ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 1 ชีวิตสามแม่ลูกอันแสนขมขื่น(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 1 ชีวิตสามแม่ลูกอันแสนขมขื่น(รีไรท์)
บทที่ 1 ชีวิตสามแม่ลูกอันแสนขมขื่น(รีไรท์)
แสงอาทิตย์ร้อนระอุแผดเผาลงผืนดินและหมู่ไม้เกิดเสียงกรีดร้องหวีดหวิวเล็ดลอดออกมา
อุณหภูมิสูงตลอดทั้งวันทำเอาผู้คนเสียอารมณ์ บนถนนจึงไร้เงาผู้ใดแม้แต่เพียงคนเดียว คงมีเพียงแค่เสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาที่ดังลอดออกมาจากลานเล็ก ๆ ของตระกูลเหยียนเท่านั้น… สตรีร่างผอมแห้งอ่อนแอผู้หนึ่งกำลังคุกเข่าคู้ลงกับพื้น ทั้งเรือนร่างลามไปถึงดวงหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินคราบโคลน ตรงลำคอปรากฏรอยแดงปื้นเห็นได้ชัด
เหยียนอี้ที่แบกถังน้ำกลับมาจากแม่น้ำเห็นมารดาคุกเข่าอยู่ก็รีบวางถังน้ำลง ก่อนจะรุดไปหาพลางถามขึ้น “ท่านแม่ เกิดเหตุใดขึ้น รีบลุกขึ้นเร็วเถิด”
“ท่านพี่ ทะ… ท่านพ่อทุบตีท่านแม่อีกแล้ว ครานี้ท่านพ่อบีบคอท่านแม่ด้วย!” เหยียนจื่อ น้องสาววัยสิบขวบปาดน้ำตาทิ้งแล้วเอ่ยกับเหยียนอี้ด้วยน้ำเสียงอู้อี้
เหยียนอี้รีบช่วยพยุงมารดากลับเข้าไปในห้อง ภายในมีเตียงไม้ขึ้นรา ตรงผนังมีโต๊ะสี่เหลี่ยมขาหักพิงอยู่ มองไปอีกฟากมีชามใบนิดใบน้อยวางไว้สองใบสำหรับดื่มน้ำ เหยียนอี้เทน้ำใส่ชามแล้วยื่นให้มารดา เมื่อมองดูรอยฟกช้ำที่คอของผู้เป็นแม่ ความรู้สึกไม่พอใจก็พลันตีตื้นขึ้นมา
นี่ก็ปาเข้าไปสามสิบห้าวันแล้วที่เหยียนอี้ทะลุมิติที่นี่ นางนับวันเวลาอยู่ทุกลมหายใจ อยู่ถึงตอนนี้นางถึงรับรู้ถึงทุกสถานการณ์ภายในบ้านทีละน้อย
บิดาผู้ขี้ขลาดที่ชอบทุบตีภรรยานั้นเป็นพี่คนโตในตระกูลเหยียนและเป็นที่รักของแม่เฒ่าหลี่เป็นพิเศษ พ่อเฒ่าหรือท่านปู่ได้จากไปนานแล้ว มีเพียงแม่เฒ่าหลี่เท่านั้นที่เลี้ยงดูลูกชายทั้งหลายจนเติบใหญ่ หลังจากแยกครอบครัว แม่เฒ่าหลี่ก็อาศัยอยู่กับ ‘เหยียนฟู่กุ้ย’ หรือเหยียนขี้ขลาดผู้เป็นพ่อของเหยียนอี้
อาสี่ได้ตบแต่งเข้าตระกูลจางที่อยู่ในเมืองและกลายเป็นลูกเขยของตระกูลนั้น เขาเลยไม่จำเป็นต้องกลับมาบ้านเกิดเดือนละครั้ง อาห้ากำลังเล่าเรียนอยู่ที่ต่างแดนเพื่อทำตามความฝันที่จะสอบเข้าเมืองหลวงเท่านั้น ส่วนอารองและอาสามนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว
เหอซื่อคือแม่ผู้ให้กำเนิดนางกับเหยียนจื่อผู้เป็นน้องสาว ตั้งแต่แต่งงานกับเหยียนฟู่กุ้ย ทางครอบครัวของท่านแม่ก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง เหยียนอี้จึงได้เรียนรู้และซึมซับบางอย่างจากมารดาอย่างช้า ๆ
