ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 107 บ่อน้ำยามค่ำคืน
บทที่ 107 บ่อน้ำยามค่ำคืน
บทที่ 107 บ่อน้ำยามค่ำคืน
เหวินต้าชิงกล่าวต่อ “แต่นางไม่ได้บอกว่าอร่อยหรือไม่ นางไม่ได้ตรัสอะไรเลย จากนั้นไม่นานก็ร้องไห้ออกมา เฮ้อ ช่างเป็นเสียงร้องไห้ราวกับท้องนภาจะจมลงในแม่น้ำเหลืองเหลือเกิน น้ำเสียงช่างไพเราะ ทว่าเสียงร้องไห้ของนางทำร้ายจิตใจยิ่งนัก ข้าได้ยินยังรู้สึกเศร้าไปด้วย”
หลางกวนเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย “หรือว่าเป็นเพราะใต้เท้าเหวินทำกุ้งเมาหนวดมังกรดีเกินไป องค์หญิงก็ถึงกับซาบซึ้งจนน้ำตาไหล?”
เหวินต้าชิงส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ เหตุใดนางจึงร้องไห้ ช่างเป็นเสียงร้องไห้ที่ทำร้ายจิตใจนัก ตอนข้าออกมา ยังได้ยินเสียงนางร้องไห้อยู่เลย”
เหยียนอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “หุยหูมีสุราดีชนิดหนึ่งคล้ายกับสุราปี้เย่ฮวาโหย่วจากภัตตาคารจุ่ยเซียนต้งถิง คิดดูแล้วองค์หญิงอากุ้ยลี่คงจะคิดถึงรสชาติบ้านเกิด จึงร้องไห้โศกเศร้าออกมาอย่างสะเทือนใจ”
หลางกวนเอ๋อร์เสริมขึ้นอีกว่า “แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้สินะ เป็นพวกเราที่เข้าใจผิด ต้องชูรสชาติบ้านเกิดของผู้อื่นออกมานี่เอง จึงทำให้นางเสวยได้”
แต่เหยียนอี้กลับกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าองค์หญิงเป็นนักชิมเช่นเจ้าหรือ นางให้โจทย์ยากกับพวกเราห้องเครื่องหลวงเพียงเป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมเสวยอะไร หากนางคิดจะอดอาหารอย่างจริงจัง แม้เจ้าทำอาหารอร่อยเหนือโลกาเพียงใดก็เปล่าประโยชน์”
“ตอนนี้นางกินอาหารของนายท่านเหวินหมดจาน เสวยแล้วได้รสชาติบ้านเกิด นางคงเปลี่ยนใจเลิกอดอาหารประท้วง”
หลางกวนเอ๋อร์พยักหน้าราวกับว่าเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ จึงถามเหวินต้าชิงอีกครั้ง
“นายท่านเหวิน ได้ยินมาว่าองค์หญิงงามล่มเมือง มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภาจันทราหลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง จริงหรือไม่? นางอดอาหารมาหลายวัน คงจะหิวจนผอมแห้งผิวเหลือง เช่นนี้ยังงดงามอยู่หรือ”
ก่อนที่เหวินต้าชิงจะตอบได้ เสี่ยวอวิ๋นขันทีชิมอาหารก็หัวเราะเสียก่อน “หลางกวนเอ๋อร์ เจ้าจะถามเรื่ององค์หญิงงดงามหรือไม่ไปเพื่ออะไร เจ้าพูดไร้สาระนัก”
หลางกวนเอ๋อร์หน้าแดงด้วยความอับอาย “พวกเราไม่มีเส้นสาย แต่ก็ไม่ได้ตาบอด เหตุใดจึงไม่อนุญาตให้เห็นคนงาม”
เสี่ยวหยุนจื่อถ่มน้ำลาย “ก็เจ้าสารเลวเช่นนี้ ยังคิดจะเห็นคนงาม? เหอะ ข้ากับใต้เท้าเหวินไปถวายอาหาร แม้แต่ห้องบรรทมขององค์หญิงก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ได้ยินแค่เสียงร้องไห้ขององค์หญิงผ่านม่านกั้นเท่านั้นแหละ!”
