ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 108 ขนมเปี๊ยะไส้กุ้ง
บทที่ 108 ขนมเปี๊ยะไส้กุ้ง
บทที่ 108 ขนมเปี๊ยะไส้กุ้ง
เหยียนอี้ได้ยินองค์หญิงกล่าวเช่นนั้นก็วางใจ กระนั้นก็ยังพะว้าพะวง “องค์หญิงอากุ้ยลี่ กลางคืนเช่นนี้หนาวนัก นอกจากนี้ที่นี่ยังเงียบสงบ ไม่ควรอยู่นาน ข้าน้อยจะส่งท่านกลับตำหนัก”
“เงียบเกินไป?” อากุ้ยลี่กวาดตาไปรอบ ๆ “ใช่แล้ว เงียบสงบมาก ข้าอยู่ที่นี่มาสามชั่วยาม*[1] นอกจากเจ้า ก็ไม่มีใครพูดกับข้า”
สถานที่แห่งนี้มีคนผ่านมาน้อยมาก แม้จะมีสาวใช้และขันทีเดินผ่านมาก็ใช่ว่าส่วนใหญ่จะหยุดพัก ยิ่งไปกว่านั้นในพระราชวังแห่งนี้ ผู้คนล้วนเอาตัวรอดอย่างชาญฉลาด มีหรือที่จะอยากก่อปัญหา จะมีสักกี่คนที่กล้าเข้ามาชวนคุยเหมือนสาวใช้คนนี้?
เหยียนอี้เป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็ก ๆ ในวัง ไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดองค์หญิงหุยหูจึงเย็นชาเช่นนี้ อีกทั้งยังตั้งใจมาสถานที่แห่งนี้ นางมองแล้วจึงไม่อาจเพิกเฉยได้
นางก้าวไปข้างหน้าเงียบ ๆ ใช้สมองครุ่นคิดเกี่ยวองค์หญิง พยายามพูดอีกสักสองสามประโยคเพื่อเกลี้ยกล่อมนางให้ออกจากขอบบ่อที่เต็มไปด้วยอันตราย
เหยียนอี้พูดกับองค์หญิงว่า “ข้าน้อยคือคนครัวในห้องเครื่อง ได้ยินมาว่าองค์หญิงอาเจียน หลายวันนี้ไม่เสวยอาหาร วันนี้เสวยเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเพราะห้องเครื่องต้อนรับไม่รอบคอบหรือ?”
ขณะที่กำลังกล่าวไปเรื่อยเปื่อย นางก็ก้าวไปข้างหน้าด้วย ทว่าไม่คาดคิดว่าอากุ้ยลี่จะหันกลับมาพูดกับนางเสียก่อน “เจ้าอย่าก้าวเข้ามา มิฉะนั้นข้าจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว”
เหยียนอี้ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า จึงได้แต่ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
อากุ้ยลี่มองนางราวกับเห็นใจ “เจ้าวางใจเถิด วันนี้ข้าไม่ตายหรอก”
เหยียนอี้พึมพำในใจ ‘วันนี้ไม่ตาย แล้ววันพรุ่งนี้? วันต่อไปเล่า? องค์หญิงผู้นี้ไปประสบเรื่องราวมากมายขนาดไหนกันจึงคิดเช่นนี้?’
ทั้งสองคนชะงักไปครู่หนึ่ง เหยียนอี้ครุ่นคิดว่าไม่มีวิธีอื่นแล้ว นางไม่สามารถยืนตรงนี้ไปทั้งคืนได้ นางจึงพูดใหม่ว่า “คืนนี้สายลมเหน็บหนาวนัก เกรงว่าพระองค์จะต้องลมหนาวจนเจ็บไข้ สวมเสื้อคลุมของข้าน้อยก่อนดีหรือไม่?”
นางถอดเสื้อคลุมออก ยื่นให้อากุ้ยลี่อย่างระมัดระวัง แต่ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้เกินไป เกรงว่าองค์หญิงจะไม่พอใจจนกระโดดลงไปในบ่อน้ำ
อากุ้ยลี่ไม่ยอมรับเสื้อคลุมไป “เจ้าให้เสื้อของตัวเองกับข้า แล้วเจ้าจะไม่หนาวหรือ?”
