ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 654 ตื่นเพราะถูกเขย่าปลุก
ตอนที่ 654 ตื่นเพราะถูกเขย่าปลุก
ตอนที่ 654 ตื่นเพราะถูกเขย่าปลุก
ผู้อาวุโสเย่ฝังเข็มให้เสิ่นอวี้หลง จากนั้นก็ให้เซี่ยหลานดูแลเสิ่นอวี้หลง และห้ามคนอื่น ๆ ไม่ให้เข้ามา เพื่อให้เขาได้พักผ่อน
ทุกคนรออยู่หน้าประตู เมื่อผู้อาวุโสเย่ออกมา ผู้เฒ่าเซี่ยก็รีบเข้ามาถามไถ่อาการ
“ผู้อาวุโสเย่ อวี้หลงฟื้นจริง ๆ แล้วใช่ไหม? มีโอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาแล้วพอหลับไปก็ไม่ได้สติอีกหรือเปล่า?”
นี่เป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าเซี่ยกับทุกคนกังวลใจมากที่สุด
กลัวว่าเสิ่นอวี้หลงหลับไปแล้วจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก
เขาเป็นเจ้าชายนิทรามานานขนาดนี้ สิ่งที่ทุกคนกังวลจึงมีมากเกินไป
ผู้อาวุโสเย่มีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่หรอก ทุกคนวางใจเถอะ ให้เขาพักผ่อนก่อน ตอนเย็นพวกเราค่อยลองให้เขาลุกขึ้นมานั่ง ค่อย ๆ ปรับตัวไป รอจนผ่านไปอีกสองวันโรงพยาบาลกลับมาเปิดทำการแล้วค่อยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ฉันคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร”
ผู้อาวุโสเย่กำชับเซี่ยหลานอีกรอบว่าให้หล่อนนวดขาให้เสิ่นอวี้หลงต่อไป
แม้ว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาทุกคนจะทุ่มเทดูแลอย่างเต็มที่ เวลาผู้เฒ่าเซี่ยดูแลเสิ่นอวี้หลงก็ทำตามคำแนะนำของเขา นวดกล้ามเนื้อให้เสิ่นอวี้หลงทุกวันไม่ขาด
แต่คนนอนติดเตียงมานาน กล้ามเนื้อย่อมจะฝ่อลง ต่อให้วันนี้ฟื้นคืนสติกลับมาแล้วก็ยังต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกนาน
“ผู้อาวุโสเย่กับคุณหมอเย่ไป๋เข้าไปข้างในเถอะค่ะ ลำบากพวกคุณแล้ว”
ผู้อาวุโสเย่กับเย่ไป๋เข้าไปในห้องรับแขกของบ้านเซี่ย
เซี่ยตงรีบเทน้ำชาให้พวกเขา “อาเย่ รบกวนคุณอาแล้ว รีบดื่มชาเถอะครับ”
ตามด้วยรินชาให้เย่ไป๋
เย่ไป๋รับมาแล้วก็เอ่ยคำขอบคุณ
เซี่ยตงเป็นน้าชายแท้ ๆ ของเสิ่นอวี้หลง เขากล่าวขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตหลานชายของตนไว้จากใจจริง “อาเย่ ครอบครัวพวกเราขอบคุณคุณอากับหมอเย่ไป๋มากจริง ๆ ถ้าไม่ได้พวกคุณสองคนช่วยกันรักษาอวี้หลง วันนี้คงไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้”
เมื่อก่อนตอนเห็นว่าเซี่ยอวี่คบหากับหมอหน้าขาวคนนี้ เขาก็รู้สึกแปลก ๆ ในใจ รู้สึกว่าเย่ไป๋คงเห็นแก่ฐานะหน้าตาของเซี่ยอวี่
ต่อมาเมื่อรู้จักกันมากกว่าเดิม รู้ว่าเย่ไป๋เป็นคนมีความสามารถ ความคิดก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นขนาดนั้น
เป็นวันนี้ที่พวกเขาสามารถทำให้เสิ่นอวี้หลงฟื้นขึ้นมาได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสามารถของผู้อาวุโสเย่หรือความทุ่มเทของเย่ไป๋ สรุปได้ว่าเขารู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่คนทั้งสองทำจากใจจริง
ในเมื่อเย่ไป๋เป็นหลานชายของผู้อาวุโสเย่ วันหน้าความรู้วิชาแพทย์ก็คงจะถ่ายทอดต่อให้เย่ไป๋
เย่ไป๋มีอนาคตยาวไกล หมอหนุ่มที่เก่งกาจมีความสามารถแบบนี้คู่ควรกับเซี่ยอวี่ในทุกด้าน
เย่ไป๋ดื่มชาเสร็จก็ถามว่า “พวกผมเป็นหมอ นี่เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วครับ”
