ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 105 สตรีต่างแดน
บทที่ 105 สตรีต่างแดน
บทที่ 105 สตรีต่างแดน
ในใจผิงหยางคิดว่าองค์หญิงผู้นี่เป็นเพียงหญิงสาวในชนเผ่าหุยหู ไม่ใช่องค์หญิงสายตรง นอกจากนี้หุยหูยังเป็นเพียงชนเผ่าเล็ก ๆ ทางตะวันตกห่างไกลจากความหนาวเย็น แต่นางถึงกับอยากเป็นสนมขององค์รัชทายาทเชียวหรือ?
หลังจากผิงหยางคิดได้เช่นนั้นก็นึกได้ว่า หากต้องเรียกสตรีต่างแดนว่า ‘พี่สะใภ้’ เห็นทีนางคงรับไม่ได้
“เหอะ สตรีจากชนเผ่าป่าเถื่อนเช่นเจ้า ยังกล้าเรียกตัวเองว่าองค์หญิง” ผิงหยางพึมพำเสียงต่ำ
อากุ้ยลี่ไม่รู้จักองค์หญิงผิงหยาง ทว่าสังเกตจากรูปลักษณ์ของนางแล้ว ก็คิดว่านางคงเป็นสตรีชนชั้นสูง ไม่รู้เหตุใดวันนี้จึงมีอาคันตุกะมาเยี่ยมในตำหนักนางมากมายเช่นนี้ คนในวังอาณาจักรอวี๋มีเยอะเหลือเกิน ไปมาไม่ขาดสาย คนเหล่านี้ล้วนมาเพราะอยากเห็นนางตายหรืออย่างไร?
นางรู้สึกว่าช่างน่าขบขันนัก ทว่าไม่อยากเสวนากับคนในวังหลวงอาณาจักรอวี๋แห่งนี้ให้มากนัก นางพิงมืออาเหมียนต้าเพื่อลุกขึ้น ไม่สนใจผู้คนอีกต่อไป นางขึ้นเตียงและปิดตาของตนเองลง
เมื่อองค์หญิงผิงหยางเห็นว่าตนถูกปฏิบัติเช่นนี้ก็ยิ่งโกรธ ทว่านางไม่เห็นสีหน้าอ้ำอึ้งจากพี่ชายตน จึงคิดว่าหลี่หรงอวี่ต้องตาความงามของสตรีผู้นั้น ถูกทำให้หลงเสน่ห์ นางจึงกระทืบเท้าด้วยความโมโห
“ท่านพี่รอง ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจนาง เสด็จพ่อตัดสินใจแล้วว่าจะให้ท่านแต่งงานกับซือกงหลานสาวบ้านเดิมขุนนางหลิว สตรีผู้นี้เป็นชาวต่างแดน เกรงว่าไม่คู่ควรเป็นนางสนมของท่าน”
หลี่หรงอวี่ตกใจ
อะไรคือแต่งสตรีซือกงบ้านเดิมขุนนางหลิว เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน หรือแท้จริงเสด็จพ่อจะเลือกพระสนมให้เขาแล้ว
คิดดูแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นัก ฮ่องเต้คงไปปรึกษาหารือกับฮองเฮา อาจจะเป็นช่วงที่ฮ่องเต้กำลังสนทนาในวังจาวหยาง ผิงหยางจึงได้ยินมา แต่ไม่มีผู้ใดรู้
เขารู้ว่าตนเองคือองค์รัชทายาท การแต่งงานถือว่าเป็นเรื่องของอาณาจักร ส่วนความรู้สึกเล็กน้อยของเขาที่มีต่อเหยียนอี้นั้น
ไม่กล้าพูดให้ผู้อื่นรับรู้ เกรงว่าจะนำอันตรายมาสู่นาง
ทว่าเมื่อได้ฟังคำที่ผิงหยางพูด ในใจกลับรู้สึกทุกข์ระทม หรือว่าจะไร้หนทางจริงหรือ?