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่สู้องค์หญิงเสด็จไปที่อบอุ่นพร้อมข้าน้อย แล้วเราสองคนจะได้ไม่ต้องลมหนาวตรงนี้มิดีกว่าหรือ”
อากุ้ยลี่ถึงกับฉงน “เจ้าเป็นคนแปลกนัก เดิมทีเจ้ามาคนเดียวก็ควรจากไปคนเดียว เหตุใดจึงมายืนอยู่กับข้าตรงนี้เล่า”
เหยียนอี้จึงกล่าวตอบ “ข้าน้อยหนังหนานัก ไม่กลัวลม แต่พระวรกายองค์หญิงล้ำค่า อีกทั้งยังสวมชุดบาง อยู่ที่นี่มาแล้วหลายชั่วยาม หากกลับไปจับไข้ ไม่ใช่ว่าอยากให้คนปรนบัติในตำหนักของท่านได้รับโทษหรือ?”
อากุ้ยลี่ถามกลับ “ข้าป่วย เหตุใดจึงต้องโทษผู้อื่น อีกอย่างไม่ได้มีใครพาข้ามาทิ้งไว้ที่แห่งนี้เสียหน่อย”
เหยียนอี้อธิบาย “ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะไม่รู้กฎในวังของเรา ท่านเป็นเจ้านาย เดิมทีสาวใช้ควรปรนนิบัติท่านหนึ่งก้าวไม่ห่าง แต่พวกนางกลับปล่อยให้ท่านมายืนอยู่ริมบ่อน้ำท่ามกลางลมหนาว หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วไป”
“แต่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เช่นว่าท่านพลัดตกน้ำ หรือต้องลมเย็นจนจับไข้ ผู้ดูแลกฎย่อมไม่โทษท่าน แต่จะลงโทษสาวใช้ข้างกายท่านแทนเพราะไม่ดูแลเจ้านายให้ดี”
เดิมทีอากุ้ยลี่ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าสาวใช้ในวังจะถูกลงโทษหรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงอาเมียนต้าที่ไม่รู้ว่าวันนี้เสียน้ำตากับนางไปเท่าไร สุดท้ายยังได้รับโทษแทนนางอีก มิใช่ว่าเกินไปหรือ?
อากุ้ยลี่ใจอ่อนแล้ว เหยียนอี้จึงฉวยโอกาสช่วงที่องค์หญิงไม่ทันตั้งตัวเพื่อก้าวไปด้านหน้า จากนั้นก็รีบดึงนางมาข้างกาย
ทั้งอากุ้ยลี่ที่ไม่ทันตั้งตัว ทั้งเหยียนอี้ที่ดึงด้วยกำลังที่แข็งแกร่งเกินไป อีกทั้งก้อนกรวดตะไคร่น้ำที่เกาะบนกรวดก็ลื่นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองจึงล้มลงกับพื้นไปพร้อมกัน
แขนของเหยียนอี้เดิมทีเพิ่งบาดเจ็บมาก็ถูกอากุ้ยลี่ทับ ทำให้แขนของนางกระแทกพื้นอีกครั้ง นางเจ็บจนกัดฟันพูดไม่ออก
อากุ้ยลี่ถูกดึงอย่างแรงก็โมโหไม่น้อย แต่หลังจากเห็นเหยียนอี้บาดเจ็บก็อดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
เหยียนอี้กดแขนของนาง ถอนลมหายใจเบา ๆ นางอยากจะตอบกลับว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่มันก็ช่างเจ็บเหลือเกิน นางจึงโพล่งออกมา “ข้าไม่เป็นไร ท่านช่วยข้าดูหน่อยเถิดว่าเลือดไหลหรือไม่”
อากุ้ยลี่ยกศอกเหยียนอี้ขึ้นเล็กน้อย เห็นว่าชายเสื้อที่ข้อศอกด้านหลังขาด แม้ว่าจะไม่มีเลือดไหลออกมา แต่ก็มีคราบเลือดอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าเหยียนอี้จะล้มลงมาอย่างแรง
องค์หญิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบดินโคลนทรายบนบาดแผลเหยียนอี้เบา ๆ คนเจ็บได้แต่กำมือด้วยความเจ็บปวด
อากุ้ยลี่มองนางอย่างรู้สึกผิด ดวงตากลมโตจึงคลอไปด้วยน้ำตาอย่างเห็นได้ชัด ตานางบวมจากการร้องไห้เสียแล้ว ตอนที่มองเหยียนอี้เช่นนี้ ราวกับความรู้สึก ‘สงสารจับใจ’ ของอากุ้ยลี่ส่งผ่านสายตาออกมา ชายใดในใต้หล้าจะต้านทานได้?
