ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 657 อย่าเอาความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเอง
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 657 อย่าเอาความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเอง
ตอนที่ 657 อย่าเอาความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเอง
ตอนที่ 657 อย่าเอาความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเอง
พอลินดาซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวมาเร่งรัดให้แต่งงานด้วยเหมือนกัน เซี่ยอวี่ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฉันยังไม่ทันพูดเรื่องนี้กับเธอ เธอก็กลับไปก่อนแล้ว ฉันกำลังจะหมั้นกับเย่ไป๋”
“จะแต่งเมื่อไหร่?” ลินดาถามอย่างตรงไปตรงมา
ถ้าเซี่ยอวี่กลายเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว อย่างนั้นถึงจะไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย
เซี่ยอวี่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าลินดาร้อนใจ หล่อนตอบว่า
“เธอจะรีบไปทำไม? อย่างน้อยก็ต้องรอให้ปิดกองก่อน”
ลินดาแสดงออกว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเซี่ยอวี่อย่างหาได้ยาก “คุณหนูเซี่ยอวี่ ในที่สุดก็เป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ”
เซี่ยอวี่บ่นอย่างหมดคำจะพูด “ผู้จัดการของคนอื่นมีแต่กลัวว่านักแสดงที่ตัวเองดูแลอยู่มีแฟนแล้วจะกระทบกับงาน เธอกลับดีนัก ยังมาเร่งให้แต่งงานอีก”
“เธออายุปูนนี้แล้ว มีแฟนแต่ไม่แต่งงานเสียที คงได้เกิดเรื่องไม่ช้าก็เร็ว”
ด้วยวัยของเซี่ยอวี่และความสำเร็จทางหน้าที่การงานของหล่อน ถึงตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวช่วยอย่างความโสดมาเป็นจุดขายอีกแล้ว
หล่อนเป็นนักแสดงที่ขายความสามารถ
ในทางกลับกัน การมีแฟนแต่ไม่แต่งงาน มีความสัมพันธ์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ต่างหากที่จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ส่วนตัวของเซี่ยอวี่
เพราะมันจะทำให้คนคิดว่าหล่อนกำลังเล่นสนุก
บรรดาเศรษฐีที่ตามจีบหล่อนก็จะไม่ยอมตัดใจ แต่ถ้าหล่อนแต่งงาน เรื่องส่วนตัวมั่นคงแล้ว วันหน้าจะได้จดจ่อกับงานได้มากกว่าเดิม
…….
เซี่ยเหลยกับแม่เฒ่าเซี่ยได้ยินว่าเสิ่นอวี้หลงฟื้นแล้ว ทั้งสองก็หารือกันเล็กน้อยก็ตัดสินใจว่าจะหาเวลาที่เหมาะสมไปเยี่ยมสักครั้ง
เมื่อกลับถึงห้อง เซี่ยเหลยก็กลัวหลิวกุ้ยอิงจะน้อยใจ จึงอธิบายว่า “เสิ่นอวี้หลงเป็นน้องชายของเซี่ยเซี่ย ถ้าเซี่ยเซี่ยไม่สนใจก็คงปล่อยให้แล้วกันไป แต่เซี่ยเซี่ยยอมรับแม่บุญธรรมและน้องชายของหล่อน พวกเราที่เป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าก็ควรไปเยี่ยมตามมารยาท เด็กคนนั้นหลับไหลไม่ได้สติมาเป็นปีแล้ว ตอนนี้ตื่นขึ้นมาได้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์”
หลิวกุ้ยอิงกำลังพับผ้า ฟังคำอธิบายติด ๆ ขัด ๆ ของเซี่ยเหลยจากด้านหลัง หันไปมองเขาแล้วยิ้มกล่าว “ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ให้ไปเสียหน่อย คุณมาอธิบายให้ฉันฟังทำไมตั้งมากมายคะ?”
