ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 106 ตำนานกุ้งเมาหนวดมังกร
บทที่ 106 ตำนานกุ้งเมาหนวดมังกร
บทที่ 106 ตำนานกุ้งเมาหนวดมังกร
ผิงหยางสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปยังตำหนักของตัวเอง ระหว่างทางก็บ่นกระปอดระแปด “ไม่รู้ชายผู้นี้ช่วยอะไรเสด็จแม่ เสด็จแม่จึงเอ็นดูเขานัก คราวที่แล้วยังบอกว่าข้าควรศึกษาเฉินฟู่เซินเป็นแบบอย่าง?”
“เหอะ เขาเป็นเพียงองครักษ์ตัวเล็ก ๆ หากไม่ใช่เพราะข้า ทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นคนเฝ้าตำหนักหลี่หรงเฉิง แล้วจะให้ข้าเรียนรู้จากเขาหรือ เพ้ย!”
เฉินฟู่เซินเดินเข้าไปในตำหนัก ในขณะที่ฮองเฮากำลังเขียนพู่กันอยู่บนโต๊ะ
ตัวอักษรของนางนั้นยอดเยี่ยม นับเป็นสตรีอันดับหนึ่งไม่มีสอง นางนับได้ว่าเป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ฮองเฮามาจากครอบครัวทหาร บิดาของนางคือขุนนางขั้นหนึ่งของราชวงศ์ นางจึงเข้าวังมาเป็นพระสนมลำดับที่สี่ ต่อมาเมื่ออดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์ นางจึงรับตำแหน่งต่อ
นางอยู่ในวังมาหลายปี กลายเป็นมารดาแผ่นดินตำแหน่งสูงสุด ทุกวันนางยังคงเขียนพู่กัน ทุกบ่ายฝึกเขียนตัวอักษร ไม่เคยละเลยสักครั้งสักครา
การฝึกคัดตัวอักษรมีข้อดีคือ ภายในวังมีเวลายาวนานที่น่าเบื่อ การฝึกคัดตัวอักษรสามารถช่วยบรรเทาความน่าเบื่อนี้ได้ และการฝึกคัดอักษรย่อมฝึกฝนจิตใจ เพราะยิ่งสูงส่ง ก็ยิ่งรักษาจิตใจยากนัก ยิ่งเวลาผ่านไปนาน ยิ่งต้องทนกับความอ้างว้าง
ฮองเฮาเห็นเฉินฟู่เซินเข้ามา นางจึงเหลือบตามอง แต่มือไม่ได้หยุดเขียนพู่กัน แล้วตรัสถามขึ้นว่า “เจ้าเห็นด้วยกับเขาหรือไม่”
เฉินฟู่เซินตอบกลับฮองเฮาตามมารยาท “เห็นด้วยแต่ไม่ใช่ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาพยักหน้า “บุตรชายอ๋องหย่งกับตาเฒ่าช่างเหมือนกันนัก นิสัยทะเยอทะยานดุจหมาป่า สิ่งที่เจ้าปกป้องเขานั้นดีมาก”
เฉินฟู่เซินแสยะยิ้ม “หากพวกข้าน้อยไม่ต้องยืมมือพวกเขาทำการใหญ่ เกรงว่าเนื้อติดมันเช่นนี้จะเข้าปากเขา”
ฮองเฮาที่เพิ่งเขียนอักษร ‘止*[1]’ เสร็จโดยไม่ยกปลายพู่กันถึงกับหยุดชะงักชั่วครู่ หยดน้ำหมึกจากปลายพู่กันซึมลงแผ่นกระดาษ
นางวางพู่กันบนถาดเพื่อคุยกับเฉินฟู่เซิน “หากเจ้าไม่อยากพึ่งอำนาจของข้า เนื้อติดมันชิ้นนี้ ไม่ใช่ว่าควรเข้าปากข้าหรือ”
เฉินฟู่เซินรีบประสานหมัดตอบไปว่า “ทุกสิ่งที่ข้าน้อยมี ฮองเฮาล้วนเป็นผู้มอบให้ ข้าน้อยไม่กล้าที่จะไม่เห็นด้วยขอรับ”
