮาที่ใช้หินสีเหลืองอร่าม ส่วนตำหนักบูรพาใช้กระเบื้องเพลิงแดง แสดงถึงความสูงศักดิ์เพคะ”
อากุ้ยลี่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าชาวอวี๋ช่างพิถีพิถันเหลือเกิน”
เหยียนอี้กำลังคิดจะชวนคุย ทว่าอากุ้ยลี่กลับถามขึ้นเสียก่อน “เจ้าเจอองค์รัชทายาทบ้างหรือไม่”
เหยียนอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง อากุ้ยลี่จึงตรัสต่อ “องค์ชายรัชทายาทของพวกเจ้าเป็นคนดีมาก”
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าอากุ้ยลี่กับหลี่หรงอวี่มีความสัมพันธ์กันอย่างไร จึงผงกศีรษะตาม
อากุ้ยลี่ทอดสายตามองตะเกียงในตำหนักบูรพา ความคิดล่องลอยไปแสนไกล “หากไม่ใช่เขาที่ทำให้ข้าไม่อยากตาย บางทีตอนนี้ข้าอาจตายไปแล้ว แต่เขาใช้วิธีข่มขู่ให้ข้าไม่กล้าตาย ข้าจึงไม่รู้สึกขอบคุณเขาแม้แต่น้อย”
ขณะที่อากุ้ยลี่กำลังคุยกับเหยียนอี้ องค์ชายแปดหลี่หรงเฉิงก็ออกมาจากตำหนักบูรพา สีหน้าดูแล้วไม่ค่อยยินดีนัก
หลี่หรงอวี่ที่อยู่ด้านหลังคว้าตัวองค์ชายแปดไว้ “เจ้าแปด! เจ้าหยุดก่อเรื่องเสียที! ดึกขนาดนี้! เจ้าจะไปไหน!”
หลี่หรงเฉิงสะบัดมือของหลี่หรงอวี่ทิ้ง “ข้าจะไปขอคำอธิบายกับเสด็จพ่อให้ชัดเจน!”
หลี่หรงอวี่หยุดเขา “ยามนี้เสด็จพ่อคงจะบรรทมแล้ว เจ้าไปวังเฉียนคุนโดยไม่ได้เตรียมตัวเช่นนี้จะพูดอะไรได้”
หลี่หรงเฉิงกล่าว “หากไม่ไปเวลานี้ ข้าต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้าเชียวหรือ เสด็จพ่อคงออกฎีกาต่อข้าราชบริพาร หากไม้กลายเป็นเรือ[1] แล้วยังต้องไปหาเขาอีกหรือ?”
หลี่หรงอวี่เห็นว่าหยุดเขาไม่ได้ จึงตัดสินใจชกเข้าที่หน้าอกของหลี่หรงเฉิง จนเขาถอยไปหลายก้าวพลางสบถว่า “หากไม่มีองค์หญิงอากุ้ยลี่ เจ้าจะทำอะไรได้ เก็บความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ไว้ซะ หรืออยากอภิเษกกับนางในฐานะพระชายา?”