เซี่ยเหลยหัวเราะแห้ง ๆ เขาไม่รู้จะตอบคำถามของหลิวกุ้ยอิงอย่างไรดี
“หรือว่าคุณกลัวฉันจะเข้าใจคุณกับเซี่ยหลานผิด?” หลิวกุ้ยอิงนำเสื้อผ้าที่พับเสร็จแล้วไปเก็บในตู้เสื้อผ้าและเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “พูดตามตรง ตอนที่ฉันเจอเซี่ยหลานครั้งแรก ฉันก็ได้รู้ว่าหล่อนเคยชอบคุณมาก่อน แต่เป็นคุณที่ไม่ชอบหล่อน ฉันเลยตกใจมากว่าผู้หญิงที่สวยและเก่งขนาดนั้นคุณกลับไม่ชอบ และสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมคุณถึงมาชอบฉัน? สมัยที่เราคบกัน ฉันเป็นฝ่ายรุกก่อนด้วยซ้ำ บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าเป็นเพราะตอนนั้นคุณอยู่ต่างถิ่นจึงรู้สึกว้าเหว่เดียวดาย อีกทั้งยังโดนฉันตามจีบอย่างไม่ลดละ คุณถึงยอมคบกับฉัน ไม่ใช่เพราะคุณชอบฉันจริง ๆ”
“ตอนนี้คุณยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม?” เซี่ยเหลยได้ฟังที่หล่อนพูดแล้วก็มองหล่อนด้วยสีหน้าหม่นหมอง
หลิวกุ้ยอิงส่ายศีรษะ “ไม่ ตอนนี้ฉันรู้ความในใจของคุณแล้ว”
ตอนเซี่ยไห่มาหาหล่อน บอกว่าตอนที่พี่ชายของเขาสูญเสียความทรงจำและเอาแต่เพ้อชื่ออิงจื่อ หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นมากมายจนเซี่ยเหลยค่อย ๆ ฟื้นความทรงจำกลับคืนมาเพราะการดูแลและคำบอกเล่าของหล่อน หล่อนจึงเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าตนอยู่ตรงไหนในใจของเซี่ยเหลย
เซี่ยเหลยดึงมือหล่อนให้นั่งลงและพูดอย่างจริงจังว่า “วาสนาเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ เซี่ยหลานเป็นคนดี ตอนยังสาวหล่อนเป็นคนสวยมาก ฐานะที่บ้านก็ดี แต่งตัวดีกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ในสมัยที่ทุกคนยากจนแบบนั้น หล่อนเปล่งประกายที่สุดในกลุ่มอยู่เสมอ แต่ผมไม่มีความรู้สึกเชิงชู้สาวกับหล่อนเลยจริง ๆ บางทีอาจเป็นเพราะหล่อนมักขลุกอยู่กับเซี่ยอวี่บ่อย ๆ ในสายตาผมจึงเห็นหล่อนเป็นน้องสาวเหมือนกับเซี่ยอวี่”
นึกถึงเซี่ยหลานเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ความรู้สึกซับซ้อนมากมายก็ฉายวาบผ่านดวงตาของเซี่ยเหลย
เด็กสาวที่หน้าตาสะสวย ครอบครัวร่ำรวย ถือกำเนิดในบ้านที่มีแต่คนมีการศึกษา อาชีพการงานก็ดี ควรจะมีชีวิตที่มีความสุข
ใครจะคาดคิดว่าชีวิตของหล่อนจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้
เซี่ยเหลยถอนหายใจ
“เห็นหล่อนต้องประสบเรื่องมากมายแบบนี้ ผมก็รู้สึกเห็นใจ ว่าอาจมีวิธีแก้ไขเรื่องราวในปีนั้นที่ดีกว่านี้ หลังจากฟื้นความทรงจำกลับมาได้แล้ว ผมก็เอาแต่คิดว่าถ้าตอนนั้นผมรับจดหมายรักของหล่อนเอาไว้ ไปพบหน้าหล่อนสักครั้ง ด่าเรียกสติหล่อนสักยก หรือไม่อย่างนั้นก็พาหล่อนไปให้พ่อของหล่อนสั่งสอนสักที ถ้าทำอย่างนั้นหล่อนอาจตัดใจจากผมได้ ไม่ลงชื่อไปชนบท แบบนี้ก็ไม่ต้องไปพบกับเสิ่นเถี่ยจวิน”
ถ้าเซี่ยหลานไม่ได้เจอเสิ่นเถี่ยจวินคนที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้คนนั้น ก็คงไม่มีความคิดสลับตัวเด็ก โศกนาฏกรรมหลายอย่างหลังจากนั้นก็คงจะไม่เกิดขึ้น
ในฐานะผู้หญิงเหมือนกันและเป็นแม่ที่ประสบเคราะห์กรรมแบบเดียวกัน หลิวกุ้ยอิงรู้สึกเห็นใจเซี่ยหลานจากใจจริง หล่อนกล่าวว่า “เสิ่นเถี่ยจวินก็เป็นคนเมืองไห่เฉิงเหมือนกัน ต่อให้หล่อนไม่ไปชนบทก็อาจหนีชะตากรรมต้องพบเสิ่นเถี่ยจวินไปไม่พ้นก็ได้”
“บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องของโชคชะตา” เซี่ยเหลยพยายามปลอบใจตัวเอง แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ดี
เขามองหลิวกุ้ยอิงพลางคิดถึงเซี่ยหลาน คิดถึงเสิ่นอวี้อิ๋งที่ชั่วร้ายเข้ากระดูกดำซึ่งตอนนี้อยู่ในคุก เขาจึงไม่รู้ว่าที่พวกหล่อนต้องกลายเป็นแบบนี้เป็นเพราะเขาหรือไม่?