เฉียนฮองเฮาหัวเราะฮ่าฮ่า “อ๋องหย่งกับบุตรชายช่วยชีวิตเจ้าสองแม่ลูกไว้ พวกเขาให้มากกว่าที่ข้าให้เจ้ามากนัก ไม่ใช่ว่าเจ้าถูกพวกเขาสะบัดทิ้งมาที่เบื้องหน้าข้าหรอกหรือ”
เปลือกตาของเฉินฟู่เซินกระตุก เขาคุกเข่าลงกล่าวขึ้นว่า “แผนการของข้าน้อยเหมือนกับหลี่หงเสวี่ย สิ่งเดียวที่พวกข้าน้อยต้องการ สุดท้ายจะทะเลาะวิวาท ฮองเฮากับข้าน้อยต่างได้ผลประโยชน์ พวกเราถือว่าส่งเสริมเกื้อกูลกัน”
ฮองเฮานั่งลงบนเก้าอี้ ตรัสต่อว่า “ข้าจำได้ว่าเราไม่มีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติกัน เฉินฟู่เซิน หากเจ้ากล้าตีสองหน้าเล่าความเท็จ ก็อย่าโทษข้าที่ไม่รู้จักคน”
เฉินฟู่เซินยืนขึ้น ขยับเข้าไปใกล้ฮองเฮาแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยมิกล้า”
เขาเห็นอักษรบนโต๊ะที่ฮองเฮาเขียนไว้เมื่อครู่ ‘ป่าไม้รักความสงบ แต่สายลมไม่เคยหยุดพัก’ แม้จะมีหยดน้ำหมึกแปดเปื้อนแต่ก็มิอาจบดบังความงดงามของตัวอักษร
ฮองเฮาสัมผัสอักษร ทว่าตัวอักษรยังคงเปียกชื้น นิ้วเรียวงามของนางเปรอะเปื้อนหมึก นางรู้สึกสกปรก จึงเอื้อมมือไปถูกับชุดของเฉินฟู่เซิน
ฮองเฮาพอใจกับอุปนิสัยที่เชื่อฟังของเขา จึงตรัสขึ้นมาว่า “ในวังแห่งนี้ สายลมไม่เคยหยุดนิ่งจริง ๆ”
ห้องเครื่องตำหนักฉืออัน
หลี่หรงเฉิงซื้อสุราปี้เย่ฮวาโหย่วจากภัตตาคารจุ่ยเซียนต้งถิงมาแล้ว เขาสั่งให้ขันทีอาอวิ๋นมาส่งด้วยตัวเอง อาอวิ๋นมอบสุราสองไหให้เหยียนอี้
เมื่อเหวินต้าชิงเห็นสุรา เขาก็อดที่จะเอ่ยปากชมเชยไม่ได้ เขาตักสุราองุ่นขึ้นมาหนึ่งช้อน มันเป็นของเหลวสีน้ำตาลแดงเข้มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน กลิ่นขจรหอมหวาน
เมื่อจิบหนึ่งคำ ก็พบว่ามีรสชาติขมระคนหวานอย่างละเล็กอย่างละน้อย ไม่หนักเท่าสุราข้าวธรรมดา รสชาติกลมกล่อมเป็นพิเศษ แม้จะกลืนลงไปแล้ว กลิ่นหอมหวานยังคงคละคลุ้งไปถึงลำคอ
“สุราดี! สุราดี! สุราดี!” เหวินต้าชิงชมสุราถึงสามครั้งติดกัน
เขาอยู่ในวังมานานหลายปีแล้ว แต่ไหนแต่ไรเป็นที่โปรดปรานของฮองเฮา มีหรือที่เขาจะไม่เคยดื่มสุราล้ำค่ามาก่อน ได้รับคำชื่นชมจากเขาเช่นนี้ ต้องเป็นสุราดีไม่อาจเทียบได้เป็นแน่
เหยียนอี้นำสุราดีเช่นนี้กลับมา เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร
เหวินต้าชิงเพียงจิบก็ชื่นชมออกมา จากนั้นก็ถอนหายใจก่อนจะส่ายหัว
หลางกวนเอ๋อร์ถูกกลิ่นหอมหวานของสุราชวนให้ลิ้มลอง แต่จนใจมิอาจทำอะไรได้ สุราไหนี้มีราคาแพงนัก เหวินต้าชิงแบ่งเทให้เขาไม่กี่หยด ได้แต่จุ่มตะเกียบให้เขาชิมรสชาติ
