ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 103 อดอาหาร
ตอนที่ 103 อดอาหาร
ตอนที่ 103 อดอาหาร
ลั่วอิ๋งจากตำหนักบูรพาออกมาต้อนรับองค์รัชทายาท พลางถามขึ้น “องค์รัชทายาทกับองค์ชายแปดมิใช่จะออกจากวังหรอกหรือ เหตุใดจึงกลับมาเล่า?”
หลี่หรงอวี่ตอบกลับ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เจ้าถามนางเถิด เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ลั่วอิ๋งเห็นว่านางแต่งกายคล้ายชาวหุยหู จึงพูดกับนาง “นี่คือองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา หากมีเรื่องอะไรก็พูดกับท่านได้”
หลังจากที่หญิงสาวชาวหุยหูได้ยินคำว่า ‘องค์ชายรัชทายาท’ ก็ผงะตกใจ นางพูดภาษาจีนอย่างรวดเร็ว “ข้าชื่ออาเหมียนต้า แม่นางของข้า… องค์หญิงหมดสติ ข้าอยากพบหมอ”
หลี่หรงอวี่จึงสั่งลั่วอิ๋งทันที “ตามหมอหลวงเปี้ยน สำนักหมอหลวงมาเร็วเข้า”
ลั่วอิ๋งรีบตอบรับในบัดดล
อาเหมียนต้ายังคงร่ำไห้ หลี่หรงอวี่จึงปลอบโยน “วางใจเถิด หมอของเราจะรีบไปรักษาองค์หญิงของเจ้า บอกข้ามา เกิดอะไรขึ้นกับนาง”
อาเหมียนต้าจึงนั่งลงพูดคุยต่อเล็กน้อยเกี่ยวกับความจริงที่องค์หญิงแห่งหุยหูอดน้ำอดอาหารตั้งแต่เข้าวัง
หลี่หรงอวี่ขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงไม่รู้”
“อย่างที่พวกท่านทราบ องค์หญิงหาพ่อครัวมาหลายคนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดทำอาหารถูกใจ” อาเหมียนต้ากล่าว
หลี่หรงอวี่จึงถามกลับ “เหตุใดกัน อาหารไม่อร่อยหรือ มีพ่อครัวในวังมากมายที่สามารถปรุงอาหารท้องถิ่น ทั้งยังสามารถปรุงอาหารหุยหูได้”
ดวงตาอาเหมียนต้าเปียกชื้น นางส่ายหัวพรืด “พระองค์กินไม่ได้ หากไม่มีอันวาก็กินไม่ได้!”
หลี่หรงอวี่ถาม “อัน…อะไร คืออะไรหรือ”
อาเหมียนต้าเพียงแค่ส่ายหัว “ไม่มีอันวา จากนี้โลกขององค์หญิงจะไม่มีอันวา ข้าบอกองค์หญิงหลายครั้งแล้ว แต่นางยอมรับมันไม่ได้ ช่างเป็นสาวน้อยผู้น่าสงสารเหลือเกิน!”
หลี่หรงอวี่ไม่เข้าใจ ยิ่งไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี
องค์หญิงแห่งหุยหูมาอยู่ที่วังหลวงเพราะการแต่งงานเชื่อมไมตรีระหว่างสองอาณาจักร ทุกอย่างที่ควรราบรื่นกลับผิดพลาดเพราะนางอดอาหาร งานไมตรีระหว่างอวี๋กับหุยหูจะไม่ล่มหรือ นี่กลายเป็นเรื่องขบขันไปเสียแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฑูตอาณาจักรเหยียนที่ยังอยู่เมืองหลวง หากพวกเขาฉวยโอกาสก่อปัญหาอะไร หลี่หรงอวี่ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบงานต้อนรับครั้งนี้ หากเป็นเช่นนั้น การสานสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นอันล่มแน่
แม้จะกล่าวว่าเขากับองค์หญิงเป็นชายหญิงแตกต่างกัน ทว่าตอนนี้นางอาศัยอยู่ในวังหลวง ทั้งเมื่อครู่เขายังถูกสาวใช้ของนางชนเข้า เรื่องนี้ต้องคุยกันสักหน่อยแล้ว
สุดท้ายหลี่หรงอวี่จึงขอให้อาเหมียนต้าพาเขาไปที่ตำหนักหลินเจียงที่องค์หญิงแห่งหุยหูพักอยู่
