ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 13 บทที่ 372 เซียวยวี่ เจ้าดูเสื้อกำลังร่ายระบำ
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 13 บทที่ 372 เซียวยวี่ เจ้าดูเสื้อกำลังร่ายระบำ
ยามเซียวยวี่แย้มรอยยิ้ม เผยให้เห็นฟันสีขาวผ่องดุจหิมะ ขาวสว่างจนเซี่ยยวี่หลัวผงะไป ฝนหมึก?
“ได้สิ! ” นางยิ้มพร้อมตอบตกลง อย่างไรเสียก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ
เซียวยวี่แย้มรอยยิ้ม “อย่าอยู่ที่นี่เลย กลิ่นเหม็น ออกไปเถอะ! ”
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้าก่อนออกไป
เมื่อเห็นเซี่ยยวี่หลัวที่ว่าง่ายถึงเพียงนี้ เซียวยวี่ยิ้มอย่างมีความสุข ก้มตัวล้างทำความสะอาดจานกับชามในน้ำที่ทั้งมันและสกปรกต่อ
เซี่ยยวี่หลัวออกจากห้องครัว ยืนรอเซียวยวี่อยู่ใต้ชายคา
เสื้อผ้าที่นางทำสกปรกเมื่อวานยังแขวนอยู่บนราวตากผ้าไม้ไผ่ ข้างๆ ยังมีเสื้อผ้าสีขาวของเซียวยวี่ที่นางทำเลอะอยู่ด้วย
สายลมพัดโชย เสื้อผ้าโบกพลิ้วตามสายลม ใกล้ชิดแนบแน่น แยกไม่ออกแล้วว่าตัวไหนเป็นของนาง ตัวไหนเป็นของเขา!
เซียวยวี่เช็ดมือพลางเดินออกมา เห็นเซี่ยยวี่หลัวมองเสื้อผ้าด้วยอาการเหม่อลอยพอดี เผยรอยยิ้มตรงมุมปาก “กำลังดูอะไรหรือ? ”
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวตามสัญชาตญาณ “เซียวยวี่ เจ้าดูเสื้อผ้ากำลังร่ายระบำ! ”
เซียวยวี่ยืนอยู่ข้างๆ ดูครู่หนึ่งก่อนกล่าว “จริงด้วย พวกมันกำลังร่ายระบำ! ” ความคิดของนางมักจะพิเศษไม่เหมือนผู้ใด ทำให้รู้สึกตกตะลึงได้เสมอ
จู่ๆ เซี่ยยวี่หลัวก็หันหน้ามา มองเซียวยวี่แวบหนึ่ง เซียวยวี่ถูกมองจนผงะไป “มีอะไรหรือ? ”
“เจ้าเต้นรำเป็นหรือไม่? ” เซี่ยยวี่หลัวเอียงศีรษะเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เซียวยวี่ผงะไป จากนั้นจึงส่ายหน้า “ไม่เป็น”
เซี่ยยวี่หลัวยิ้ม “ไว้วันไหนมีเวลาว่าง ข้าสอนเจ้าเต้นเอง”
เซียวยวี่ใบหน้าขึ้นสีแดง กำลังจะกล่าวว่าการร่ายรำเป็นเรื่องของสตรี เขาเป็นชายชาตรี จะเต้นรำทำไม แต่เห็นเซี่ยยวี่หลัวทำสีหน้าตั้งตารอคอย เซียวยวี่ไม่อาจตัดใจปฏิเสธได้ จึงกล่าวเพียงว่า “ได้! ”
ทั้งสองคนเข้าไปในห้องหนังสือของเซียวยวี่
เดิมทีเซียวยวี่อยากไปในแปลงนา แต่เป็นห่วงว่าเซี่ยยวี่หลัวอยู่บ้านคนเดียวไม่มีคนดูแล ดังนั้น เขาจึงไม่ไป อยู่บ้านเพื่อดูแลเซี่ยยวี่หลัวโดยเฉพาะ
เข้าไปในห้องหนังสือ เดิมทีเซี่ยยวี่หลัวคิดจะนำหมึกไปฝนที่อื่น ที่ไหนได้เพิ่งเข้าห้อง เซียวยวี่ก็ยกเก้าอี้มาหนึ่งตัว วางไว้หน้าโต๊ะ อยู่ข้างๆ เก้าอี้ที่เขานั่ง
เช่นนี้เท่ากับไม่ให้นางไปฝนหมึกที่อื่น
ในเมื่ออีกฝ่ายยกเก้าอี้มาแล้ว เซี่ยยวี่หลัวก็ไม่คิดอิดออด พูดออกไปฟังดูไม่ใจกว้างเลยสักนิด
ที่สำคัญคือ อีกฝ่ายเป็นสามีของตัวเอง มือก็จูงแล้ว ตัวก็กอดแล้ว จูบก็จูบแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้จุมพิตตรงปาก เมื่อคืนนี้ ทั้งสองคนก็นอนด้วยกันแล้ว
ถึงแม้จะนอนหลับกันบนเตียงเท่านั้นจริงๆ ทว่า ทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากัน เรื่องเหล่านี้ถือว่าปกติมากนี่นา!