เหยียนอี้เป็นสตรียังอดไม่ได้ที่จะลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ใต้หล้านี้ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่มีผู้ใดไม่รักคนงาม
ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วอดหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้
รอยยิ้มนี้เหมือนกับสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ความเจ็บปวดของเหยียนอี้ค่อย ๆ บรรเทาลง
อากุ้ยลี่ไม่คิดว่าพื้นสกปรกเท่าไรนัก นางจึงนั่งลงข้างเหยียนอี้แล้วถามขึ้นว่า “เจ้าชื่ออะไร”
เหยียนอี้ตอบกลับ “ข้าชื่อเหยียนอี้ เหยียนจากอักษรเหยียน อี้จากพิธี”
อากุ้ยลี่ยิ้มและแนะนำตนเองบ้าง “อากุ้ยลี่แปลว่าดอกไม้บนจันทราในภาษาหุยหู”
เหยียนอี้มองรอยยิ้มของอากุ้ยลี่ มันสว่างเจิดจ้าราวกับแสงจันทรา ดุจบัวหิมะผลิบานก็มิปาน ช่างเป็นชื่อที่เหมาะกับคนงามยิ่งนัก
อากุ้ยลี่อยากจะพันผ้าเช็ดหน้าให้ เหยียนอี้นึกได้ว่าเพิ่งรับตลับยาจากฝ่ายกองโอสถไปเมื่อครู่ นางจึงหยิบมันออกมา
นอกจากตลับยาแล้ว นางยังหยิบถุงกระดาษน้ำมันมาด้วย ด้านในห่อมีขนมหลายชิ้นที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อไม่นาน น่าเสียดายนักเพราะถูกนางล้มทับจึงเละไปหมดเสียแล้ว
อากุ้ยลี่ไม่เคยเห็นขนมเช่นนี้มาก่อน จึงถามด้วยความสงสัย “นี่อะไร?”
เหยียนอี้ชี้ไปที่กองขนมซึ่งถูกทับจนยากจะแยกออก แล้วตอบออกไปว่า “อันนี้คือขนมฟู่หรงหยดน้ำค้าง อันนี้คือขนมไข่มุกเมฆา ขนมอี๋พิรุณใบไม้ร่วงเพคะ”
แม้ว่าอากุ้ยลี่จะพูดภาษาอวี๋ได้คล่อง แต่นางไม่ได้ชำนาญศัพท์เฉพาะ ได้ยินแล้วจึงรู้สึกมึนงง นางฟังเหยียนอี้เล่าว่าขนมเหล่านี้ทำมาจากอะไรก็อดชื่นชมอย่างเสียไม่ได้
“พวกเจ้าชาวอวี๋ช่างคิดช่างทำเสียจริง อาหารก็สามารถทำออกมาได้หลากหลายนัก พวกข้าหุยหู ใช้เพียงน้ำมันทอดกับย่างแล้วเอาเข้าปากเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงอาหารในบ้านเกิด อากุ้ยลี่ก็ร่าเริงขึ้นเล็กน้อย นางแหงนมองท้องฟ้าแล้วเล่าต่อ “เพียงแต่ว่าพวกข้ามีซาลาเปาไส้หนาง*[2] ไก่หม่าล่า เนื้อแกะเสียบไม้ และน้ำคาวาซือ*[3] ที่อร่อยมาก…”