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเข้าไปทูลฮ่องเต้หรือไปขอร้องฮองเฮาให้ส่งเหยียนอี้มาตำหนักบูรพา แต่เหยียนอี้จะเต็มใจหรือ
สิ่งที่นางไม่อยากทำ เขาก็ไม่สามารถบังคับมันได้
หลี่หรงอวี่ก็รู้ตั้งแต่ต้น เขาคือองค์ชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์ แม้จะดูยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต แต่แท้จริงแล้วมีภาระบนบ่ามากมายนัก จัดการทุกอย่างได้ แต่จนปัญญาที่จะจัดการเรื่องหัวใจ
เขาคิดวิธีการไว้นับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะไปขอร้องฮ่องเต้หรือขอร้องฮองเฮา แต่ทั้งหมดยังไม่ใช่แผนการที่ดีนัก
เขายังคิดอีกว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นเรื่องกวนใจนัก กระนั้นก็เป็นเพียงความคิด เขาไม่ใช่คนโง่เขลาที่จะทิ้งอาณาจักรและทิ้งครอบครัว
เขาตัดสินใจแล้ว หากเหยียนอี้พยักหน้า เขาจะทลายอุปสรรคทั้งหมด ทั้งยังคิดหาวิธีรับนางสู่ตำหนักบูรพาเอง
ทว่าในวันเกิดของนาง นางกลับปฏิเสธ
หลี่หรงอวี่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ตั้งแต่วันนั้นเขาไม่เคยไปที่ตำหนักซีอานอีกเลย ยกเว้นเมื่อครู่ที่เจอหน้าประตู ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้เจอเหยียนอี้อีกเลย
เมื่อเป็นความปรารถนาของเขาฝ่ายเดียว ยิ่งไม่ควรทำให้นางกลัดกลุ้มรำคาญใจ แต่…ให้ไปแต่งงานกับคนอื่น? เขาไม่อยากคิดเรื่องนี้เลย
หลี่หรงอวี่ยังคงขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงเหยียนอี้
ทว่าองค์หญิงผิงหยางไม่รู้เรื่องนี้ นางคิดว่าหลี่หรงอวี่หลงใหลความงามขององค์หญิงอากุ้ยลี่ จึงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองแผ่นหลังของอากุ้ยลี่ หวังแผดเผาแผ่นหลังของสตรีต่างแดนผู้นี้ให้มอดไหม้
หลี่หรงอวี่ลากผิงหยางออกจากห้องบรรทมของอากุ้ยลี่ สั่งกับลั่วอิ๋งไปว่า “เจ้าไปที่ตำหนักใน หาคนรับใช้มากความสามารถในวังมา หากนางไม่ต้องการให้คนรบกวนตำหนักของนาง ก็ให้รออยู่ด้านนอก”
ลั่วอิ๋งรับคำ
ผิงหยางขมวดคิ้วแล้วโวยวายขึ้น “ท่านพี่รอง ทำไมท่านถึงสนใจนางมากขนาดนี้ ดูนางทำเช่นนี้สิ ไร้มารยาทนัก!”
หลี่หรงอวี่ตบไหล่น้องสาว ก่อนจะสั่งลั่วอิ๋งต่อว่า “ให้หมอหลวงอยู่ที่นี่ดูแลนาง ข้าไม่อนุญาตให้นางก่อเรื่อง”
เขาพูดกับผิงหยางว่า “เจ้าก็อย่ามาก่อความวุ่นวายที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักจาวหยาง องค์หญิงอากุ้ยลี่ถูกชาวหุยหูส่งมาแต่งงาน ฐานันดรของนางสูงศักดิ์”
ผิงหยางแผดเสียง “ท่านพี่รองอยากแต่งงานกับชาวหุยหูจริงหรือ?”
หลี่หรงอวี่จำใจตอบ “นั่นเป็นเรื่องที่เสด็จพ่อต้องตัดสินใจ เจ้าอย่าเที่ยวไปพูดไร้สาระ”
แต่กลับกลายเป็นว่าผิงหยางคิดว่าหลี่หรงอวี่หลงใหลความงามของอากุ้ยลี่จริง ๆ เสียแล้ว นางกระทืบเท้าด้วยความโกรธเคืองแล้วกระแทกประตูออกไป
ชุ่ยกัว สาวใช้ที่ใกล้ชิดของผิงหยางรีบตามออกมา ผิงหยางก้าวอย่างรวดเร็ว จนนางเดินไปจนสุดทาง ชุ่ยกัวเพิ่งตามทัน
ผิงหยางหันกลับมา เห็นมีเพียงชุ่ยกัวเท่านั้นที่ตามมาจึงถามออกไป “ท่านพี่รองรำคาญข้าหรือ?”