เซี่ยยวี่หลัวเดินไปนั่งลง เริ่มฝนหมึก
เซียวยวี่ยกเก้าอี้เสร็จ ก็ไปเปิดหน้าต่าง เขาคอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวของเซี่ยยวี่หลัวอยู่ตลอด กลัวว่านางจะไม่ยอมฟังเขา พอหันกลับมา เซี่ยยวี่หลัวนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ กำลังจับแท่งหมึกเริ่มฝนหมึก เซียวยวี่แย้มรอยยิ้ม เดินเข้าไปหา
ห้องหนังสือที่เงียบสงบ มีเพียงพวกเขาสองคน หน้าต่างเปิดออกเล็กน้อย สายลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอก โบกพัดผ้าม่านสีขาวให้พลิ้วไหวเบาๆ มุมที่พลิ้วขึ้น เผยให้เห็นลายปักใบไผ่สีเขียวที่ประณีตงดงาม
ปลอดภัยชั่วชีวิต สงบสุขทุกเดือนปี
น่าจะเป็นเช่นนี้!
ทั้งสองคนต่างไม่ได้กล่าวอะไร คนหนึ่งอ่านตำราอย่างสงบ อีกคนหนึ่งฝนหมึกอย่างสงบ
ต่างก็ไม่ได้แอบมองอีกฝ่าย แต่หากดูให้ละเอียด จะพบว่าดวงตาของเซียวยวี่มองผ่านตำราไปเป็นครั้งคราว ทอดสายตามองเซี่ยยวี่หลัวที่อยู่ทางขวาเยื้องหน้า
เมื่อครู่นี้ เขาจงใจดึงเก้าอี้ของตัวเองให้ถอยหลังเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าทำไปเพราะไม่อยากรบกวนการฝนหมึกของนาง ที่ไหนได้ ไม่รู้ว่าเขาแอบมองอย่างโจ่งแจ้งเป็นหนที่เท่าไรแล้ว เซียวยวี่เพิ่งเข้าใจ ว่าตัวเองไม่ได้กลัวว่าจะรบกวนการฝนหมึกของนาง แต่มีใจคิดไม่ซื่อ อยากมองนางอย่างเปิดเผย
ต่อให้เป็นแค่ใบหน้าด้านข้าง ก็ยังงดงามจนทำให้เขาใจเต้นแรง ไม่อาจสงบใจได้อยู่นาน
ในตำราเขียนอะไรไว้ และเขาอ่านหน้านี้มานานเพียงใด เขาล้วนแต่จำไม่ได้แล้ว!
ในห้วงภวังค์มีเพียงความคิดเดียว คือดึงนางมาไว้ในอ้อมอก
เซี่ยยวี่หลัวฝนหมึกเสร็จแล้ว จึงเก็บแท่งหมึกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงดันจานฝนหมึกไปยังตำแหน่งที่เซียวยวี่วางตลอด กำลังจะลุกขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกตัวหมุนเคว้ง เสี้ยววินาทีต่อมา นางก็นั่งอยู่บนตัวเซียวยวี่แล้ว
เซี่ยยวี่หลัวตกใจสะดุ้ง มือทั้งคู่จึงโอบคอเซียวยวี่ไว้
เซียวยวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับจะมีน้ำหยดออกมาก็มิปาน “ยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่หรือไม่? ”
เซี่ยยวี่หลัวย่อมรู้ว่าเขาหมายถึงตรงไหน อายจนหน้าแดงอีกครั้ง เพียงส่ายหน้า “ดีขึ้นกว่าเมื่อวานมากแล้ว”
“หายดีหรือยัง? ” เซียวยวี่เอ่ยถาม จ้องมองเซี่ยยวี่หลัวอย่างตาไม่กะพริบ
เซี่ยยวี่หลัวนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวตามจริงโดยสัญชาตญาณ “ยังไม่หายดี”
เซียวยวี่ขานตอบอย่างเรียบสงบ จากนั้นจึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกว่าท่านั่งเช่นนี้ช่างดูขัดเขินยิ่งนัก แต่จะขยับตัวก็ไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งเงียบๆ
เซียวยวี่เองก็ไม่ได้ดีกว่ากันมากนัก
กอดนางไว้ในอ้อมอกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะคุยอะไร เขาที่พูดจาฉะฉานอย่างที่ไม่มีผู้ใดทัดเทียมเมื่อครั้งอยู่ที่สถานศึกษา กลับไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
