ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 12 บทที่ 345 หานางพบ ประหนึ่งหาสมบัติล้ำค่าที่หายไปพบ
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 12 บทที่ 345 หานางพบ ประหนึ่งหาสมบัติล้ำค่าที่หายไปพบ
เซี่ยยวี่หลัวโดนแสงแดดร้อนเผาจนตื่น
เมื่อลืมตาตื่น สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือท้องฟ้าสีฟ้าคราม และเมฆสีขาว สะอาดหมดจดราวกับเป็นปุยฝ้ายสีขาวผ่องดุจหิมะที่ประดับบนผ้าม่านสีฟ้าก็มิปาน
นางกลิ้งตกลงมาจากเนินเขา
ในกับดักจับกระต่ายได้หนึ่งตัวจริง เซี่ยยวี่หลัวจับกลับบ้านอย่างดีอกดีใจ ที่ไหนได้ จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา
เซี่ยยวี่หลัวไม่อยากให้เสียเวลาจึงวิ่งฝ่าสายฝนกลับบ้าน หารู้ไม่ว่าฝนยิ่งตกยิ่งหนัก ราวกับฟ้ารั่วก็มิปาน ในภายหลังแม้แต่ทางเดินข้างหน้าก็ยังมองเห็นไม่ชัด เพียงจำได้ว่าตอนนั้นบนพื้นเต็มไปด้วยดินโคลน พอเท้าลื่น เซี่ยยวี่หลัวก็ไถลลงหุบเขา หมดสติไป
ยังดีที่หุบเขานั่นไม่ลึก นอกจากพื้นหญ้าสีเขียว ก็ไม่มีต้นไม้อะไร ลื่นไถลลงมา ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานเพียงใดถึงตื่นขึ้น
เซี่ยยวี่หลัวพยายามขยับร่างกาย ใต้ตัวเป็นพื้นเปียกชุ่ม ประหนึ่งนอนอยู่ในคูน้ำ ทั้งตัวไม่มีส่วนใดที่แห้งเลย!
ลมภูเขาพัดผ่านมา รู้สึกหนาวเล็กน้อย
เพราะนางกลิ้งลงมา หญ้าใต้ตัวจึงถูกทับจนล้ม เซี่ยยวี่หลัวขยับเขยื้อนแขนขาที่ปวดเมื่อย ลองสำรวจอย่างละเอียด
ยังดี ยังดี แค่มีแผลถลอกเล็กน้อย แขนไม่หัก ขาไม่หัก ศีรษะก็ไม่เป็นอะไร
เซี่ยยวี่หลัวเปียกชุ่มไปทั้งตัว ไม่ต่างจากลูกไก่ตกน้ำ บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยน้ำสีเขียวจากต้นหญ้าที่ติดมาตอนกลิ้งตกลงมา
เส้นผมกระจายออกนานแล้ว เส้นผมสีดำขลับถูกสายฝนชะล้างจนติดกัน แนบติดบนหนังศีรษะด้วยความเปียกชุ่ม ทั้งยังแนบติดบนเสื้อ เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกว่าจะนิยามตัวเองว่าเป็นผีสางที่ผมเผ้ารกรุงรังใบหน้ามอมแมมก็ย่อมได้ ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
เซี่ยยวี่หลัวตบอกทีหนึ่ง รู้สึกราวกับเพิ่งได้รอดพ้นจากคราวเคราะห์
นางมองดูบริเวณรอบข้าง ยังมีวี่แววของกระต่ายตัวนั้นที่ไหนกัน คาดว่าตั้งแต่ตอนนางตกลงมา กระต่ายก็หนีไปแล้ว ดูท่าวันนี้คงไม่ได้กินเนื้อกระต่ายผัดพริกแห้งเสียแล้ว
แต่ยังดีที่นางไม่เป็นอะไร เซี่ยยวี่หลัวพยายามจะลุกขึ้น แต่ยังคงรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย เดินไม่ถึงสองก้าว ก็โซเซจนล้มลงบนพื้นอีก สะบัดศีรษะทีหนึ่ง รู้สึกวิงเวียนศีรษะ วิงเวียนจนนางไม่แน่ใจว่าตัวเองหูแว่วไปเองหรือไม่
นางรู้สึกเหมือนได้ยินคนกำลังเรียกชื่อของนาง
“อาหลัว อาหลัว…”