เมื่อพูดถึงอาหาร เหยียนอี้ก็พูดมากขึ้นด้วยเช่นกัน “เมื่อก่อนในห้องเครื่องหลวงของพวกเรามีพ่อครัวมากความสามารถ ทำไก่หม่าล่าของพวกท่านได้ รสชาติทั้งหอมทั้งเผ็ด รสเลิศจริง ๆ”
อากุ้ยลี่ได้ยินนางชมอาหารบ้านเกิดของนางก็ดีใจ “ใช่แล้ว ข้าก็ชอบไก่หม่าล่าเช่นกัน อาเหมียนต้ามักจะชอบทำไก่เผ็ด”
“ข้าทำอาหารไม่เป็น จึงมักจะบอกให้นางทำให้ข้ากิน นางทำไก่เผ็ดกรอบสีเหลืองทองได้ ไม่จำเป็นต้องให้พ่อครัวในวังทำเลย! อย่างไรพวกเจ้าชาวอวี๋ก็ไม่ชอบกินเผ็ดไม่ใช่หรือ”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเพคะ ดินแดนอวี๋ของเราใหญ่โต แต่ละท้องถิ่นจะมีขนบธรรมเนียม มีความชื่นชอบแตกต่างกันไป อาหารในเขตเจียงหนานส่วนใหญ่จะมีรสเบา แต่เขตเสฉวนชอบอาหารรสเผ็ด แต่ละคนมีความชอบแตกต่างกัน ครอบครัวของข้าไม่ชอบกินเผ็ด แต่ข้ากลับชอบมาก”
อากุ้ยลี่พยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเราในหุยหูก็เช่นกัน ทางใต้กับทางเหนือของภูเขาเทียนซานต่างกัน ทางเหนือมีภูเขาทุ่งหญ้า แต่ทางใต้มีทะเลทรายรอบด้าน ข้าเติบโตในโอเอซิส แต่กลับชอบมองภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ”
นางกำลังพูดอยู่ ทว่าจู่ ๆ ก็กลับมาหดหู่อีกครั้ง เหยียนอี้เห็นนางก้มหน้าลงพลางกดเสียงให้เบาลง “น่าเสียดาย ต่อไปนี้ข้าจะไม่ได้เห็นภูเขาถังกูลา*[4] แล้ว”
เหยียนอี้ไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร นางเดินทางมาหลายพันลี้เพื่อมาอาณาจักรอวี๋ คิดแล้วไม่รู้ต้องรวบรวมความกล้าหาญเพียงใด ไม่รู้จะว่าต้องเอาชนะความกลัวแค่ไหนกัน!
นางแตะหลังอากุ้ยลี่เบา ๆ แล้วกล่าวว่า “องค์หญิง ท่านรู้หรือไม่ นอกเมืองหลวงของพวกเรามีแม่น้ำสายหนึ่งชื่ออันหลิง*[5] ที่นั้นคือต้นสายแม่น้ำที่ไหลเข้าเมืองหลวง น้ำในวังของเราล้วนมาจากแม่น้ำอันหลิง”
“แม่น้ำนั้นคือแม่น้ำสายรองของแม่น้ำแยงซี และแม่น้ำแยงซีคือแม่น้ำโถ่วโถว*[6] ที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาถังกูลา แม้ท่านจะอยู่ห่างจากบ้านเกิดหลายหมื่นลี้ แต่น้ำที่ท่านใช้ทุกวันมาจากแม่น้ำโถ่วโถวในบ้านเกิดของท่านไม่ใช่หรือ?”