“เสียงนั้นช่างไพเราะจนดีดกู่เจิงไม่ออกอย่างแท้จริง ราวกับกระดิ่งเงินมิปาน น่าสงสารจับใจ ผู้ฟังล่องลอยผ่านสายลม…”
หลางกวนเอ๋อร์ร้อง ‘อ่า’ หนึ่งคำแล้วกล่าวต่อ “แค่เสียงร้องไห้ เจ้าไม่เห็นต้องคิดอะไรมากมาย”
“หลางกวนเอ๋อร์ หากเจ้าอยากเห็นองค์หญิง ไปยืนเฝ้าหน้าตำหนักหลินเจียงไม่ดีกว่าหรือ ไม่แน่เวลาองค์หญิงออกมามองพระอาทิตย์อัสดง เจ้าอาจจะได้เห็นนาง”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา
หลางกวนเอ๋อร์รู้ว่าทุกคนกำลังขบขัน เขาจึงร่วมหัวเราะด้วยเสียเลย
เหวินต้าชิงกล่าว “พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงฉลอง ต้อนรับทูตชนเผ่าหุยหูกับทูตอาณาจักรเหยียนในวัง ถึงเวลานั้นองค์หญิงต้องอยู่ที่นั่นแน่นอน พรุ่งนี้ห้องเครื่องหลวงวุ่นวาย กำลังคนไม่พอ พวกเจ้าต้องไปช่วยงาน บางทีตอนพวกเจ้ากำลังทำงานอยู่อาจจะมองเห็นองค์หญิงจากระยะไกลก็เป็นได้”
หลางกวนเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตื่นเต้น “จริงหรือ? พวกเราก็สามารถเห็นองค์หญิงอากุ้ยลี่ด้วย?”
เหวินต้าชิงกล่าว “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับโชคชะตา หากเวลานั้นพวกเจ้ายกอาหาร พลาดช่วงองค์หญิงแสดงระบำ มันก็เปล่าประโยชน์”
กล่าวถึงตรงนี้ เหวินต้าชิงก็หันหน้าไปถามเหยียนอี้ “เมื่อครู่นี้ พ่อครัวเว่ยที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในห้องเครื่องหลวงถามข้า ตำหนักฉืออันของพวกเราทำอาหารซินเจียงเป็นหรือไม่ เขาอยากให้นำคนไปช่วยทำอาหาร เจ้าอยากไปไหม”
เหยียนอี้ครุ่นคิด “อาหารซินเจียง? แค่เน้นพวกเนื้อแกะรสเผ็ด ขนมเปี๊ยะไส้ไก่ใช่ไหม แม้ไม่ชำนาญ แต่ช่วงก่อนหน้านี้อยู่ร้านอาหารนอกวังก็เคยทำหลายครั้ง เพื่อต้อนรับลูกค้าชาวหุยหู”
เหวินต้าชิงกล่าว “เท่านี้ก็พอแล้ว งานเลี้ยงฉลองพรุ่งนี้ คนครัวในห้องเครื่องหลวงไม่พอ เจ้ากับหลางกวนเอ๋อร์แล้วก็ต้าโจว เสี่ยวอวิ๋น ทุกคนไปช่วยงานห้องเครื่องหลวง ถือว่าช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงในพระราชวัง ห้องเครื่องหลวงมักจะขอยืมคนครัวตำหนักอื่นชั่วคราว เหยียนอี้และคนอื่น ๆ จึงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะในที่สุดองค์หญิงอากุ้ยลี่ก็ยอมเสวยอาหารแล้ว นอกจากนี้ยังเสวยกุ้งเมาหนวดมังกรของเหวินต้าชิง โจ๊ก และน้ำแกงหมดจาน
ทว่าเป็นเพราะนางอดอาหารมาหลายวัน จู่ ๆ กินอาหารเข้าไปปริมาณมาก อีกทั้งกุ้งเมาหนวดมังกรก็มีสุราไม่น้อย ในท้องของนางจึงอึดอัด อาเจียนออกมาหนึ่งครั้ง หลังอาเจียนเสร็จก็ผล็อยหลับไป
หลังจากหมอหลวงมาดูอาการ นางก็ตื่นขึ้น สีหน้ากับผิวพรรณดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
เมื่อคนผู้หนึ่งอยากมีชีวิตอยู่แล้วก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ในคืนนั้นหลังจากเหยียนอี้เสร็จงาน นางก็อยู่ในห้องเครื่องต่อสักพักนางลองทำอาหารจานใหม่สองจาน จากนั้นก็เดินกลับไปยังเรือนนอน
นางเพิ่งลองทำขนมเปี๊ยะสองชิ้น รู้สึกได้ว่ารสชาติไม่เลว จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาห่อเก็บไว้ เตรียมแบ่งไว้ให้หลางกวนเอ๋อร์จอมตละกิน
แต่คิดไม่ถึงว่าจะดึกเช่นนี้ แสงไฟจึงสลัว มองเห็นถนนได้ไม่ชัด เหยียนอี้ไม่ทันระวังจึงล้มบาดเจ็บตรงข้อศอก
นางร้องด้วยความเจ็บปวด กลางดึกบนถนนนั้นไร้ผู้คน แม้นางจะร้องออกมาก็ไม่มีใครสนใจ มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องให้เห็นร่องรอยบาดแผล โชคดีที่แผลไม่ร้ายแรงนัก มีเพียงรอยถลอกเปื้อนเลือดเล็กน้อย
