ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 101 พบจี้ชิงเฟิงอีกครั้ง
บทที่ 101 พบจี้ชิงเฟิงอีกครั้ง
เหยียนอี้เอียงศีรษะมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง สายตาพลันเหลือบเห็นกระบี่เล่มหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจ
“เป็นเจ้า?” ชายหนุ่มตรงข้ามอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
เหยียนอี้ตกตะลึง ช้อนตาขึ้นไปที่ชายหนุ่ม นางรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังคงนึกไม่ออก
“อยากเจอแทบตายก็ไม่เจอ แต่กลับบังเอิญเจอเสียอย่างนั้น ฮ่า ๆ ช่างเป็นโชคชะตาเสียจริง โชคชะตา!” เขาหัวเราะชอบใจพลางมองเหยียนอี้ด้วยความกระตือรือร้น
เหยียนอี้ได้ยินเสียงของเขาก็รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย ทันใดนั้นในหัวก็เห็นเค้าร่างของชายคนหนึ่ง
ณ ห้องที่เต็มไปด้วยซากศพ ปรากฏภาพชายเปื้อนเลือด ในมือถือไม้เท้าซึ่งกำลังทุบตีเด็กจนตาย
เป็นจี้ชิงเฟิงนั่นเอง
ตอนนั้นที่เมืองอู่ซาน ชายผู้นี้ได้รับการช่วยชีวิตกลับมาที่ภัตตาคารกุ้ยซาน ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นคนสังหารเถ้าแก่ภัตตาคารหว่านซิงอย่างโหดเหี้ยม
ร่างกายเหยียนอี้สั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม
“ข้าตามหาเจ้า แต่ไม่รู้จะไปหาเจ้าจากที่ใด ร้านอาหารนั้นก็หายไปแล้ว ข้าไปถามร้านข้าง ๆ พวกเขาบอกว่าเจ้าย้ายไปที่เมืองอวิ๋นเจี้ยน แต่ข้าหาไม่พบ” จี้ชิงเฟิงยังคงบอกเล่า
“ท่าน…ท่านตามหาข้า?” ร่างกายเหยียนอี้หลั่งเหงื่ออันเย็นวาบออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เขาตามหาเพื่อฆ่าปิดปากงั้นหรือ?
โชคดีที่นางติดรถม้าหลวงเข้ามาในเมืองหลวง นางจึงไม่ได้อยู่ที่ภัตตาคารกุ้ยซานอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นคนของภัตตาคารกุ้ยซานคงจะถูกเขาฆ่าตายเช่นเดียวกับคนในภัตตาคารหว่านซิง
ครั้นได้พบจี้ชิงเฟิงอีกครั้ง ความหวาดกลัวในใจเหยียนอี้ก็ยังคงไม่ลดลง
กระนั้นก็เหมือนกับว่าชายผู้นี้ได้เปลี่ยนไปเป็นคนอื่น
ตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส สวมเสื้อผ้าขาด ๆ ท่าทางซอมซ่อ ทว่าตอนนี้เขาสวมผ้าไหมราคาแพงประดับม่วง กระทั่งเข็มกลัดตรงปกเสื้อของเขาก็มีราคาไม่น้อย ไหนจะกระบี่ของเขา ซึ่งด้ามกระบี่ประดับด้วยหินหายาก เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกหลานคนรวย
เหยียนอี้กรีดร้องในใจ ดูเหมือนว่านางไม่ควรออกจากวัง เพราะทุกครั้งที่ออกจากวังมักจะเกิดเรื่องไม่ดีเสมอ ต่อไปนี้หากถึงวันหยุดประจำปีเมื่อใด นางคงต้องนั่งกินนอนกินในห้องเสียแล้ว
แต่จี้ชิงเฟิงกลับมีท่าทางยินดีปรีดาเหลือล้น เขาสั่งอาหารหลายจาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจดุจฤดูวสันต์ ท่าทางปราศจากความดุร้าย
ไม่นานสุราปี้เย่ฮวาโหย่วของเหยียนอี้ก็มาเสียที
มันถูกบรรจุไว้ในจอกเคลือบลวดลายสวยงาม จอกเล็กสำหรับดื่ม ตัวจอกเคลือบลวดลายเงางาม ช่างงดงามล้ำค่าเสียจริง
จี้ชิงเฟิงได้กลิ่นสุราที่ต่างจากสุราของเขา จึงถามขึ้นว่า “นี่คือสุราชนิดใด เหตุใดจอกจึงเล็กเช่นนี้?”