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เซี่ยเหลยก็ครุ่นคิดคำถามนี้อยู่ตลอดเวลา
หลิวกุ้ยอิงมองเซี่ยเหลยที่ก้มหน้าคอตก สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ หล่อนตบไหล่เขาเบา ๆ เอ่ยปลอบน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณอย่าเหมารวมความผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเองแบบนั้น ใครจะเป็นคนรับผิดชอบความทุกข์ของคุณกันล่ะ? คุณเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังมีแม่กับพวกเสี่ยวอวี่ เพื่อช่วยคุณไว้ พวกหล่อนต้องทุ่มเทไปมากมาย ความทุ่มเทเหล่านั้นจะให้ใครรับผิดชอบกันล่ะ?”
ในที่สุดคำปลอบโยนของหลิวกุ้ยอิงก็ทำให้เซี่ยเหลยรู้สึกดีขึ้นบ้าง
เซี่ยเหลยถอนหายใจ “พวกเราเกิดมาในยุคสมัยแบบนั้น จะทำยังไงได้”
ให้เขาเลือกอีกครั้ง เขาก็คงเลือกที่จะปล่อยวางความผูกพันพ่อลูกแล้วเข้าสู่สนามรบโดยไม่ลังเลเหมือนเดิม
“เซี่ยเซี่ยมักพูดกับฉันว่า อย่าเอาความผิดของคนชั่วมาลงโทษตัวเอง ฉันว่าหล่อนพูดถูกนะ พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด คนผิดคือปีศาจร้ายที่สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเหล่านั้นต่างหาก ตอนนี้พวกเขาได้ชดใช้การกระทำของตัวเองแล้ว จากนี้ไปเราควรจะมองไปข้างหน้า ใช้ชีวิตให้ดีและดูแลพวกลูก ๆ ให้ดี ส่วนทางด้านเซี่ยหลาน ถ้าว่างเมื่อไหร่ คุณกับแม่ก็ไปเยี่ยมปลอบใจหล่อน ถ้ามีอะไรที่ช่วยเหลือได้ พวกเราก็จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่” เสียงพูดของหลิวกุ้ยอิงไม่ดัง แต่คำพูดของหล่อนกลับปลอบประโลมหัวใจเซี่ยเหลยได้
เซี่ยเหลยฟังคำพูดของหลิวกุ้ยอิง ใบหน้าคมคายของเขาก็เผยยิ้มออกมา มองภรรยาด้วยสายตาอ่อนโยน “อิงจื่อ ผมรู้สึกว่าตอนนี้คุณเริ่มเหมือนตัวคุณเมื่อยี่สิบปีก่อนมากขึ้นทุกทีแล้ว”
เขาอดนึกถึงเมื่อยี่สิบปีก่อนไม่ได้ มีครั้งหนึ่งเขามีเรื่องในใจ นั่งอยู่คนเดียวบนภูเขา มองดูเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป หลิวกุ้ยอิงสะพายตะกร้าใบใหญ่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา สั่งสอนเขาด้วยสีหน้าเย็นชา บอกว่าการนั่งเหม่อเป็นการกระทำของคนอ่อนแอ แทนที่จะทำแบบนี้ ไม่สู้เอาเวลาไปหาผักป่ากับหล่อนดีกว่า อย่างน้อยตอนเย็นก็จะมีของกินให้อิ่มท้อง
สายตาของหลิวกุ้ยอิงสบกับสายตาลึกซึ้งอ่อนโยนของเซี่ยเหลย หล่อนกวาดสายตาหนีอย่างประหม่า รีบลุกขึ้นจากเตียง
“เอาล่ะ นอนเถอะค่ะ พรุ่งนี้พ่อแม่ของชุนฟางจะมาหา ฉันต้องตื่นเช้ามาเตรียมอาหาร รีบนอนกันดีกว่า”
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ต่างกรรมต่างวาระน่ะค่ะ บางทีโชคชะตาฟ้าลิขิตให้เซี่ยหลานเจออะไรแบบนี้อยู่แล้วต่อให้ไม่เลือกที่จะไปชนบท
ไหหม่า(海馬)