หลี่หรงเฉิงฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ร่างกายแข็งแกร่ง แต่เมื่อถูกหลี่หรงอวี่ชกก็เจ็บปวดจนต้องงอตัวถอยหลังไปหลายก้าว
เหยียนอี้กับอากุ้ยลี่เห็นองค์ชายทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกันจึงรีบหลบไปด้านข้าง นึกอยากจะเดินหนีไป ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อได้ยินชื่ออากุ้ยลี่ นางก็อดไม่ได้ที่จะลอบฟัง
โชคดีที่แสงยามตรีมืดลงแล้ว สถานที่ที่พวกนางยืนอยู่มีรูปปั้นขวางทางไม่ให้องค์ชายทั้งสองมองเห็นพวกนางที่กำลังซ่อนอยู่
หลี่หรงเฉิงกำหมัดจนเห็นเส้นเลือดตรงหน้าผากชัดเจน แต่เขาไม่ได้สวนกลับหลี่หรงอวี่ เพียงแต่ตะคอกออกมาเสียงดังลั่น “หากวันนี้เป็นท่าน สถานการณ์กลับกันกับข้า ท่านจะสงบได้งั้นรึ พรุ่งนี้เช้าท่านจะมีความสุขหรือ”
หลี่หรงอวี่เห็นเขาพูดเสียงดังก็เกรงกลัวหูตาในวังจะได้ยิน จึงรีบไปปิดปาก แต่หลี่หรงเฉิงกลับหลบสัมผัสพี่ชายตนเอง “พี่รอง ข้ารู้ว่าข้าไม่มีทางเลือก แต่ข้าไม่สามารถนิ่งดูดายได้”
หลี่หรงอวี่ตวาดกลับ “เจ้าจะทำอะไรได้ ดึกขนาดนี้แล้ว ไปที่ห้องบรรทมเสด็จพ่อแล้วคุกเข่าขอร้องหรือ? เสด็จพ่อจะยอมฟังคำขอร้องของเจ้ารึ? ไม่ต้องเป็นเจ้าหรอก ต่อให้เป็นข้าก็ทำอะไรได้งั้นหรือ?
“เหตุใดเจ้าไม่คิดบ้าง หากเจ้าอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อแล้วพูดชื่อเหยียนจื่อออกมา พรุ่งนี้นางจะยังมีสิทธิ์เห็นพระอาทิตย์อยู่งั้นหรือ”
เหยียนอี้ได้ยินหลี่หรงอวี่พูดชื่อเหยียนจื่อออกมาก็ประหลาดใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างองค์ชายแปดกับเหยียนจื่อ
นางครุ่นคิด จับประเด็นรวบรวมคำพูดจากการที่ทั้งสองคนทะเลาะกัน ปะติดปะต่อเรื่องราวออกมา
คงจะเป็นเพราะฮ่องเต้ตัดสินใจเลือกองค์ชายแต่งงานเชื่อมไมตรีกับองค์หญิงอากุ้ยลี่ และนั่นคือองค์ชายแปดหลี่หรงเฉิง แต่ทว่าองค์ชายรัชทายาททราบข่าวก่อน จึงมาบอกองค์ชายแปดให้รับทราบ แต่ในใจองค์ชายแปดที่มีแต่เหยียนจื่อ เขาจึงไม่ยินยอม
เหยียนอี้เหลือบมองอากุ้ยลี่ที่ยืนอยู่ข้างกาย นางรีบเบิกตากว้าง จ้องมองหลี่หรงอวี่ จากนั้นหันมองเหยียนอี้ ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด
อากุ้ยลี่ไม่เต็มใจจากบ้านเกิดอันแสนห่างไกลเพื่อมาแต่งเข้าราชวงศ์อวี่เช่นกัน องค์ชายแปดก็มีคนในใจแล้ว ไม่อยากแต่งงานกับหญิงอื่น แต่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นนี้เอง เพื่อเชื่อมไมตรีระหว่างสองอาณาจักร พวกเขาทั้งสองคนไร้กำลังต่อต้านโดยสิ้นเชิง
อากุ้ยลี่เลือกที่จะอดอาหารต่อต้าน แล้วองค์ชายแปดล่ะ?