“เซียวยวี่ เจ้าจะอ่านตำราหรือไม่? ” เซี่ยยวี่หลัวหาหัวข้อพูดคุยตามเรื่องตามราว
เซียวยวี่เพิ่งตั้งสติได้ กล่าวตอบตามประสา “อืม อ่าน”
“เช่นนั้นเจ้าอ่านตำราเถอะ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว” เซี่ยยวี่หลัวลุกขึ้น เซียวยวี่ได้แต่ปล่อยไปด้วยความจนใจ หยิบตำรามาหนึ่งเล่ม ตามองตำรา แต่ใจกลับลอยไปแห่งหนใดก็มิอาจรู้ได้
ชั้นวางตำราด้านหลังเซียวยวี่มีตำราอยู่ไม่น้อย เซี่ยยวี่หลัวกวาดสายตามองดู พบว่ามีตำราใหม่หลายเล่ม ดูท่าเซียวยวี่เพิ่งซื้อเมื่อไม่นานมานี้
เลือกตำราสองเล่มที่ยังไม่เคยอ่านมา เซี่ยยวี่หลัวพิงตรงชั้นวางตำราแล้วจึงเริ่มเปิดอ่าน
เซียวยวี่ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตลอดไม่ได้ยินเสียงของเซี่ยยวี่หลัว จึงหันกลับไปมอง
เพิ่งหันมอง ก็เห็นเซี่ยยวี่หลัวกำลังถือตำราไว้ พิงอยู่ตรงชั้นวางตำรา อ่านอย่างเพลิดเพลิน
คิ้วงามของนางขมวดมุ่นเป็นบางครั้ง ผ่อนคลายเป็นบางคราว ริมฝีปากสีแดงชุมฉ่ำเม้มปากเป็นบางครั้ง มุมปากตวัดขึ้นเป็นบางคราว คล้ายกับว่าเจอเรื่องน่าสนใจอะไรเข้า
เซียวยวี่มองนางอยู่นาน ตั้งแต่ต้นจนจบเซี่ยยวี่หลัวไม่รู้ตัวเลยว่าเซียวยวี่กำลังมองนาง นางอ่านอย่างใจจดใจจ่อ ลืมเรื่องราวภายนอกไปจนสิ้น
“อาหลัว เจ้าช่วยหยิบวาทกรรมเรื่องเกลือและเหล็กที่อยู่ข้างมือเจ้าให้ข้าหน่อย” จู่ๆ เซียวยวี่ก็กล่าว
เซี่ยยวี่หลัวถูกรบกวน ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงขานตอบทีหนึ่ง เหลือบมองแวบหนึ่ง หยิบวาทกรรมเรื่องเกลือและเหล็กออกมายื่นส่งให้เซียวยวี่
ไม่ได้เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ
เซี่ยยวี่หลัวยื่นมืออยู่ครู่ใหญ่ ไม่เห็นว่ามีคนรับ จึงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเซียวยวี่มองนางด้วยสีหน้าฉงนสงสัย
ทันใดนั้นเซี่ยยวี่หลัวก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่าง “คือ…”
“เจ้ารู้หนังสือ? ” เซียวยวี่ไม่มีเจตนาเป็นอื่น เพียงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เมื่อครู่เขามองเซี่ยยวี่หลัวอ่านตำรา เห็นสีหน้าของนางดูยินดีเป็นบางครั้ง เศร้าโศกเป็นบางครา อ่านอย่างมีสมาธิ จึงคาดเดาว่า นางน่าจะรู้หนังสือ ในภายหลัง เขาจงใจให้เซี่ยยวี่หลัวหยิบตำราให้เขา เซี่ยยวี่หลัวที่ไม่รู้จักแม้แต่คำว่าหนังสือหย่าเพียงมองปราดเดียว ก็หาตำราที่เขาอยากได้พบ
ตำราในมือเซี่ยยวี่หลัวถูกเปิดอ่านไปกว่าหนึ่งในสามส่วนแล้ว หากตอนนี้ยังบอกว่าตัวเองไม่รู้หนังสือ เช่นนั้นก็เท่ากับโกหกเห็นๆ!
“อืม รู้หนังสือ” เซี่ยยวี่หลัวรู้ว่าตัวเองปิดบังไม่ได้แล้ว จึงยอมรับแต่โดยดี อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ปิดบังต่อไปไม่ได้ นางคงไม่เขียนหนังสือและไม่อ่านตำราไปชั่วชีวิตไม่ได้
ถือโอกาสบอกกล่าวแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ต้องแสร้งทำเป็นคนไม่รู้หนังสืออีก