มีเสียงหนึ่ง กำลังแผดเสียงตะโกนเรียกชื่อนาง ราวกับคนเสียสติก็มิปาน
“อาหลัว อาหลัว…”
เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้หูแว่ว
นั่นเป็นเสียงของเซียวยวี่ เซียวยวี่กำลังตะโกนเรียกนาง
“อาหลัว อาหลัว…” เซียวยวี่แผดเสียงตะโกนเรียกอยู่อย่างนั้น หามาครึ่งชั่วยามกว่าแล้ว หาจากด้านหนึ่งของภูเขาไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขา เขาแทบหมดหวังแล้ว
น้ำเสียงสั่นเครือแฝงเร้นด้วยความหวาดกลัว ภายใต้แสงแดดแรงกล้า ใบไม้ที่ถูกสายฝนชะล้างจนเป็นสีเขียวมรกตถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง สะท้อนแสงเคืองตา เต็มไปด้วยสีเขียวขจี
เหมือนดั่งใบหน้าของเซียวยวี่ ที่อึมครึมไร้ซึ่งชีวิตชีวาอีกครั้ง
เขาไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อว่าเซี่ยยวี่หลัวจะเป็นคนเช่นนั้น
“นางต้องไปที่ไหนเป็นแน่ ต้องเป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้นแน่! ” เซียวยวี่กล่าวพึมพำ ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้าด้วยท่าทางโซเซ เดินไปพลางตะโกนเรียกชื่อเซี่ยยวี่หลัวอย่างสุดกำลังไปพลาง
“เซียวยวี่ เซียวยวี่…”
ลมภูเขาหอบเสียงสะท้อนกลับมา เซียวยวี่พลันหยุดชะงักในทันใด
หรือเขาก็หูแว่วไปเหมือนกัน เขารู้สึกเหมือนได้ยินคนกำลังเรียกชื่อของเขา
“เซียวยวี่ ข้าอยู่ทางนี้ ข้าอยู่ทางนี้…”
เสียงแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เซียวยวี่สงบสติอารมณ์ตั้งใจฟังอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าที่เดิมทีอึมครึมไร้ชีวิตชีวา ภายหลังมั่นใจว่านั่นเป็นเสียงของเซี่ยยวี่หลัว ราวกับได้เกิดใหม่ก็มิปาน มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
“อาหลัว อาหลัว…” เซียวยวี่ตื่นเต้นดีใจ สาวเท้าวิ่งไปทางต้นเสียง เขาวิ่งไปด้วยอาการโซเซ ถึงแม้กิ่งก้านต้นไม้อันแหลมคมที่อยู่รอบข้างเกี่ยวเสื้อเขาจนขาด กรีดผิวเขาจนเป็นแผล เลือดสดไหลออกมา เซียวยวี่ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย
ความรู้สึกยินดีเต็มประดา ลบล้างความเจ็บปวดทั้งปวง ยามนี้เขามีเพียงความคิดเดียว อาหลัวไม่ได้ไป อาหลัวไม่ได้ไป
“อาหลัว…”
“เซียวยวี่ ข้าอยู่ทางนี้ อยู่ทางนี้”
เซี่ยยวี่หลัวอยากปีนขึ้นไป แต่ก็จนใจเพราะดินโคลนลื่นเกินไป นอกจากหญ้าก็ไม่มีสิ่งอื่นให้ยึดเกาะ ไม่อาจปีนขึ้นไปได้เลย เซี่ยยวี่หลัวลองอยู่หลายครา แต่ก็ไม่สำเร็จ ปีนไปได้สองก้าวก็ลื่นลงมา
นางได้แต่นั่งอยู่ที่เดิม รอให้เซียวยวี่มาหานาง
ทั้งสองคนต่างตะโกนเรียกชื่อของอีกฝ่าย เข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่เพียงลำพังใต้เนินเขา แววตาของเซียวยวี่พลันสว่างประหนึ่งดวงดารา ดีใจจนเสียงเปลี่ยน “อาหลัว…”