ลูกจ้างที่จัดสุราเสร็จรีบออกไปแล้ว ที่ตรงนั้นจึงเหลือเพียงเหยียนอี้ นางจึงต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ปี้เย่ฮวาโหย่ว”
“โอ้ เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก” จี้ชิงเฟิงกล่าว ยื่นจอกสุราของตนเองให้เหยียนอี้เพื่อเทให้เขาหนึ่งจอก
เหยียนอี้คิดในใจอย่างดูถูก ‘ท่านคาดไม่ถึงแน่ รู้ไหมว่าจอกนี้มีมูลค่าเท่าไร’
แต่นางไม่กล้าที่จะปฏิเสธเขา เกรงว่าเจ้าตัวจะคลุ้มคลั่งฆ่าคนเหมือนครั้งที่แล้ว นางจึงได้แต่ต้องเทสุราให้เขาเต็มจอก
จี้ชิงเฟิงสังหารผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่เขาไม่ใช่นักฆ่า ครั้งก่อนที่เหยียนอี้เห็นเขาคือตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หากวันนั้นลงมือไม่หนัก หมดแรงเสียก่อน ก็เกรงว่าจะเป็นตนที่ถูกผู้อื่นสังหาร
ทว่าเหยียนอี้ยังจำภาพเขาลงมือสังหารผู้คนได้เป็นอย่างดี ทั้งยังคิดว่าตัวเองถูกข่มขู่ เกรงว่าเขาจะตามไปสังหารนางเสียนี่
ทว่าเมื่อฟังเขาพูดไม่กี่คำก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาปราศจากความเกลียดชัง ราวกับว่าเขากับเหยียนอี้เป็นสหายที่ไม่ได้พบกันมานาน ไม่เพียงดื่มสุราของนางเท่านั้น แต่ยังเชิญทานอาหารอีกด้วย ว่าแต่พวกเขาไปเป็นสหายกันตอนไหน?
เครื่องเทศทั้งห้าผสมกับถั่วปากอ้าในปากของเหยียนอี้ ไร้รสชาติเหมือนเคี้ยวขี้ผึ้ง ไม่อร่อยเอาเสียเลย
จี้ชิงเฟิงประหลาดใจเมื่อเห็นสุราที่นางเทเป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม
อย่างที่รู้ว่าสุราส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีขาวนวล สุราร้อนแรงบางชนิดจะมีสีใส หรือในเขตเจียงหนานก็มีสุราสีเหลืองอมน้ำตาล
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสุราสีน้ำตาลแดงเข้ม
เหยียนอี้เองก็ประหลาดใจเช่นกัน
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นสุราชนิดนี้ แต่สุราชนิดนี้จะปรากฏในยุคนี้ได้อย่างไร? ปรากฏในร้านอาหารในอาณาจักรอวี๋ได้อย่างไร
สุราชนิดนี้คือสุราที่หมักด้วยองุ่น
ไม่แปลกใจว่าก่อนดื่มสุราทำไมต้อง “ปลุกสุรา”
มีความเชื่อว่าสุราหมักองุ่นชนิดนี้คิดค้นโดยชาวกอล*[1] และชาวต้าชิน ทว่าเดิมอยู่ในที่ราบกลางตอนกลางโบราณไม่ใช่หรือ?
เหยียนอี้เทสุราใส่จอกให้ตัวเอง นางเขย่าจอกก่อนจะสังเกตเห็นสีในจอก จึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
จี้ชิงเฟิงลองจิบหนึ่งคำ ก็อดกล่าวอย่างเสียมิได้ว่า “เหมือนสุราผลไม้ต้าเย่วจื่อ ทำมาจากองุ่นหุยหูอันล้ำค่า”
เหยียนอี้ได้ยินประโยคนี้ของเขาก็นึกถึงบทกวีโบราณ ‘จิบสุราองุ่นยามรุ่งชวนเมามาย จิบไปร้องไป’ ดูเหมือนความรู้ตนเองจะคับแคบไปเสียแล้ว เช่นนั้นสุราองุ่นแดงคงมาจากแดนตะวันตก?
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!” เหยียนอี้คิดอย่างมีความสุข ถึงขนาดยืนขึ้นปรบมือสองครั้ง
องค์หญิงหุยหูคนงามผู้นั้น ไม่ใช่ว่ามาจากแดนตะวันตกหรอกหรือ?
ใช้สุราองุ่นแดงทำอาหาร บางทีอาจทำให้นางนึกถึงบ้านเกิดของนาง ไม่สิ นางต้องเต็มใจเสวยเป็นแน่!