หากพระองค์ไปขอร้องฮ่องเต้ แน่นอนว่าย่อมไร้ประโยชน์ สถานะมารดาผู้ให้กำเนิดต้อยต่ำทำให้ฮ่องเต้ไม่สนใจเขา อีกทั้งยังใช้ประโยชน์จากเขาโดยจับแต่งงานเพื่อการเมือง
หากเขารับไว้ด้วยความยินดีก็แล้วไป หากเขาต่อต้านไม่ยินยอม และพูดออกมาว่าตนมีนางในใจ ฮ่องเต้จะตอบโต้เช่นไร? ดีใจปลื้มปริ่ม คิดว่าทั้งคู่เหมาะสมกัน เป็นคู่สร้างคู่สมจากสวรรค์งั้นหรือ
เหยียนจื่อเป็นเพียงนางรำสำนักเยว่ฝู่ ถึงแม้องค์ชายแปดจะไม่เป็นที่โปรดปราน แต่เขายังเป็นโอรสสวรรค์ คนหนึ่งอยู่บนสวรรค์ อีกคนอยู่บนพื้นดิน ไม่ต่างอะไรไปจากเมฆาเปื้อนโคลน
หลี่หรงเฉิงคว้าไหล่ของหลี่หรงอวี่แล้วขอร้อง “ท่านพี่รอง! องค์รัชทายาท! โปรดช่วยข้าคิดวิธีเถิด ได้โปรดช่วยข้า!”
หลี่หรงอวี่ปลอบโยนเขา “เจ้าหยุดกังวลก่อน กลับไปกับข้า พวกเรามาวางแผนระยะยาวกัน!”
หลี่หรงเฉิงฟังคำพูดของท่านพี่รองเสมอมา ทว่าในตอนนี้เขากลับร้อนใจดังไฟแผดเผา “พรุ่งนี้ฎีกาจะออกแล้ว พวกเรายังสามารถวางแผนระยะยาวอะไรได้อีก”
หลี่หรงอวี่ตอบ “เจ้าหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ยังสามารถทำอะไรได้รึ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเหยียนจื่อ หากถูกคนนอกรู้ ผู้อื่นจะพูดถึงเจ้าว่าอย่างไร พูดถึงเหยียนจื่อว่าอย่างไร หากเสด็จพ่อรู้แล้วคิดจะทำอย่างไรต่อ?”
หลี่หรงเฉิงตรัสต่อ “ข้าจะไปบอกเสด็จพ่อว่าข้ามีคนในใจแล้ว ไม่สามารถอภิเษกกับองค์หญิงหุยหู ขอให้เสด็จพ่อพระราชทานสมรสให้ข้ากับเหยียนจื่อ…”
หลี่หรงเฉิงตบต้นขาของตัวเอง “ใช่แล้ว ข้าจะไปขอร้องเสด็จพ่อพระราชทานสมรส ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่องค์ชายสำคัญอะไร งานแต่งงานของข้า เดิมทีเสด็จพ่อเคยบอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ…”
หลี่หรงอวี่หยุดเขาไว้ “หากเจ้าสังเกต พระชายาขององค์ชายสะท้อนอำนาจราชวงศ์มาโดยตลอด เจ้าชอบสตรีในพระราชวัง เป็นเพียงนางรำสำนักเยว่ฝู่ เสด็จพ่อจะยอมได้อย่างไร”
หลี่หรงเฉิงกล่าวว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับนางรำงั้นหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าก็ชอบพอกับนางในห้องเครื่องหรือ”
หลี่หรงอวี่ได้ยินเขาพูดถึงตนเองก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ “เพราะเหตุนี้ ทั้งเจ้าทั้งข้า เดิมก็ลุ่มหลงฝันลม ๆ แล้ง ๆ เจ้าแปด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าคือใคร เจ้าคือองค์ชายของอาณาจักรอวี๋”
“เจ้าจะชอบใคร ไม่ชอบใคร ทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่เจ้า หากเจ้าบอกเสด็จพ่อเกี่ยวกับเหยียนจื่อ บางทีเหยียนจื่ออาจต้องรับโทษข้อหาล่อลวงองค์ชายเป็นแน่ หากเสด็จพ่อทรงตรวจสอบขึ้นมา อาจจะเป็นเจ้าเองด้วยที่ถูกลงโทษข้อหาทำให้สตรีในตำหนักมีมลทิน”