ตระกูลเหอมีลูกชายเพียงคนเดียวและลูกสาวหนึ่งคนคือท่านแม่ พวกเขาอาศัยอยู่ทางทิศบูรพาของหมู่บ้าน หลังจากที่ท่านแม่แต่งออกไป ทั้งลุง ปู่ ย่า ตา และยายก็ถูกทิ้งให้อยู่ด้วยกัน พึ่งพาเพียงลุงของนางที่เป็นลูกและหลานคนโตคนเดียวในตระกูล ชีวิตทางนั้นเองก็ลำบากไม่น้อย
“ท่านแม่ ดื่มน้ำก่อนเถิด” เหยียนอี้เอ่ยเบา ๆ พลางปัดดินที่อยู่บนร่างของผู้เป็นแม่ออกอย่างเบามือ
“แค่ก ๆ ๆ”
“ช้าลงหน่อยสิท่านแม่ ประเดี๋ยวจะสำลักหมด” เหยียนอี้ลูบแผ่นหลังผ่ายผอมไปมา
เหอซื่อเอนตัวลงบนเตียงอย่างเฉื่อยชา น้ำตาไหลรินลงมาที่หางตาเป็นสาย… เหยียนอี้ทอดสายตามองผู้เป็นแม่ ในหัวใจพลันบีบปวดรวดร้าว
เวลาล่วงเลยมาเกือบจะเที่ยงวัน คนที่ไปทำงานในทุ่งนาต่างกลับบ้านพร้อมกับจอบที่พาดไว้บนบ่า ส่งเสียงเอะอะเหมือนจักจั่นอยู่ด้านนอก ฟังแล้วน่ารำคาญนัก เหอซื่อเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อขาดรุ่งริ่ง นางลุกขึ้นเตรียมตัวเตรียมใจ จากนั้นกล่าวเสียงโรยราออกมา “แม่คงต้องไปก่อน… ต้องไปเตรียมทำอาหาร ไม่เช่นนั้นอีกไม่นานท่านย่าของเจ้าได้โวยวายอีกแน่”
เมื่อเห็นท่าทางบวกกับร่างกายที่อ่อนแอของสตรีตรงหน้า เหยียนอี้ก็รีบพยุงมารดาขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กสาวผงกศีรษะให้เหยียนจื่อแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านแม่นั่งลงเถิด… ข้าจะไปทำเอง”
หลังจากพูดจบ เหยียนอี้ก็สวมรองเท้าแล้วรุดไปยังห้องครัว ผมเปียที่คลอเคลียอยู่ด้านหลังกระเพื่อมไปมาตามแรงวิ่ง ดูต่างจากเด็กสาววัยแรกรุ่นตัวน้อยจากครอบครัวอื่นที่มักจะเกล้าผมด้วยเชือกสีแดงบนศีรษะ เด็กน้อยทั้งหลายต่างดูดีมีสกุล โชคร้ายที่เหยียนอี้เติบโตมากับแม่เฒ่าหลี่ตระหนี่ขี้เหนียว ซ้ำยังชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง…
ก่อนเข้าครัว นางได้ยินเสียงแม่เฒ่าหลี่แผดเสียงตะคอกโกรธจัด “นังเด็กบ้า แม่เจ้าขี้เกียจแกล้งตายอีกแล้วหรือไร! ไปเรียกให้นางมาทำอาหารเร็ว ๆ เข้า คิดจะให้หญิงชราอย่างข้าอดตายไปเลยใช่หรือไม่!”
“ท่านย่าเจ้าคะ ท่านแม่ร่างกายอ่อนเพลีย วันนี้ข้าจะเป็นคนทำเอง ท่านย่านั่งพักเถิดเจ้าค่ะ” เหยียนอี้หันหลังกลับมา พับแขนเสื้อขึ้นแล้วตรงเข้าครัวไปล้างผักและเตรียมหม้ออาหาร
แต่แม่เฒ่าหลี่ไม่ยอมแพ้ นางกระแทกไม้ค้ำในมือลงไปที่พื้นหมายจะทำให้พื้นเป็นรูโหว่ให้ได้
แม่เฒ่าหลี่ตวาดเสียงดังกร้าว “เหนื่อยนิดหน่อยอย่างนั้นหรือ ตอนเช้าเจ้าทำอะไรบ้าง? ก็แค่ซักเสื้อผ้า ให้อาหารหมู เมื่อวานก็ไม่มาเปิดประตู สมควรแล้วที่จะโดนทุบตี ตีให้ตายเสียยังจะดีเสียกว่า! ในเมื่อให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ก็คอยดูแลตระกูลเหยียนซะ… แล้วนี่อะไร ป่วยออด ๆ แอด ๆ อยู่ทุกวี่ทุกวัน ไร้ประโยชน์เสียจริง!”