อากุ้ยลี่เงยหน้า ดวงตาคู่นั้นคลอด้วยหยาดน้ำตาอยู่รำไร “จริงหรือ? ไม่สิ น้ำที่นี่แตกต่างจากน้ำในบ้านเกิดของข้า น้ำที่นั่นหวาน แต่น้ำที่นี่มีรสขม”
นางชี้ไปยังบ่อน้ำเบื้องหน้า “น้ำที่นี่สกปรกและขมมาก จันทราสาดส่องลงมา แม้แต่เงาผู้คนก็ยังมองไม่เห็น”
เหยียนชี้ไปที่ท้องฟ้า “แต่จันทราดวงนี้กับที่เห็นที่บ้านเกิดเป็นดวงเดียวกันไม่ใช่หรือ”
อากุ้ยลี่มองขึ้นไปตามนิ้วมือของเหยียนอี้ที่ชี้ไปยังท้องฟ้า ยิ้มอย่างขมขื่นออกมา “ตอนข้าออกเดินทางนั้นเป็นจันทราดวงใหม่ รอนแรมอยู่สามเดือน ระหว่างทางเห็นจันทราเสี้ยวสองดวง เจ้าเห็นไหม ตอนนี้บนฟากฟ้าในเมืองหลวงแห่งนี้เป็นจันทร์แรมแล้ว”
เหยียนอี้ไม่รู้จะพูดอะไร นางทำได้เพียงปลอบโยน “อีกไม่กี่วัน จันทร์แรมจะเปลี่ยนเป็นจันทราดวงใหม่ วนเวียนไปมาเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ใช่หรือ”
เหยียนอี้เห็นนางมีทีท่าเฉยเมยราวกับถ่านที่มอดไป จึงอดไม่ได้ที่จะกลัดกลุ้ม
อากุ้ยลี่เช็ดน้ำตา หยิบขนมเปี๊ยะไส้กุ้งที่ถูกบี้ในถุงกระดาษน้ำมัน เปิดปากถุงออกแล้วกินเข้าไปหนึ่งคำ
“ท่านอย่ากิน มันเละหมดแล้ว” เหยียนอี้ห้าม
แต่อากุ้ยลี่กลับบอกว่า “อร่อยมาก” หลังจากนั้นนางก็กัดอีกคำหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ในตำหนักคนครัว นางได้ปรุงอาหารล้ำค่ามามากนัก ส่งไปที่ตำหนักหลินเจียงไปมากมายดั่งสายน้ำ องค์หญิงไม่แม้แต่จะเหลือบมองหรือเสวยสักคำเดียว แต่ตอนนี้นางนั่งลงบนพื้น กินขนมเปี๊ยะไส้กุ้งอย่างเอร็ดอร่อย
เหยียนอี้เห็นเช่นนี้ก็โล่งใจเล็กน้อย
ไม่รู้เหตุใด พวกนางทั้งสองคนเพิ่งจะรู้จักกัน แต่ในใจเหยียนอี้กลับรู้สึกสนิทสนมยิ่งนัก นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดใจของนาง
คงจะเหมือนคนสองคนที่คบค้าสมาคมกัน มันอาจเกิดขึ้นได้จากสถานที่อันเหมาะสมสักแห่ง โดยเฉพาะสถานที่ในการพบเจอกันครั้งแรก จากนั้นจึงจะสามารถเรียกมันได้ว่ามิตรภาพ
[1] หนึ่งชั่วยาม คือสองชั่วโมง
[2] ซาลาเปาไส้หนาง คือซาลาเปาไส้อิสลาม
[3] คาวาซือ เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่ำ ทำจากธัญพืชหมักที่มีลักษณะขุ่นเล็กน้อย มีสีน้ำตาลอ่อน และรสหวานอมเปรี้ยว อาจปรุงแต่งด้วยผลเบอร์รี ผลไม้ สมุนไพรหรือน้ำผึ้ง
[4] ถังกูลา คือภูเขาหิมะบ้านเกิดองค์หญิงหุยหู เป็นยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี หยดน้ำจากหิมะที่ละลายจากธารน้ำแข็งสายใหญ่หลายสายรวมกันเป็นแม่น้ำ เริ่มการหลั่งไหลอันยิ่งใหญ่ของแม่น้ำแยงซีเกียง
[5] แม่น้ำอันหลิง เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลเข้าเมือง
[6] แม่น้ำโถ่วโถว เป็นแม่น้ำที่ต้นสายกำเนิดมาจากภูเขาถังกูล่า