หลางกวนเอ๋อร์ไม่พอใจเมื่อได้ยินเสียงเหวินต้าชิงถอนหายใจ เขาถามกลับว่า “นายท่านเหวิน สุราดีขนาดนี้ เหตุใดต้องถอนหายใจด้วยเล่า”
เหยียนอี้จึงอธิบายให้เขาฟังว่า “ใต้เท้าเหวินคงลำบากใจ สุราดีเช่นนี้ แต่ต้องเอาไปใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร อีกทั้งยังต้องนำไปให้องค์หญิงหุยหูตำหนักหลินเจียงเสวย องค์หญิงอดอาหารมาหลายวันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะยอมเสวยหรือไม่ ช่างสิ้นเปลืองของจริง ๆ”
หลางกวนเอ๋อร์นึกตามได้ในทันใด เขาพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าองค์หญิงเป็นโฉมงาม แต่ไม่รู้ว่ามีนิสัยแปลกประหลาดบันดาลโทสะ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ยอมเสวยอาหาร ถึงกับบอกคนครัวให้ทำกุ้งเมาหนวดมังกร หากไม่อร่อยก็จะไม่เหลือบมองเสียด้วยซ้ำ ช่างแปลกประหลาดเสียจริง!”
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนในห้องเครื่องหลวงอับจนหนทางแล้ว จึงมาขอร้องพวกเรา ใต้เท้าเหวินรับหน้าที่นี้ หากทำไม่อร่อย ชื่อเสียงที่สะสมมาคงกลายเป็นเรื่องน่าหัวร่อ!”
ถึงแม้ว่าเหวินต้าชิงจะอายุพอ ๆ กับปู่ของเหยียนอี้ อีกทั้งยังเป็นผู้อาวุโสในวัง กระนั้นเขาก็เป็นคนอัธยาศัยดีเข้าถึงได้ง่าย เหยียนอี้กับเขามีมิตรภาพต่อกันมานานแล้ว ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่มักจะทำเป็นเรื่องตลกขบขัน เขาไม่ใช่คนใช้อำนาจเก่ามาขายของเก่า*[2] เมื่อเห็นรุ่นหลังล้อเลียนก็คิดว่า ช่างเป็นประโยชน์เหลือเกิน
ได้ยินเหยียนอี้พูดเช่นนี้ เหวินต้าชิงก็ถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “หากใช้สุราล้ำค่าเช่นนี้แล้วยังทำให้ตำหนักหลินเจียงพอใจไม่ได้ เช่นนั้น ข้า ‘เหล่าเหวิน’ คงไม่มีหน้าอยู่ในครัวหลวงอีกต่อไปแล้ว เห็นทีต้องกลับบ้านเกิดไปเปิดร้านขายเซาปิ่ง*[3] แล้วกระมัง!]”
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไทเฮาคงไม่พอพระทัยที่จะให้ท่านกลับบ้านเกิดหรอก”
เหวินต้าชิงถอนลมหายใจเสียงดัง ‘เฮ้อ’ จากนั้นกล่าวว่า “ตอนนี้ไทเฮาชอบฝีมือทำอาหารของเจ้า เหล่าเหวินลาออกจากงานดีหรือไม่”
เหยียนอี้รีบน้อมคำนับแล้วกล่าวอย่างทะเล้น “ข้าน้อยแย่งงานเหล่าเหวิน ช่างไร้ยางอายเสียจริง ควรจ่ายด้วยสุราหนึ่งจอก”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น นางก็หยิบไหสุราออกมา นึกอยากจิบสุราด้านในสักจิบ
สุราชนิดนี้ราคาแพงนัก เหวินต้าชิงตัดใจให้พวกเขาดื่มคนละอึกสองอึกไม่ได้ เขาจึงรีบคว้าไหสุราพลางตวาดดุ “ไป! หยิบชามเงินเคลือบลวดลายนั่นออกเสีย ต้องปลุกสุรา! เตรียมทำอาหาร!”