หลังจากกล่าวเสร็จ แม่เฒ่าหลี่ก็ถ่มน้ำลายลงบนพื้น เหยียบขยี้ด้วยเท้าจนร่องรอยน้ำลายเหล่านั้นซึมหายไป
คำพูดเช่นนี้แม้จะเป็นเรื่องธรรมดา แต่มารดาของเหยียนอี้ที่อยู่ในห้องด้านหลังไม่เคยทำใจให้ชินได้ต่อให้ได้ยินมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน นางทำได้เพียงกำแขนเสื้อด้วยมือทั้งสองแน่น ข่มมันไว้ในใจ ไม่กล้าแม้แต่จะร่ำไห้ออกมา…
“ท่านย่าเจ้าคะ กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า บ่าย ๆ อากาศร้อนเช่นนี้ ประเดี๋ยวข้าจะไปเอาน้ำมาให้” ในเวลานี้เหยียนอี้แค่ต้องการจะปิดปากแม่เฒ่าหลี่ก็เท่านั้น หญิงสาวเดินไปที่ถังเก็บน้ำพร้อมกับกระบวยไม้ ตักน้ำหนึ่งชามก่อนจะยื่นให้แม่เฒ่าหลี่ดับกระหาย
“ชาติที่แล้วข้าไปทำเวรกรรมอะไรไว้นักหนา พอแก่แล้วต้องมามีตัวซวยถึงสามตัว เห็นหน้าแล้วพาลรู้สึกแย่ พะอืดพะอมสิ้นดี ไสหัวไปให้พ้น!” แม่เฒ่าหลี่แผดเสียงจบก็กลับบ้านไปพักพร้อมกับน้ำดื่ม นางไม่แม้แต่จะมองเหยียนอี้แม้แต่หางตา
ส่วนเหยียนฟู่กุ้ยนั้นจะไม่กลับบ้าน จนกว่าอาหารจะพร้อมจัดเรียงรายบนโต๊ะกินข้าว
เหยียนฟู่กุ้ยเป็นบุรุษร่างสูงสง่าผ่าเผย ทว่าทุกครั้งที่กลับมาเสื้อผ้ามักยับยู่ยี่ไม่เรียบร้อย อีกทั้งร่างกายยังเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องประทินโฉม ทันทีที่เหยียนอี้ได้กลิ่น นางก็รู้ทันทีว่าเขาไปหาแม่ม่ายจางที่อยู่ทางเข้าหมู่บ้านอีกแล้ว ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น!
เหยียนฟู่กุ้ยนั่งลง สวาปามจนพอใจ จากนั้นก็ลุกขึ้น ผลักประตูเดินออกไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่พูดจากับเหอซื่อแม้เพียงครึ่งคำ ส่วนแม่เฒ่าหลี่ไม่ชอบอากาศร้อน นางจึงไปอยู่แต่ในห้องนอนหลังจากกินข้าวเสร็จ
หลังจากที่เหยียนอี้เก็บของเรียบร้อย มารดาตนก็ยังเอาแต่เงียบนิ่ง แทบจะไม่มีสิ่งใดตกสู่ท้องตั้งแต่ช่วงกลางวันที่ผ่านมา… เหยียนอี้จึงแอบเอาข้าวครึ่งชามที่นางเก็บไว้มาให้
“ท่านแม่ รีบกินเถิด หากท่านย่ามาเห็นจะแย่เอา” เหยียนอี้มองไปยังห้องแม่เฒ่าหลี่ก่อนจะกระซิบอย่างระแวดระวัง
เหอซื่อถือชามข้าวไว้ ภายในเป็นโจ๊กลูกเดือยครึ่งชาม โรยด้วยไข่ขาวสองสามแผ่นที่ตัดแบ่งจากไข่ทั้งฟอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม่เฒ่าหลี่จะเอาแต่ตะโกนเมื่อตอนเที่ยงว่าได้ไข่น้อยเพียงใด…