ชุ่ยกัวตอบกลับ “องค์ชายรัชทายาทรักองค์หญิงมากที่สุด เหตุใดต้องรำคาญท่านเล่าเพคะ”
ผิงหยางถอนหายใจ “แต่ตอนนี้หุยหูส่งองค์หญิงจากแดนไกลมาแต่งงาน ดูแล้วท่านพี่รองคงจะรักนางไม่น้อย”
ทว่าชุ่ยกัวกล่าวว่า “ล่าสุดองค์หญิงยังเคยกล่าวว่าองค์รัชทายาทดีกับผู้อื่นยิ่งนัก แม้แต่สาวใช้ในวังที่ไม่รู้จัก ฝ่าบาทก็ดูแลอย่างดี”
ผิงหยางบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ “ท่านพี่รองของข้า ไม่ได้ใกล้ชิดกับสตรีมากนัก ตอนนี้คงสับสน”
“ฮึ่ม เขาคิดเรื่องนี้เองไม่ได้ เขาคือองค์ชายรัชทายาทตำหนักบูรพา ว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต ไม่อาจเลือกสนมเองได้ หากเสด็จพ่อรู้เรื่องนี้ จำต้องโมโหมากแน่”
ชุ่ยกัวปลอบโยนนาง “บางทีองค์รัชทายาทอาจไม่ได้สนใจองค์หญิงหุยหูก็เป็นได้เพคะ”
ผิงหยางครุ่นคิด “เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท ในอนาคตย่อมมีสตรีของตัวเอง ผู้ที่สามารถเป็นมารดาของแผ่นดินจำต้องมีความสามารถ ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงดีงามในเมืองหลวง แต่ต้องมีพื้นเพมาจากสกุลเดิมสนับสนุน มีความรู้ความสามารถ มีนิสัยเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่น มีคุณธรรมอันดี รูปลักษณ์ไม่จำเป็นต้องงดงาม”
ชุ่ยกัวป้องปากหัวเราะ “งานแต่งงานขององค์ชายรัชทายาทเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาเป็นผู้ตัดสิน ไฉนเลยจะเป็นสิ่งที่ท่านกังวลใจ”
ผิงหยางกล่าว “หากข้าไม่ได้แอบฟังเสด็จพ่อกับเสด็จแม่คุยกันในวันนั้น ข้าเองก็ไม่คิดอะไรหรอก”
ชุ่ยกัวถามนาง “หญิงสาวที่ท่านพูดถึง หลานสาวบ้านเดิมขุนนางหลิวอะไรสักอย่างนั่น มิใช่ว่าฮองเฮาเสนอแต่ฮ่องเต้ทรงปฏิเสธไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“ข้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง มีอะไรรึ” ผิงหยางถาม
ชุ่ยกัวตอบกลับ “ข้าน้อยเห็นสีหน้าขององค์ชายไม่ดีนัก”
ผิงหยางกะบึงกะบอน “ใครใช้ให้เขาเห็นคนงามดีกว่าข้าเล่า? ข้าโกรธเขา”
ชุ่ยกัวรีบหยุดผิงหยางที่กำลังโวยวาย “องค์หญิงได้โปรดอย่าพูดจาเช่นนี้ เหตุใดองค์ชายรัชทายาทจึงมองคนงามไม่ได้ ในเมื่อตำหนักบูรพาเองก็ไม่มีสนม”
ผิงหยางไม่สนใจ ขณะที่กำลังเดินกลับตำหนักจาวหยางกับข้ารับใช้ก็ตรัสอีกว่า “ท่านพี่รองเป็นคนมีคุณธรรม ไฉนเลยจะสนใจคนงาม เขาคือองค์รัชทายาท เพียงแค่ปริปากขอเสด็จแม่ ก็มีสนมมาเข้าแถวต้อนรับแล้ว”
เวลานี้บนทางเดินนั้นไร้ผู้คน ผิงหยางจึงบ่นถึงหลี่หรงซือพ่วงมาด้วย บุรุษผู้นั้นก็ไร้ความปรานีเช่นกัน
“ข้าเห็นท่านพี่รองไปห้องเครื่องหลวงทุกวี่ทุกวัน ต่อมาเหยียนอี้ถูกย้ายไปที่ตำหนักฉืออัน เขาจึงไปตำหนักฉืออันทุกวันแทน เห็นแล้วน่าโมโหจริง ๆ”
“เจ้าดูสิ ในใจของเขามีสตรีชื่อเหยียนอี้ เหตุใดเขาไม่เอานางมาเป็นสนมล่ะ เจ้าดูเอาละกัน เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาไปหาเด็กสาวตัวน้อย เห็นแล้วเหนื่อยหน่ายนัก แต่ตอนนี้กลับอยู่กับองค์หญิงแห่งหุยหูที่งดงามราวกับเทพเซียน ความรู้สึกช่างแปรผันเร็วนัก”
