ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 10 คนใจดี หลิวจู (รีไรท์)
บทที่ 10 คนใจดี หลิวจู (รีไรท์)
ขณะนั้นเอง ชายที่ชื่อหลิวจูกลับมาจากการตัดฟืนและเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพอดี ใบหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน เขาถือขวานไว้ในมือ เดินกะเผลกเข้าไปในลานบ้านก่อนจะตะโกนใส่เหยียนฟู่กุ้ย “เจ้ากำลังทำอะไร? บุรุษที่ใดทุบตีสตรีบ้าง? นางหย่ากับเจ้าไปแล้ว!”
“ไอ้คนพิการตัวเหม็น เจ้าตะโกนทำไม? ถึงคราวให้คนพิการมาดูแลเรื่องครอบครัวของข้าแล้วอย่างนั้นหรือ” หลังพูดจบ เหยียนฟู่กุ้ยก็หันไปเตะหลิวจู
แต่ยังไม่ทันที่เท้าจะเตะถึงตัว เหยียนฟู่กุ้ยก็ล้มลงไปกับพื้นเสียเอง
“แม้ว่าข้าจะเป็นคนพิการ แต่ข้ามีพลังมากกว่าเจ้าที่เต็มไปด้วยไขมัน!” หลิวจูหยิบไม้เท้าขึ้นมาตีเหยียนฟู่กุ้ยสองครั้ง
จากนั้นหลิวจูก็พูดอย่างเดือดดาล “หากเจ้ามีน้ำยาก็ลุกขึ้นสู้มากับคนพิการเช่นข้าสิ ทุกคนในหมู่บ้านอยู่ที่นี่แล้ว ข้าไม่กลัวแม้แต่น้อยหากมันจะเป็นเรื่องใหญ่”
เหยียนฟู่กุ้ย จะต้องยอมขายหน้าเพราะพ่ายแพ้คนพิการเช่นนี้ได้อย่างไร? เขากำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ก่อนที่เขาจะลุกขึ้น หลิวจูก็ตีเขาด้วยไม้เท้าแล้วล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
เหยียนฟู่กุ้ยซึ่งนอนอยู่บนพื้น ไม่ต่างกับหมูกำลังตะโกนสาปแช่ง “ไอ้คนพิการเฮงซวย!” จากนั้นก็คว้าไม้บนพื้นแล้วขว้างใส่หลิวจู
เหยียนอี้และเหอซื่อยืนขึ้น คนหนึ่งก็ร้องไห้ อีกคนหนึ่งก็ยังสับสน เฝ้าดูหลิวจูสั่งสอนบทเรียนให้เหยียนฟู่กุ้ย
ในลานบ้าน ชายสองคนปล้ำกันอย่างไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย แม้ว่าขาข้างหนึ่งของหลิวจูจะใช้การไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหยียนฟู่กุ้ยเลย
ทุกคนในหมู่บ้านรู้ดีว่าหลิวจูเป็นคนซื่อตรง แม้ว่าเขาจะดูไร้อารมณ์และดูเหมือนเป็นคนดี ทว่าเมื่อเขาเห็นความไม่ยุติธรรม เขาก็พร้อมจะเข้าต่อสู้
ชายสองคนโรมรันใส่กันดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าของเหยียนฟู่กุ้ยกลายเป็นสีน้ำเงินและสีม่วง บนมือปรากฏรอยขีดข่วนและเปรอะไปด้วยเลือด
ไม่รู้ว่าใครเรียกหลี่เจิ้งมาแล้วดึงพวกเขาให้แยกจากกัน เหยียนฟู่กุ้ยซึ่งได้รับบาดเจ็บทั่วร่างถูกลงโทษ ในที่สุดเขาก็ถูกหลี่เจิ้งขับไล่ออกไป ส่วนหลิวจูและเหอซื่อยังอยู่ในลาน
เหอซื่อเช็ดหน้าเช็ดตา จัดผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วค่อย ๆ เดินไปที่ด้านหน้า ฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ
นางสะอื้นไห้และก้มศีรษะลงพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า ไม่กล้ามองหลิวจู หลังจากนั้นไม่นานนางค่อยเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมกระซิบ “ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”
หลิวจูถอนหายใจก้มลงหยิบฟืนบนพื้น จากนั้นปรายตาไปที่บาดแผลบนร่างกายของเหอซื่อ “ไม่เป็นไร ข้ายินดีช่วย”
ดวงตาของเหอซื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพียงแค่คำพูดนี้ คลับคล้ายจะมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้นในสายตา นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา หลังจากเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอับอาย นางก็รีบหันหลังกลับไปที่ห้องทันที