ตำหนักหลินเจียงมิใช่ตำหนักใหญ่โต ทั้งยังไม่ไม่ได้หรูหรา ตำหนักแห่งนี้ใช้ต้อนรับอาคันตุกะจากอาณาจักรอื่น ดังนั้นจึงอยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าวังนัก
หลี่หรงอวี่เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตำหนักหลินเจียงแล้ว
บรรยากาศตำหนักแห่งนี้ช่างเหน็บหนาวเหลือเกิน
องค์หญิงแห่งหุยหูปฏิเสธสาวใช้ในวัง ซ้ำยังชอบความเงียบสงบ จึงไม่ให้ผู้ใดมารับใช้ ภายหลังจึงเหลือแค่อาเหมียนต้าที่ยังคงทำหน้าที่รับใช้พระองค์อยู่
อากุ้ยลี่นอนอยู่บนเตียงบรรทม เป็นเพราะความแตกต่างระหว่างชายหญิง หลี่หรงอวี่จึงไม่ได้เข้าไป เพียงแต่รออยู่ด้านนอก มีเพียงอาเหมียนต้าเข้าไปคนเดียว นางปลุกองค์หญิงด้วยภาษาหุยหูไม่กี่คำ
แต่ทว่านางกลับออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ นางเอ่ยกับหลี่หรงอวี่ว่า “องค์หญิงใกล้ทนไม่ไหวแล้ว”
หลี่หรงอวี่คิดถึงวันที่องค์หญิงเข้าวัง ผ่านมาสามวันแล้วที่นางไม่ได้เสวยอาหารจึงล้มป่วยเช่นนี้
ไม่นานนักลั่วอิ๋งก็พาหมอหลวงเข้ามา
หมอหลวงเปี้ยนคำนับหลี่หรงอวี่ ก่อนเข้าไปจับชีพจรขององค์หญิง จากนั้นจึงกลับออกมารายงาน “องค์หญิงของพวกท่านปฏิเสธยา กัดฟันแน่น กระหม่อมพยายามบังคับนางให้เสวยแล้ว ทว่านางไม่ยอม มีแต่ต้องฝังเข็มเท่านั้น”
หลี่หรงอวี่พยักหน้า “ฝังเข็มเถิด”
หมอเปี้ยนกล่าว “ถึงอย่างไร หากองค์หญิงตื่นขึ้นหลังจากฝังเข็มแล้วยังไม่เสวยยาก็เปล่าประโยชน์ ถือว่ายังอันตรายอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หรงอวี่ถามอาเหมียนต้า “เพราะเหตุใดองค์หญิงของเจ้าจึงไม่ยอมเสวยอาหาร?”
อาเหมียนต้าร่ำไห้ “พระองค์…พระองค์…”
นางสะอึกสะอื้นอยู่นาน ทว่าไม่ยอมพูดอะไรออกมา
หลี่หรงอวี่ทำอะไรไม่ได้จึงคุยกับหมอเปี้ยนแทน “ก่อนอื่นฝังเข็มให้นางสักสองครั้ง ข้าจะให้คนไปต้มยา หากนางตื่นบรรทมแล้วค่อยให้นางเสวยยา เสวยเล็กน้อยก็พอ กระเพาะนางอ่อนแอนัก หากเสวยไม่ไหว ก็ไม่ต้องให้นางเสวย”
หมอหลวงเปี้ยนรู้สึกลำบากใจ “ทูลฝ่าบาท หากคนตั้งใจจะฆ่าตัวตาย มีตั้งหลายร้อยวิธีให้พรากชีวิต”
หลี่หรงอวี่ตอบว่า “เจ้าเป็นหมอหลวงเก่งกาจของอาณาจักรเรา มีตั้งหลายร้อยวิธีช่วยชีวิตผู้คน”
หมอหลวงเปี้ยนยิ้มแหย ๆ “ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นหมอหลวงอาณาจักร ไม่สามารถรักษาโรคทางใจได้”
หลี่หรงอวี่จึงถาม “ท่านคิดว่าโรคทางใจต้องรักษาอย่างไร ไม่ใช่ว่าเป็นก็ใช้ยารักษา ผู้คนล้วนทราบ ส่วนยารักษาโรคทางใจนั้นคือสิ่งใดเล่า?”
หลี่หรงอวี่พูดประโยคแรกกับหมอเปี้ยน แต่ประโยคหลังหันไปพูดกับอาเหมียนต้า
อาเหมียนต้าเพียงรู้สึกว่าแววตาขององค์รัชทายาทแวววับคล้ายกับผู้รอบรู้ ทำเอานางขนลุกขนชันไปทั้งร่าง
ภาษาของนางไม่ดีนัก นางฟังองค์ชายกับหมอเปี้ยนเข้าใจแค่ครึ่งประโยค อีกครึ่งประโยคนางไม่เข้าใจ
หลี่หรงอวี่ตรัสกับอาเหมียนต้า “อาเหมียนต้า เจ้ารับใช้องค์หญิงมานานเท่าใดแล้ว?”