เหยียนอี้รีบไปทำตามคำสั่งทันที
เหวินต้าชิงพับแขนเสื้อขึ้น เตรียมที่จะเริ่มทำ ‘กุ้งเมาหนวดมังกร’ ที่ยังหาวิธีทำให้องค์หญิงพอใจไม่ได้
กุ้งเมา ทำได้ไม่ยากนัก เพราะในวังมีที่พื้นที่กว้างขวาง มีบ่อเลี้ยงปลา กุ้งขาวไท่หูส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากแม่น้ำซินอา เนื้อกุ้งจะนุ่มเป็นที่สุด
เขานำกุ้งเป็น ๆ มาล้างทรายออกทีละตัว ตัดส่วนปลาย หนวด และขา วางลงในหม้อ ราดด้วยสุราปี้เย่ฮวาโหย่วที่ซื้อมาจากภัตตาคารจุ่ยเซียนต้งถิง แล้วเอาต้นหอมขาววางในขิงขูดฝอย จากนั้นปิดฝาหม้อ
กุ้งที่มีชีวิตจะยังดิ้นอยู่ หลังจากเทสุราไปครู่หนึ่ง ภายในหม้อก็อบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา พวกมันจะค่อย ๆ เมาตายไปทีละตัว เช่นนี้จึงเรียกว่ากุ้งเมานั่นเอง
หากคนทั่วไปทำกุ้งเมาก็มักจะผสมกับนมเต้าหู้ น้ำมัน ผงชูรส และน้ำมันงาก่อนทาน จากนั้นนำไปหมักในน้ำดอง เปิดฝา ยกขึ้นโต๊ะพร้อมของขบเคี้ยว จุ่มกุ้งเมาลงในน้ำดองแล้วทานคู่กัน
แต่เหวินต้าชิงมีสูตรลับเฉพาะ ไม่ใช้เครื่องปรุงในการหมักเหล่านี้ เพราะเกรงว่าจะทำลายรสชาติของสุราปี้เย่ฮวาโหย่วที่หวานกลมกล่อม
หลังจากนำกุ้งเมาออกมาแล้ว เขาจึงไม่ใส่เครื่องปรุงใด ๆ อีกเลย นอกจาก ‘หนวดมังกร’ ที่ไว้กินด้วยกัน หากนำเข้าปากแล้วกรอบนุ่มสดใหม่ยิ่งนัก
ถึงจะเรียกว่า ‘หนวดมังกร’ แต่ก็ไม่ใช่ส่วนผสมธรรมดา จานนี้ทำโดยการนำหนวดของปลาหลีฮื้อ*[4] หลายร้อยตัวมาแช่ในน้ำเต้าหู้ หมักด้วยกุหลาบค้างคืน ยกแล้วต้องลงทอดในกระทะทันที
ในสมัยโบราณ คำกล่าวในที่ราบภาคกลางบอกไว้ว่า ปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกรนั้นไม่เคยมีผู้ใดเห็นมาก่อน แต่ทว่าผู้คนล้วนเชื่อว่า หากปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกรจะกลายร่างเป็นมังกรได้ ดังนั้นหนวดเคราปลาหลีฮื้อจึงเปรียบเสมือนหนวดมังกรด้วย
ปลาหลีฮื้อมีหนวดแค่สองเส้น ในการปรุงอาหารต้องใช้ปลาหลีฮื้อหลายร้อยตัวเพื่อให้คู่เข้ากัน จากนี้จึงสิ้นเปลืองนัก ดังนั้นหลังทำเสร็จ คนรับใช้ในวังจึงต้องกินปลาหลีฮื้อไปอีกหลายวัน
กระทั่งถึงช่วงเย็น กุ้งเมาหนวดมังกรก็เสร็จสิ้นในที่สุด
เหวินต้าชิงภูมิใจนักที่ทำอาหารจานนี้ออกมาได้ เขาจึงหยิบถาดแล้วตรงไปถวายตำหนักหลิงเจียงด้วยตนเอง