เซี่ยยวี่หลัวกำลังแหงนหน้ามองเขา ยิ้มพลางโบกมือให้เขา “เซียวยวี่ ข้าอยู่ทางนี้”
เซียวยวี่สาวเท้าวิ่งลงเนินเขาทันที วิ่งเร็วราวกับกลัวว่าหากตัวเองช้าไปเพียงน้อยนิดนางก็จะหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น เซี่ยยวี่หลัวเห็นแล้วก็รู้สึกอกสั่นขวัญหาย “ลื่น เจ้าช้าหน่อย…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เซียวยวี่ก็ลื่นสะดุด จากนั้นจึงกลิ้งตกลงมาจากเนินเขาราวกับลูกหนังก็มิปาน
เซี่ยยวี่หลัว “… เจ้าช้าหน่อย! ”
นางเคลื่อนไหวไม่สะดวก จุดที่มีแผลถลอกเจ็บเล็กน้อย เดินขากะเผลกได้สองก้าวก็เดินไม่ไหวแล้ว ได้แต่ทนดูเซียวยวี่กลิ้งลงมา
หลังจากกลิ้งลงมา เซียวยวี่พลิกตัวอย่างฉับพลัน ยังไม่ทันลุกขึ้นทั้งตัวก็วิ่งตรงมาหาเซี่ยยวี่หลัว ฝีก้าวไม่มั่นคง จึงล้มลงบนพื้นอีกครั้ง
ในดงหญ้ามีหลุมบ่อ น้ำท่วมขังอยู่ไม่น้อย เซียวยวี่ล้มลงบนพื้น เดิมทีบนกายก็มีดินโคลนอยู่แล้ว บัดนี้ทั้งน้ำจากต้นหญ้าสีเขียวและน้ำโคลนผสมรวมกัน ทั้งบนศีรษะและบนตัวเต็มไปด้วยเศษหญ้า ยังมีท่าทางงามสง่าเหมือนยามปกติที่ไหนกัน ทั้งทุลักทุเลและดูไม่ได้เสียยิ่งกว่าอะไร
เซี่ยยวี่หลัวเห็นแล้วอยากหัวเราะ แต่หัวเราะไม่ออก กลับเป็นหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาแทน
เซียวยวี่ที่ลุกขึ้นได้รีบสาวเท้าวิ่งมา ในที่สุดคราวนี้ก็ไม่ล้มอีก เมื่ออยู่ห่างจากเซี่ยยวี่หลัวเพียงสองก้าว เซียวยวี่โผเข้าหา ยื่นแขนออกไป โอบกอดเซี่ยยวี่หลัวไว้ในอ้อมอกทันที
เขาโอบกอดเซี่ยยวี่หลัวไว้แน่น ออกแรงมากจนแทบจะรั้งตัวเซี่ยยวี่หลัวเข้าไปในกายเขา
จากความสิ้นหวังในตอนแรกจนถึงความยินดีในตอนนี้ ความต่างราวฟ้ากับดิน เซียวยวี่อยากหัวเราะ แต่ก็หัวเราะไม่ออก ดวงตาร้อนผ่าว น้ำตาพรั่งพรูออกมา หยดลงตรงคอเซี่ยยวี่หลัว
“ข้านึกว่า ข้านึกว่า…” เซียวยวี่กล่าวพึมพำ กอดเซี่ยยวี่หลัวแน่นราวกับกำลังกอดสมบัติล้ำค่าที่หายไปแล้วได้กลับคืน
เซี่ยยวี่หลัวเข้าใจทันที ความสิ้นหวังและเจ็บปวดยามเขาตะโกนเรียกชื่อนาง เซี่ยยวี่หลัวสัมผัสได้ทั้งหมด
เขาน่าจะนึกว่านางรู้แล้วว่าเขาสอบไม่ผ่าน จึงจากไปโดยไม่บอกกล่าวกระมัง
เซี่ยยวี่หลัวเบ้ปากด้วยความอัดอั้นตันใจ “ข้าวางกับดักไว้ เดิมทีคิดจะทำเนื้อกระต่ายผัดพริกให้เจ้า จับกระต่ายได้แล้ว แต่ฝนตกหนัก ข้าหกล้ม กระต่ายจึงหนีไป”
นางไม่ได้บอกเรื่องที่ตัวเองตกลงมาจากเนินเขา ทั้งยังหมดสติไปนาน นางเกรงว่าเซียวยวี่จะเป็นห่วง จึงไม่กล่าวออกมา
เซียวยวี่กอดนางไว้ ร้องไห้ไปพลางหัวเราะไปพลาง “ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร ข้าไม่กิน ไม่กิน”
นางไม่ได้ไป ต่อให้อายุขัยของเขาลดลงสักสิบปีก็ยังได้ นับประสาอะไรกับการกินกระต่ายหนึ่งตัว
คนในอ้อมอกตื่นเต้นจนตัวสั่นเทิ้ม เหมือนกับหัวใจของเซี่ยยวี่หลัว ที่เต้นแรงกว่าปกติ