อาเหมียนต้าตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเราโตมาด้วยกัน”
“เช่นนี้พวกเจ้าสนิทกันหรือไม่” หลี่หรงอวี่ถามอีกครั้ง
อาเหมียนต้าจึงผงกศีรษะ “พวกเราสนิทกันมาก แม้แต่พี่สาวของนางสองคนยังเทียบพวกเราไม่ได้”
“แต่เจ้าจะทนมองนางตายหรือ” หลี่หรงอวี่ถามต่อ
อาเหมียนต้าผงะ
“หากนางยังไม่ยอมเสวยอาหาร นางจะต้องตายแน่นอน” หลี่หรงอวี่กล่าว
อาเหมียนต้าก้มศีรษะลงเล็กน้อย หยาดน้ำตาร่วงหล่นราวกับไข่มุก ทว่านางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
หมอเปี้ยนส่ายหน้า กระซิบกับลั่วอิ๋งครู่หนึ่ง จากนั้นเหลือบมองหลี่หรงอวี่อย่างถามความเห็น หลี่หรงอวี่จึงพยักหน้าตอบเชิงอนุญาติ
หมอเปี้ยนกลับเข้าห้องบรรทมขององค์หญิงหุยหู ก่อนจะฝังเข็มในมือตรงจุดหน้าผาก ไม่นานองค์หญิงแห่งหุยหูก็ตื่นขึ้น
อาเหมียนต้าได้ยินเสียงครางเบา ๆ ของอากุ้ยลี่ก็รุดไปที่เตียงบรรทมในบัดดล นางจับมือขององค์หญิงของตนไว้แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
องค์หญิงหุยหูมองอาเหมียนต้าที่กำลังร้องไห้อย่างเหม่อลอยราวกับว่านางเป็นเพียงคนแปลกหน้า ใบหน้าไร้สีเลือด คล้ายกับว่าร่างกายหลั่งน้ำตาไปเสียสิ้น
ลั่วอิ๋งนำโจ๊กเข้ามา อาเหมียนต้ารับชามโจ๊กมาตักช้อนเล็ก ๆ แล้วป้อนให้อากุ้ยลี่
อากุ้ยลี่หันหน้าหนี ขบฟันแน่นไม่ยอมทานอาหาร ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
“องค์หญิง! ทานสักคำเถิด! อาเหมียนต้าขอร้องท่าน!”
ทว่าอากุ้ยลี่กลับผลักชามโจ๊กออกไปแล้วกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าบอกไปหลายครั้งแล้ว ข้าไม่ใช่องค์หญิงอะไรทั้งสิ้น ข้าไม่ต้องการความเมตตาจอมปลอมจากพวกเจ้า!”
อาเหมียนต้าทรุดตัวลงร่ำไห้ตรงขอบเตียง “อากุ้ยลี่! อากุ้ยลี่ของข้า! หากเจ้าตาย อันวาก็จะตายด้วย!”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘อันวา’ อากุ้ยลี่ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตระหนก
นางเอื้อมมือขึ้นไปในอากาศ กางนิ้วทั้งห้าออกอย่างว่างเปล่า ราวกับพยายามไขว่คว้าอะไรบางอย่าง แต่กลับคว้าพลาดจับได้เพียงอากาศ
“อันวา! อันวา! อันวาของข้า!” นางลุกขึ้นนั่งปิดหน้าร่ำไห้
อาเหมียนต้าวางชามโจ๊กลงบนพื้น ลุกกอดอากุ้ยลี่พลางร่ำไห้ออกมา
พวกนางทั้งสองคนคุยกันด้วยภาษาหุยหู ลั่วอิ๋งกับหมอเปี้ยนฟังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
หลี่หรงอวี่ได้ยินเสียงร้องไห้จากด้านใน จึงนึกว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เขาเดินเข้าไปทันทีเพราะไม่อยากระแวงสงสัยไปเอง
“เกิดอะไรขึ้น” หลี่หรงอวี่ถามลั่วอิง
ลั่วอิ๋งส่ายหน้า ทำท่าทีให้เห็นว่านางเองก็ไม่รู้เช่นกัน
ร่างกายอากุ้ยลี่อ่อนแอมากอยู่แล้ว ครั้นเพิ่งตื่นนอนแล้วร้องไห้หนักจนหายใจไม่ออก นางก็หมดสติไปอีกครั้ง
หมอเปี้ยนรีบเข้าไปฝังเข็มอีกสองเข็มบริเวณลำคอของนาง