แม้ว่าเหยียนอี้จะไม่เข้าใจขณะมองไปที่แผ่นหลังของท่านแม่ แต่นางรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อขอบคุณเขา “ขอบคุณเจ้าค่ะลุงหลิว”
หลิวจูมองไปที่เหยียนอี้ ก่อนจะหันไปมองเหยียนจื่อที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตู เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “มันคงยากมากสำหรับเจ้าสองคน”
…
ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะกำลังร้อนระอุ จักจั่นบนต้นไม้ส่งเสียงหรีดหริ่ง อย่างไรก็ตามในลานที่วุนวายได้ซ่อนอารมณ์ที่แตกต่างเอาไว้
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ครอบครัวเหยียนและผู้หญิงทั้งสามได้กลายเป็นข่าวซุบซิบของชาวบ้านในมื้อเย็น หนึ่งกระจายสิบ สิบกระจายร้อย นอกจากนี้หมู่บ้านอู่ซานยังใหญ่มาก แม้แต่เด็กวัยหัดเดินก็รู้จักดี
หลิวจูเดินกะเผลกไปรอบ ๆ ลานมองไปทางซ้ายทีขวาที ในท้ายที่สุด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา มือที่แห้งและคล้ำของเขาหยิบฟืนทั้งหมดในตะกร้าออกมาแล้ววางไว้ที่มุมประตู
“ข้าจะทิ้งฟืนไว้ให้เจ้า ไม่มีฟืนในบ้าน จะทำกินได้อย่างไร”
หลังจากนั้นเขาก็หันไปที่ห้อง มองไปยังโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งไม่เหลือรูปร่างเดิมและพูดว่า “ส่วนโต๊ะ รั้ว และเก้าอี้ ข้าจะมาช่วงบ่ายวันนี้เพื่อซ่อมแซมให้เจ้า”
เหอซื่อมองไปที่แผ่นหลังของหลิวจู แล้วเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือของนางก่อนจะกลั้นสะอื้น “เราไม่อยากรบกวนเจ้า เราจะแก้ไขด้วยตัวเอง”
“พวกเจ้าสามคนซ่อมเก้าอี้และโต๊ะได้หรือ? เจ้าจะซ่อมมันโดยไม่ใช้ค้อนได้อย่างไร” หลิวจูพูดแล้วเดินกะเผลกไปมา หลังจากมองเหอซื่ออยู่พักหนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องถูกแล้วที่คนหมู่บ้านเดียวกันต้องช่วยเหลือกัน ข้าจะกลับบ้านไปเอาค้อนมา เจ้าสามคนรออยู่ที่บ้านล่ะ”
ด้วยคำพูดเหล่านี้เขาจึงหยิบตะกร้าขึ้นหลัง ก่อนจะหยิบขวานและเดินกะเผลกออกจากลานบ้านไป
เหยียนอี้และเหยียนจื่อ ยืนอยู่ข้าง ๆ เหอซื่อ และมองดูนางที่กำลังจ้องมองแผ่นหลังของหลิวจู
หลังจากนั้นไม่นาน เหยียนอี้ก็ถามเหอซื่ออย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ ลุงหลิวเป็นใครหรือ? เขาเป็นคนดีมากเลย”
“เมื่อแม่ยังเป็นเด็กพวกเราเป็นเพื่อนเล่นกัน เขาเป็นคนดีจริง ๆ แต่เขาไม่พบคู่ที่จะแต่งด้วย” เหอซื่อค่อย ๆ เอ่ยออกมา เมื่อพูดถึงเขาดวงตาของนางดูเหมือนจะแฝงความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลังจากฟังสิ่งที่นางพูดแล้ว เหยียนอี้สามารถเดาได้ว่าเหอซื่อมีบางอย่างในใจ แต่นางไม่ได้พูดอะไร นางพยุงเหอซื่ออย่างระมัดระวังกลับไปที่บ้านและเช็ดแผลบนใบหน้าของนางด้วยสมุนไพร
ในช่วงบ่าย หลิวจูกลับมาพร้อมค้อนและกระดานไม้ เขานำพวกมันมาเพื่อซ่อมแซมโต๊ะและเก้าอี้ให้ทั้งสามคน เช่นเดียวกับหม้อและชามผักป่าและสิ่งอื่น ๆ
“ลุงหลิว ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” เหยียนอี้กล่าวขณะที่นางนั่งยอง ๆ ข้าง ๆ เขาพลางดูเขาซ่อมเก้าอี้
แม้ว่าขาข้างหนึ่งจะใช้การไม่ได้ แต่ความสามารถของหลิวจูกลับยอดเยี่ยมมาก หลายสิ่งหลายอย่างในหมู่บ้านที่ผุพังล้วนเป็นเขาที่คอยซ่อมแซมให้กลับมาดีดังเดิม