หลี่หรงอวี่ไม่เพียงพูดกับหลี่หรงเฉิงเท่านั้น แต่ยังพูดกับตัวเองด้วย
ผลสุดท้ายที่ตามมาคงรุนแรงมากกว่าหลี่หรงเฉิงนัก เพราะเขาเป็นรัชทายาทแห่งราชวงค์ ผู้ปกครองคนต่อไปของประเทศ และสตรีในวังแห่งนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นข้าหลวงหรือนางรำ เพียงมีชื่อในพระราชวังก็เป็นสตรีของฮ่องเต้แล้ว
หลี่หรงเฉิงได้ยินความร้ายแรงในสิ่งที่อาจเกิดขึ้น เพราะรู้อยู่แล้วจึงไม่แสดงความตื่นตระหนกออกมา “ท่านพี่รอง ข้ารู้ ข้ากับเหยียนจื่อรักกันด้วยใจจริง ข้าปฏิบัติต่อนางด้วยความสุภาพ ไม่เคยละเมิดข้อห้าม…”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าพูด ข้าเชื่อ แต่เสด็จพ่อกับข้าราชบริพารจะเชื่อหรือ? คนในตำหนักทุกคนจะเชื่อหรือ? เหตุการณ์เช่นนี้ถึงเจ้าจะอยากเอาเหยียนจื่อมาเป็นสาวใช้ข้างห้องก็ยังยาก!”
หลี่หรงเฉิงส่ายหน้าไปมา “ไม่ ในใจของข้ามีนางคนเดียว ข้าต้องไม่ทำผิดกับนาง หากข้าอภิเษกกับนาง ข้าต้องรับนางมาเป็นพระชายาอย่างสง่าผ่าเผย!”
แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หลี่หรงเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
เขานั่งลงช้า ๆ ยกมือกุมศีรษะ กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ท่านพี่รอง ข้าเป็นเพียงองค์ชายที่มาจากพระสนมฐานะต่ำต้อย ไม่เหมือนกับท่าน แต่ทว่าเสด็จพ่อไม่ให้ข้าติดต่อกับข้าราชบริพาร เสด็จแม่ก็ไม่ยอมให้ข้าอภิเษกกับสตรีสกุลสูงศักดิ์ ขนาดเรื่องใหญ่เรื่องนี้ เหตุใดข้าไม่สามารถช่วยตนเองได้”
เหยียนอี้ฟังแล้วก็พบว่า แท้จริงแล้วองค์ชายแปดตกหลุมรักเหยียนจื่อ จนถึงขั้นมีความคิดอยากแต่งนางเป็นพระชายาองค์ชาย นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้อนใจ
แต่เรื่องราวนี้ช่างแสนยากเย็น แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้
หลี่หรงอวี่ตบหลังหลี่หรงเฉิงเบา ๆ ถอนหายใจ แล้วดึงตัวน้องชายขึ้น “แต่ตราบใดที่เรื่องนี้สามารถเป็นไปได้ ข้าจะช่วยเจ้า เพียงแต่…”
“เพียงแต่เรื่องนี้ เป็นเสด็จพ่อที่ตัดสินพระทัย ท่านก็พูดแบบเดิมจริงไหม” หลี่หรงเฉิงถาม
หลี่หรงอวี่พยักหน้า
หลี่หรงเฉิงนึกอะไรขึ้นได้ “ท่านพี่รอง ไม่ใช่ว่าท่านเคยบอกว่า องค์หญิงอากุ้ยลี่ก็มีคนในใจเช่นกันหรือ นางไม่อยากอภิเษกเข้าอาณาจักรเรา จึงอดอาหารประท้วง ถ้าเช่นนั้น…”
[1] ไม้กลายเป็นเรือ หมายความว่าเรื่องราวดำเนินไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
NT
明黄色瓦 กระเบื้องสีเหลือง : ตำหนักฮ่องเต้,ฮองเฮา
乌金石瓦 :หินเงินนิลกาฬ :ตำหนักทั่วไป
红瓦 :หลังคาแดงรัชทายาท