เหยียนอี้ตัดสินใจเชื่อความคิดนี้ นางมีความสุขจนลืมตัว จี้ชิงเฟิงที่ไม่เข้าใจนางก็มองนางจนรู้สึกตัว กระนั้นความหวาดกลัวในใจก็มลายหายไปสิ้น นางแย้มยิ้มปริ่มไปด้วยความสุข มือยกขึ้นหยิบไหสุรา ก่อนจะรินใส่จอกแล้วยกดื่มอีกครั้ง
“จริงสิ เจ้าชื่ออะไร?” จี้ชิงเฟิงถามเหยียนอี้
ทว่าเหยียนอี้ไม่อยากบอกเขา จึงเรียกเด็กในร้านอาหารมาคิดเงินค่าสุรา
ลูกจ้างที่ได้ยินว่า ‘ซื้อสุรา’ ใบหน้าก็พลันแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “สุราปี้เย่ฮวาโหย่วของพวกเรา มีทั้งไหเล็กไหใหญ่ ท่านอยากได้แบบไหนขอรับ?”
เหยียนอี้ถามกลับ “ไหใหญ่ราคาเท่าไหร่ ไหเล็กราคาเท่าไหร่?”
ลูกจ้างโบกมือสองครั้ง “ไหใหญ่ราคาหนึ่งพันสามร้อยตำลึง ไหเล็กราคาแปดร้อยตำลึง หากท่านซื้อวันนี้ ร้านอาหารเราจะแถมเมล็ดแตงโมกับถั่วปากอ้าให้ด้วย”
เหยียนอี้สูดหายใจ พลางคิดในใจว่า โชคดียิ่งนักที่เหวินต้าชิงยัดตั๋วเงินให้นางเพิ่ม ไม่เช่นนั้นเงินห้าร้อยตำลึงคงซื้อไม่ได้จริง ๆ
นี่ไม่ใช่ของหายากอะไร หากให้เวลานาง นางยังสามารถทำสุราองุ่นรสชาติดีเช่นนี้ออกมาได้ จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อเชียวหรือ?
ทว่ากลับเป็นจี้ชิงเฟิงที่ยื่นเงินออกไปตัดหน้าเหยียนอี้ “เอาไหใหญ่”
เหยียนอี้ชะงัก ลูกจ้างร้านอาหารรับเงินของจี้ชิงเฟิงแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะนับเงินเพื่อหยิบเงินทอน
เหยียนอี้รีบหยิบเงินยัดใส่มือจี้ชิงเฟิง แต่จี้ชิงเฟิงผลักออกไปแล้วกล่าวยิ้ม ๆ “หากเจ้าชอบ ข้าก็จะซื้อให้เจ้า”
เหยียนอี้จึงรีบตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องซื้อให้ข้าหรอก! บอกอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นเงินของหลวง ไม่ใช่เงินข้า”
ลูกจ้างร้านอาหารกลับมาพร้อมทอนเงินสองร้อยตำลึง จี้ชิงเฟิงจัดการหยิบเงินเก็บ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า “เงินข้าก็จ่ายไปแล้ว เงินทอนก็รับมาแล้ว ครั้งนี้ข้าเป็นผู้มีน้ำใจเหลือล้น เจ้าเป็นหนี้ข้าแล้ว”
เหยียนอี้รู้สึกพูดไม่ออก แต่นางไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงบอกว่า “ข้าไม่ได้อยากได้ไหใหญ่ มันหนักเกินไป ข้าถือไม่ไหว”
ในเวลานี้เอง มีลูกจ้างคนหนึ่งนำสุราปี้เย่ฮวาโหย่วไหใหญ่มาส่ง ไหมีขนาดเท่ากับแตงโมครึ่งลูก หากกล่าวว่าถือไม่ได้นั้นก็คงไม่เกินจริงนัก แค่ทางเดินกลับก็ทำคนเหนื่อยแล้ว
จี้ชิงเฟิงหัวเราะออกมา “ข้าช่วยเจ้าส่งกลับเป็นอย่างไร เจ้าอยู่ที่ไหนเล่า?”
เหยียนอี้คิดในใจ นางออกจากวังได้ปีละไม่กี่ครั้ง หากนางกลับวังแล้ว เขาจะมีโอกาสพบนางอีกครั้งได้อย่างไร แค่ให้เขาตามไปส่ง อย่างไรวังหลวงเป็นสถานที่เข้มงวดที่สุดในใต้หล้า คนนอกคงไม่อาจเข้าไปได้
นางจึงบอก “ข้าอยู่ในวังหลวง ท่านอยากไปส่งอยู่หรือไม่?”