แม้ว่าจะล้มไม่แรง แต่ศอกกระแทกกับพื้นจนบาดเจ็บ เมื่องอแขนก็ยังเจ็บเล็กน้อย เหยียนอี้โกรธตัวเองที่ไม่ระมัดระวัง นางเดินกุมแขนไปยังกองโอสถ
ดึกป่านนี้หวังว่ากองโอสถยังมีคนอยู่ เพื่อให้นางนำสมุนไพรมารักษาบาดแผล
กองโอสถห่างออกไปไม่ไกลนัก ต้องเดินออกตำหนักฉืออันไปยังบ่อน้ำที่ปลูกดอกบัวเรียงราย ตามทางปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว
บ่อน้ำไม่ใหญ่นัก ผนวกกับสถานที่ถูกละเลย กอปรกับช่วงนี้คือช่วงต้นฤดูหนาว ไม่มีดอกบัวขึ้นมานานแล้ว ค่ำคืนแสนยาวนานเช่นนี้จึงไร้ผู้ใดปรากฏกาย
เป็นเพราะแสงจันทร์สลัวทำให้มองภาพใดไม่ชัดนัก เหยียนอี้จึงกวาดตาไปรอบ ๆ
กลางดึกเช่นนี้คิดเสียว่าเป็นสาวใช้ตัวน้อยในวังมาเดินเล่น กระนั้นนางก็ไม่วางใจ รีบเร่งฝีเท้าไปเอาสมุนไพรที่กองโอสถ
ขันทีฝ่ายกองโอสถเป็นคนใจร้อนปราดเปรียว เมื่อเห็นบาดแผลเหยียนอี้ก็มุ่ยหน้า “แม่ครัวเหยียน ค่ำคืนดึกดื่นท่านยังเที่ยวมาที่นี่ โชคดีที่มาทันเวลานี้ หากดึกกว่านี้อีกนิดเดียว แผลที่ข้อศอกคงสมานกันแล้วกระมัง!”
เหยียนอี้ฟังเขาพูดจาเจ็บแสบทว่าน่าสนใจนัก จึงไม่อยากปะทะริมฝีปาก “ข้ายังไม่ได้ทา ตัวเองก็ดีขึ้นแล้ว ยาฝ่ายกองโอสถของพวกท่านนั้นเป็นยาขนานวิเศษเกินไปแล้วกระมัง ยังไม่ทันทายา บาดแผลก็หายเสียก่อน”
ขันทีหันกลับมาหยิบตลับเล็ก ๆ ที่ใส่ยาสมุนไพรแล้วยื่นให้เหยียนอี้ “แม่ครัวเหยียน ทายานี้สองครั้ง วันนี้อย่าให้โดนน้ำก็จะดีขึ้น”
เหยียนอี้กล่าวขอบคุณเขา และเก็บตลับยาเล็ก ๆ ไว้ในเสื้อของนาง ก่อนจะเดินกลับตำหนักฉืออัน
นางเดินผ่านบ่อน้ำอีกครั้ง ก็เห็นสตรีคนหนึ่งอยู่ริมบ่อ เท้าทั้งสองข้างยืนอยู่บนขอบบ่อราวกับว่านางต้องทิ้งตัวลงไปก็มิปาน
นางจึงรีบตะโกนออกไปว่า “ระวัง!”
คนผู้นั้นหันกลับมา ทว่าดูไม่เหมือนสาวใช้ทั่วไปในวัง นางมีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะ สวมชุดสีขาว ท่ามกลางสายลมในคืนนี้ เสื้อคลุมจึงพลิ้วไหวราวกับเซียนตกสวรรค์
เหยียนอี้เกรงว่าคนผู้นี้จะตกน้ำกลางดึก นางจึงรีบวิ่งไปหาสตรีผู้นั้นเพื่อพาตัวลงมา
การฆ่าตัวตายในวังถือว่าเป็นบาปร้ายแรง หากนางตกลงไปบ่อน้ำอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
เหยียนอี้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น เจ้าตัวมีจมูกโด่ง ดวงตากลมโตที่ดูเดี๋ยวครึ้มทะมึนเดี๋ยวสว่างกระจ่าง บนใบหน้านั้นดูไร้อารมณ์
สตรีผู้นี้ไม่คล้ายคนจากที่ราบตอนกลางทั่วไป แต่คล้ายกับชาวหุยหูในเขตตะวันตกอยู่บ้าง เปรียบได้ว่างดงามกว่าสตรีที่เหยียนอี้เคยพบเจอตามท้องถนนหลายเท่า
เหยียนอี้เองก็นับว่าเป็นคนงามผู้หนึ่ง แต่เมื่อเปรียบกับสตรีผู้นี้อย่างไรก็ห่างชั้นนัก
นางนึกถึงข่าวลือในวังขึ้นมาได้ คิดดูแล้วสตรีงามล่มเมืองผู้นี้ต้องเป็นองค์หญิงอากุ้ยลี่ที่ชาวหุยหูส่งมาเป็นแน่
อากุ้ยลี่หันหน้ามา เหลือบมองเหยียนอี้เล็กน้อย ท่าทียังคงไร้ความสนใจ นางยังคงหันหน้ามองดูผิวน้ำไร้คลื่นลมอยู่เช่นนั้น
“ตรงนี้มีตะไคร่น้ำ ระวังลื่น” เหยียนอี้พูดกับนางอย่างระมัดระวัง อยากจะเข้าไปดึงนางเพื่อไปยังที่ปลอดภัยเสียเหลือเกิน
แต่อากุ้ยลี่ทำราวกับไม่ได้ยินก็มิปาน นางไม่ขยับแม้แต่น้อย
เหยียนอี้นึกได้ว่านางไม่กินไม่ดื่มมาหลายวันแล้ว ค่ำคืนนี้กลับยืนอยู่ที่บ่อน้ำ หรือว่าตั้งใจจะฆ่าตัวตาย? นางถึงกับตกใจทันที หญิงสาวผู้งดงามราวกับบุปผา แท้จริงแล้วประสบพบเจอเรื่องอะไรมา เหตุใดจึงดูถูกชีวิตตัวเองเช่นนี้เล่า?