เหยียนอี้กำลังยุ่งอยู่กับอาหารมื้อค่ำของไทเฮาในห้องเครื่องเล็ก ๆ นางมองออกไปที่ประตูเป็นครั้งคราว รอให้เหวินต้าชิงกลับมา
หลังจากรออยู่นาน เขาก็กลับมา เหยียนอี้และคนอื่น ๆ รีบเข้าไปถามว่าองค์หญิงอากุ้ยลี่เสวยอาหารหรือไม่
เหวินต้าผิงกล่าวว่า “ก็เหมือนเคย ชิมเพียงหนึ่งคำ”
“ใต้เท้าเหวิน นางคายออกมาหรือ?” หลางกวนเอ๋อร์ถาม
อย่างที่รู้ว่าองค์หญิงหุยหูผู้นี้ไม่ยอมเสวยอะไรเลย นางให้ห้องเครื่องหลวงทำเพียง ‘กุ้งเมาหนวดมังกร’ ช่างเป็นโจทย์ที่ยากอะไรเช่นนี้ ทุก ๆ วันพ่อครัววังหลวงจะทำกุ้งเมาส่งไปให้นาง นางล้วนชิมไปเพียงหนึ่งคำแล้วก็คายออกมา ไม่มีอาหารตกถึงท้องแม้แต่น้อย
เหวินต้าชิงมองไปรอบ ๆ เห็นว่าทุกคนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาพูดว่า ‘ชิมหนึ่งคำ’ ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกันไป เหวินต้าชิงก็หัวเราะขึ้นมา เขาถูฝ่ามือแล้วหัวเราะอีกครั้งก่อนจะพูดว่า “กินหนึ่งคำ แล้วก็มีคำที่สอง คำที่สาม คำที่สี่”
เขาเปิดกล่องอาหารในมือ ด้านในมีเพียงจานเปล่า น้ำสุราเหลืออยู่ประปราย องค์หญิงอากุ้ยลี่เป็นคนกินกุ้งเมาหนวดมังกรทั้งหมด
“ว้าว!” หลางกวนเอ๋อร์เป็นคนแรกที่อุทานออกมา จากนั้นทุกคนก็แสดงสีหน้าดีใจ สิ่งที่ทุกคนช่วยกันไม่เปล่าประโยชน์เสียแล้ว
เหวินต้าชิงภูมิใจยิ่งนัก เขาอธิบายเหตุการณ์ที่อากุ้ยลี่ องค์หญิงแห่งหุยหูเสวยอาหารให้ทุกคนฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“องค์หญิงแห่งหุยหูนอนป่วยอยู่บนเตียง ไม่ได้ลุกจากเตียงเลย พอได้ยินว่าข้าเอาอาหารเข้ามา สาวใช้ก็พยุงเธอนั่งบนขอบเตียง กินกุ้งเมาที่ข้าทำหนึ่งคำ ตอนไม่ได้คายออกมา ข้าน่ะเหมือนได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก”
[1] 止 (Zhǐ) แปลว่ายุติ/หยุด
[2] ใช้อำนาจเก่าขายของเก่า หมายความว่า อาศัยที่ตนมีอายุมากและเป็นผู้อาวุโสหรืออาบน้ำร้อนมาก่อน
[3] เซาปิ่ง คือขนมแป้งอบ หรือแป้งทอด บ้างมีลักษณะคล้ายขนมเปี๊ยะ บ้างคล้ายกับพิซซ่า โดยมากจะโรยด้วยงา แต่สมัยก่อนจะสอดไส้หรือทาหน้าหลากหลายชนิด เช่น เนื้อแพะ และต้นหอม
[4] ปลาหลีฮื้อ คือปลาคาร์ฟ
*ทีมงาน enjoybook ขออนุญาตแก้ไขตำแหน่ง จากฮ่องเต้ยงเป็นอ๋องหย่ง ขออภัยมา ณ ที่นี้