ผู้ใดจะคาดว่าจี้ชิงเฟิงจะหัวเราะ “ตอนข้าพบเจ้า เจ้ายังอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกล แต่พบเจ้าตอนนี้อยู่ในเมืองหลวงเสียแล้ว เจ้ายังกล้าพูดไร้สาระกับข้าอีก ดียิ่ง บอกมาเถิดว่าบ้านเจ้าอยู่ไหน ข้าจะช่วยส่งเจ้ากลับ ไม่เช่นนั้นเจ้าต้องเหนื่อยถือคนเดียว”
เหยียนอี้เห็นเขาไม่เชื่อก็อดหัวเราะไม่ได้ นางคิดจะแกล้งเขาอีกหน่อย
คิดได้ว่าตอนนี้กลางวันแสก ๆ เขาเองก็ดูไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ทั้งยังไม่น่ากลัวเหมือนตอนนั้น
เหยียนอี้จึงหยิบถั่วปากอ้าที่ยังกินไม่เสร็จมาหนึ่งกำมือ “งั้นท่านมากับข้า”
จี้ชิงเฟิงลอบยิ้มเล็กน้อย เขาใช้มือข้างหนึ่งคว้าไหสุรา จากนั้นเดินตามเหยียนอี้ออกจากร้านอาหาร
เหยียนอี้ไม่ได้ออกมาข้างนอกเป็นเวลานาน ไม่ง่ายนักที่จะได้ออกจากวัง แต่เมื่อได้พบท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ความสนใจซื้อของก็หมดสิ้น ใจนางอยากจะกลับวังให้เร็วที่สุด จะได้ปลดภาระนี้เสียที
จี้ชิงเฟิงพยายามคุยกับนางตลอดทาง จุดประสงค์สำคัญคือถามชื่อนางเอาไว้
ตามหลักแล้วการที่ชายหนุ่มถามชื่อหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานนับเป็นเรื่องเสียมารยาท เหยียนอี้จึงไม่อยากบอกเขา
แต่จี้ชิงเฟิงไม่ได้รู้สึกถึงความเสียมารยาทนี้ จึงเอาแต่ถามซ้ำหลายครั้ง
หลังจากกลับเข้าวัง เหยียนอี้คิดว่าจะไม่เจอคนผู้นี้อีก นางจึงสุ่มชื่อ ตอบออกไปว่า “หนิวอ้ายฮวา*[2]”
จี้ชิงเฟิงหัวเราะ ‘ฟุบ’ ออกมา “งั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าชื่ออะไร?”
เหยียนอี้ยังจำชื่อของเขาได้ จี้ชิงเฟิง ตอนนั้นในเมืองอู่ซาน ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดคือขอให้นางจำชื่อของเขา เช่นเดียวกับฉากโลหิตนองพื้นที่ยังนึกถึงจนทุกวันนี้ ไม่กล้าลืมเลือนไปจากความทรงจำ
ทว่าเหยียนอี้กลับเลือกที่จะพูดว่า “ลืมแล้ว”
จี้ชิงเฟิงไม่สนใจ รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า “หากเจ้าชื่อหนิวอ้ายฮวา ข้าคงชื่อฮวา*[3]”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหยียนอี้ก็แทบกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
ไม่นานพวกเขาก็เดินออกจากถนนไป่อิ๋น ตรงเข้าไปยังวังหลวง
จี้ชิงเฟิงไม่คุ้นเคยกับถนนเส้นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นถนนเข้าสู่วังหลวงจึงเดินตามนางไป
เหยียนอี้เร่งฝีเท้าขึ้น ถึงวิชาตัวเบาของจี้เชิงเฟิงจะยอดเยี่ยม สามารถเดินแซงนางได้ แต่เขาก็ยังคงเดินตามเหยียนอี้ครึ่งก้าวเสมอ
หลังจากเดินไปได้ชั่วครู่ เขาก็มองเห็นกำแพงวังหลวงสูงชัน จี้ชิงเฟิงรู้สึกว่ามีบางไม่ปกติ กระนั้นก็ยังกล่าวยิ้ม ๆ ออกมา “ หนิวอ้ายฮวา เจ้าจะพาข้าไปที่วังจริงหรือ?”
แม้ว่ามันจะเป็นชื่อปลอมของนาง แต่เหยียนอี้ฟังแล้วรู้สึกอับอายนักจนอยากจะปิดหูแล้ววิ่งหนีไปให้พ้น
ถึงจี้ชิงเฟิงจะรู้ว่าชื่อนี้ต้องเป็นชื่อปลอมของนาง แต่ก็รู้สึกขบขันจนอยากหยอกล้อ เขาจึงตะโกนเรียก “หนิวอ้ายฮวา” “หนิวอ้ายฮวา”
หลังจากเดินมาถึงกำแพงวัง เหยียนอี้ก็เห็นคนขี่ม้าสองคนกำลังออกจากประตูวัง ม้าตัวนั้นคือม้าโลหิตที่ชาวหุยหูยกย่อง น่าเกรงขามนัก และคนผู้หนึ่งในนั้นสวมชุดสีดำ มีเพียงปกเสื้อเท่านั้นที่เป็นสีเงินหรูหรา
[1] ชาวกอล หมายถึงชาวโรมันในอดีต
[2] หนิวอ้ายฮวา แปลตรงตัวว่า วัวรักดอกไม้
[3] ฮวา แปลตรงตัวว่า ดอกไม้