นางกลัวว่าองค์หญิงอากุ้ยลี่จะกระโดดลงไปในน้ำ เหยียนอี้ว่ายน้ำไม่เป็น รอบ ๆ ยังไร้ผู้คน กว่าจะหาคนมาช่วยเหลือก็คงไม่ทันแล้ว นางจึงได้แต่เอ่ยไปเรื่อยเปื่อย “น้ำในบ่อนี้ตื้นมาก คนลงไปแล้วอยู่ประมานแค่เอว แต่หากตกลงไปต้องเปื้อนโคลนกับเปียกน้ำทั้งตัวเป็นแน่ ลงมานี่เร็วเข้าเพคะ”
ประโยคนี้ล้วนโกหก แม้บ่อน้ำแห่งนี้จะไม่ใหญ่ แต่ก็ถูกขุดลงไปลึกจนมิดตัวคน ไม่มีแม้แต่ทางลาดขึ้นฝั่ง โคลนด้านในลึกมากพอที่จะฆ่าคนได้ หากตกลงไป แม้น้ำในบ่อมีไม่มาก แต่โคลนก็มากเพียงพอที่จะทำให้ตายได้
อากุ้ยลี่ไม่รู้ความลึกของบ่อน้ำในวัง หลังจากได้ยินสิ่งที่เหยียนอี้พูดก็ยอมฟังแต่โดยดี
เพียงแต่นางไม่ได้ลงมาตรงที่เหยียนอี้ยืนอยู่ แต่ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ขาของนางข้างหนึ่งอยู่ด้านนอก
เหยียนอี้อุทาน เอื้อมมือไปดึงองค์หญิงไว้ แต่ด้วยระยะห่าง นางจึงไม่สามารถคว้าแม้แต่ชายเสื้อ นางไม่กล้าเข้าไปใกล้ เกรงว่าจะทำให้องค์หญิงตกใจ
อากุ้ยลี่ระบายรอยยิ้มจาง ๆ ไม่ได้ตั้งใจเดินลงบ่อน้ำ
นางหันกลับมาพูดกับเหยียนอี้ “ไม่ต้องห่วง แม้ข้าอยากตายก็ไม่ตายในบ่อน้ำสกปรกเช่นนี้”
เดิมทีบ่อน้ำนี้ปลูกดอกบัวไว้ไม่น้อย ตอนนี้อากาศหนาวเย็น ดอกบัวล้วนเหี่ยวแห้งไปนานแล้ว จึงเหลือเพียงก้านแห้งจมลงในบ่อน้ำ
เพียงเพราะเป็นบ่อน้ำนิ่งไม่เชื่อมกับระบบน้ำอื่น ๆ ภายในวัง อีกทั้งตั้งอยู่ในที่ห่างไกล ไม่เหมือนสระสองสามแห่งในสวนของวัง นาน ๆ ทีจะมีผู้คนมาทำความสะอาด จึงมีตะไคร่น้ำกับใบไม้ที่ร่วงหล่นลอยอยู่จำนวนมาก แลดูไม่ค่อยสะอาดจริง ๆ
เกร็ดความรู้อาหารซินเจียง
อาหารซินเจียง ซินเจียง หรือเรียกเต็มยศว่า เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์หรือหุยหูนั่นเอง เป็นหนึ่งในห้าเขตปกครองตนเองของจีน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ส่วนใหญ่เป็นอาหารอิสลาม เน้นแพะและแกะที่เลี้ยงในอากาศหนาวเย็น