หลี่หรงอวี่ก้มลงมอง เห็นเพียงอากุ้ยลี่สวมชุดสีขาวราวกับหิมะ ใบหน้าของนางซีดเซียวดุจกระดาษ ดวงตาคู่งามปิดสนิท ใบหน้าเปียกชื้นชุ่มด้วยหยาดน้ำตาคล้ายกับหยกขาวก็มิปาน ไร้ความมีชีวิตชีวาใดให้เห็น
เล่ากันว่าองค์หญิงจากหุยหูผู้นี้เป็นสาวงามเหนือโลกา โฉมงามชดช้อยไร้ที่ติ ช่วงเวลาที่นางเกิดนั้นมีพญาอินทรีขาวบนทะเลทรายโกบีกำลังล่าเหยื่อ ดอกไม้บานสะพรั่งริมธารา ชาวหุยหูทุกคนถือนิมิตนี้มากจึงนับถือองค์หญิงเป็นเทพธิดาของชนเผ่า
แม้นางจะเป็นเพียงหลานสาวของข่านแห่งหุยหู แต่ก็ได้รับเกียรติอย่างสูงในชนเผ่า และเป็นที่รักใคร่มากกว่าองค์หญิงสายตรง
หลังจากที่หมอหลวงเปี้ยนฝังเข็มอากุ้ยลี่อีกครั้ง ไม่นานนางก็ลืมตาขึ้น
นางเห็นหลี่หรงอวี่ ชายหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง ก่อนจะจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่หลบเลี่ยง ไร้ความเขินอายแม้แต่น้อย
เป็นครั้งแรกที่หลี่หรงอวี่ได้พบองค์หญิงอากุ้ยลี่พระองค์นี้ บางทีอาจเป็นเพราะนางกำลังป่วย แม้จะงดงามแต่กลับรู้สึกว่า ‘งามเหนือโลกา’ นั้นออกจะเกินจริงไปเล็กน้อย ร่างว่างเปล่าไร้จิตวิญญาณของความงามจะเรียกว่า ‘งามล้ำ’ ได้อย่างไร?
หลี่หรงอวี่หยิบชามโจ๊กขึ้นมาแล้วตรัสกับอากุ้ยลี่ว่า “กินมันเสียสิ”
อากุ้ยลี่หันหน้าหนีจงใจไม่กิน
หลี่หรงอวี่รู้ว่านางเป็นคนทิฐิสูง ผู้อื่นเกลี้ยกล่อมมาหลายวันแล้ว แต่นางไม่กินอะไร หากบังคับนางกินคงไม่พ้นคายออกมาหมดเป็นแน่
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสเสียใหม่ “เจ้าไม่กิน เพราะเจ้าไม่อยากแต่งเข้าอาณาจักรเหยียนใช่หรือไม่”
หนังตาของอากุ้ยลี่กระตุก แต่ยังคงนอนลงไม่พูดอะไรออกมา
หลี่หรงอวี่จึงตรัสต่อ “ตั้งแต่ข่านหุยหูส่งเจ้ามาที่วังของอาณาจักรอวี๋ ชีวิตหรือความตายไม่ใช่ของเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว แต่เกี่ยวข้องกับอนาคตของคนทั้งเผ่าของเจ้า เจ้าไม่ทราบหรือ”
ใบหน้าอากุ้ยลี่ไร้อารมณ์ ไร้การเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
หลี่หรงอวี่ยังตรัสอีกว่า “ข่านหุยหูอยากผูกไมตรีกับอาณาจักรของข้า จึงส่งเจ้ามาที่นี่ แม้จะบอกว่าแต่งงาน แต่แท้จริงแล้วคือของบรรณาการ ร่างกายของเจ้าเป็นของบรรณาการ ต่อให้เจ้าเต็มใจหรือไม่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เลือก”
คำพูดเหล่านี้แทงเข้ามาในใจของอากุ้ยลี่ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองหลี่หรงอวี่ และยังไม่อยากพูดคำใด
หลี่หรงอวี่เห็นนางฟังคำพูดของเขา จึงตรัสอย่างระมัดระวังว่า “หากงานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรอวี๋สำเร็จ มันก็เป็นเรื่องดีต่อเผ่าหุยหูและอาณาจักรอวี๋ แต่หากตัวเจ้าตายก่อนแต่งงาน เจ้าคิดหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”