ชุ่ยกัวกล่าวว่า “แต่ว่าองค์หญิง องค์หญิงแห่งหุยหูงดงามราวกับนางเซียนบนสวรรค์เชียว…”
ผิงหยางหยุดฝีเท้า จ้องไปที่ชุ่ยกัว ชุ่ยกัวจึงรีบตบปากตัวเองแล้วกล่าวต่อว่า “สาวใช้ผู้นี้กำลังสับสน นอกจากพระองค์แล้ว ผู้ใดจะงดงามราวกับนางเซียนบนสวรรค์ได้อีก”
ผิงหยางยิ้มพึงใจ “ถึงองค์หญิงแห่งหุยหูผู้นั้นจะงดงามเพียงไหน แต่เสด็จพ่อก็ไม่มีทางยอมให้คนต่างแดนมาอยู่ในตำหนักบูรพาหรอก อีกอย่าง พี่รองน่ะทะเยอทะยาน ไม่มีทางเก็บสตรีผู้นี้ไว้ในใจหรอก”
ชุ่ยกัวยิ้ม “องค์หญิงพูดถึงอะไร ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนองค์ชายสี่”
ผิงหยางหยุดเดิน “พูดมาแล้วเจ้าไม่คิดว่าองค์ชายสี่แปลกประหลาดไปหน่อยหรือ”
ชุ่ยกัวเกาหัวตัวเอง “แปลกอะไรหรือ ข้าน้อยมิอาจรู้ได้”
ผิงหยางตอบอย่างเย็นชาว่า “พระสนมจางถูกเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น ชีวิตนี้ไร้หนทางกลับมา องค์ชายสี่ควรก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่างเงียบ ๆ แต่ข้ากลับได้ยินมาว่าเขาวิ่งเต้นไปหาเสด็จพ่อ ประจบประแจงเช่นเดียวกับมารดา”
ชุ่ยกัวกล่าว “แต่เดิมองค์ชายสี่อาศัยพระสนมจางกุ้ย…รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แต่ตอนนี้พระสนมไม่เป็นที่โปรดปรานอีกแล้ว เขาย่อมต้องแสวงหาผู้มีอำนาจ”
ผิงหยางตวาดหนึ่งคำ “ลูกเมียน้อยที่ไปไหนไม่ได้ ต้องประจบประแจงท่านพี่รองของข้าที่เป็นองค์ชายสายตรง เป็นองค์ชายโดยชอบธรรม เขาสามารถก่อปัญหาอะไรได้บ้างหรือ? เว้นแต่แย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท ไม่เช่นนั้นชาตินี้เขาคงทำได้เพียงสวมรองเท้าให้ท่านพี่รอง”
ในเวลานี้เอง ทั้งสองคนก็เกือบถึงประตูตำหนักจาวหยาง มีขันทีกับสาวใช้ในตำหนักจำนวนมากยืนอยู่ข้างหน้า ชุ่ยกัวรีบดึงชายเสื้อขององค์หญิงผิงหยาง และกระซิบกระซาบกับนาง
ผิงหยางใช้นิ้วชี้ดันหัวชุ่ยกัว “แม้เจ้าจะเป็นคนรอบคอบระมัดระวังที่สุดในตำหนักจาวหยาง แต่กล้าแอบฟังองค์หญิงผู้นี้เชียวหรือ”
เฉินฟู่เซินเดินไปข้างหลังผิงหยาง กล่าวด้วยน้ำเสียงขบขัน “ในวังเช่นนี้ผู้ใดจะกล้าแอบฟังพระองค์ พระองค์เสียงดังเกินไปต่างหาก หากฮองเฮาได้ยินคงไม่ดีนัก”
เมื่อเห็นว่าเป็นเฉินฟู่เซิน ผิงหยางจึงเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ “ตอนนี้องครักษ์เฉินดูภาคภูมิใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสด็จแม่ของข้า นางถึงเอ็นดูเจ้าเช่นนี้ หากตอนแรกข้าเป็นคนพาเจ้าเข้าตำหนักจาวหยาง ตอนนี้เจ้าคงขวัญกล้ามากกว่านี้แล้ว”
เฉินฟู่เซินโค้งคำนับตอบไปว่า “ความเมตตาขององค์หญิง กระหม่อมจะไม่มีวันลืม”
ผิงหยางถึงกับพ่นลมหายใจ แต่เฉินฟู่เซินไม่สนใจนาง ทั้งยังเดินผ่านนางไปอย่างไร้มารยาท แล้วตรงไปยังตำหนักของฮองเฮา
ผิงหยางชักจะหงุดหงิด นางเตะอากาศไล่หลังด้วยความโกรธเคือง ทว่าดันเหยียบโดนโคลนจนเกือบล้มคะมำ โชคดีชุ่ยกัวจับนางไว้ทัน แต่หยกประดับของนางกลับเอียงเล็กน้อย ทำนางขายหน้ายิ่ง
ชุ่ยกัวถามผิงหยางว่า “องค์หญิงเคยชอบองค์รักษ์เฉินมากนัก เหตุใดตอนนี้เห็นเขาแล้วไม่มีความสุขเล่า”