“หมอเย่ พวกคุณกินข้าวหรือยัง? พวกเรากำลังจะทำอาหาร”
เย่ไป๋ตอบ “พวกเรากินข้าวกันแล้วครับ วันนี้โชคดีที่พ่อผมเพิ่งเอาเหล้าออกมาจะดื่มกับพวกพี่เซี่ยเหลยสักหน่อย ผมกับปู่รองเพิ่งยกแก้วเหล้าขึ้นมาก็ได้รับสายจากเจียเหอพอดี ถ้าช้ากว่านั้นสักหลายนาที พวกผมคงดื่มเหล้าแล้ว แบบนั้นคงไม่ดีแน่”
ผู้เฒ่าเซี่ยเอ่ยยิ้ม ๆ “แสดงว่าฟ้าหลังฝนของอวี้หลงต้องสดใสแน่ ๆ”
“ใครเป็นคนแรกที่พบว่าอวี้หลงฟื้นขึ้นมา?” ผู้อาวุโสเย่ดื่มชาแล้วถามทุกคน
สายตาของทุกคนเคลื่อนไปตกลงบนร่างเด็กสองคนนั้น
“รุ่ยฉีกับหู่จือครับ”
“ข้าง ๆ อวี้หลงไม่มีผู้ใหญ่เฝ้าอยู่?” พอได้ยินว่าคนแรกที่พบว่าเสิ่นอวี้หลงได้สติเป็นเด็กน้อยสองคน ผู้อาวุโสเย่ก็ถามอย่างเคร่งขรึม
ผู้เฒ่าเซี่ยอธิบาย “เซี่ยหลานเพิ่งออกมาจัดการเรื่องอาหารได้ไม่ทันไร เด็กสองคนนั้นก็วิ่งเข้าไปในห้อง อาจไปเห็นอวี้หลงฟื้นขึ้นมาตอนนั้นพอดี”
“ไม่ใช่นะครับ คุณปู่ เรื่องเป็นแบบนี้” เซี่ยรุ่ยฉีพูด “หู่จือบอกว่าจะเข้าไปคุยกับญาติผู้พี่ของผม ผมกลัวว่าเขาเข้าไปแล้วจะทำอะไรซี้ซั้ว เป็นอันตรายกับญาติผู้พี่ของผมจึงตามเข้าไปด้วย”
เซี่ยรุ่ยฉีพูดต่อไป “หู่จือคุยกับญาติผู้พี่ของผมสักพัก ผมคลาดสายตาไปนิดเดียว เขาก็เขย่าญาติผู้พี่ ผมกำลังจะเข้าไปห้าม ญาติผู้พี่ของผมก็ถูกเขาเขย่าปลุกจนฟื้นขึ้นมา”
ทุกคน “…”
เนื่องจากคนในบ้านกำชับไว้ เซี่ยรุ่ยฉีไม่เคยเข้าใกล้ห้องของเสิ่นอวี้หลงตามลำพัง
“เขย่าปลุกจนฟื้น?” ผู้อาวุโสเย่มองหู่จือด้วยสีหน้าแปลกใจ
หลินเซี่ยกำลังจะช่วยพูดอะไรแทนหู่จือ แต่หู่จือกระโดดลุกขึ้นเงยหน้าพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ใช่แล้วครับ ผมพูดกับน้าไปตั้งเยอะแต่น้าก็ไม่ตอบ ผมเลยเขย่าไปหลายที ตอนพ่อนอนไม่ตื่นผมก็ทำแบบนี้ พอผมเขย่าน้าก็ตื่นเหมือนกัน”
เฉินเจียเหอมองหู่จือจอมสร้างเรื่องด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
เด็กคนนี้น่าตีเกินไปแล้ว กลับไปจะต้องสั่งสอนให้หนัก
เพิ่งช่วยกลับมาจากถูกคนลักพาตัวไปได้ไม่กี่วันก็เริ่มก่อเรื่องอีกแล้ว
หลินเซี่ยหัวเราะแห้ง “ต้องขอโทษด้วยค่ะ พวกเราไม่ได้คุมลูกไว้ให้ดี เด็กคนนี้พอได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่าต้องทำอะไร เขาก็ไปทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ฉันเคยพาหู่จือไปเยี่ยมอวี้หลงแล้วคุยกับอวี้หลงอยู่พักหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะจำได้”
“อย่าตำหนิเขาเลยนะคะ เด็กคนนี้จิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น”
หลินเซี่ยยิ้มบางพลางลูบศีรษะของหู่จือ
หู่จือชอบช่วยเหลือคนอื่นจริง ๆ
ไม่ว่าจะตอนเด็กหรือโตขึ้นมาแล้วก็ตาม
ขอเพียงคนใกล้ตัวเกิดเรื่อง เขาก็จะเข้าไปช่วยอย่างเต็มใจ
ผู้เฒ่าเซี่ยยิ้มกล่าว “อวี้หลงมีวาสนากับหู่จือ คราวก่อนก็เป็นหู่จือที่เห็นว่านิ้วมืออวี้หลงขยับ คราวนี้อวี้หลงยังถูกเด็กคนนี้เขย่าปลุกจนฟื้น”
“หู่จือ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปรบกวนน้าเลยนะ ให้น้าพักผ่อนดี ๆ เสียก่อน แม่ค่อยพามาเยี่ยมน้าทีหลัง ถ้าไม่เชื่อฟังแล้วมาวิ่งเพ่นพ่าน แม่จะไม่รักหนูแล้ว”
หู่จือตอบรับอย่างว่าง่าย “แม่ ผมไม่วิ่งเพ่นพ่าน แม่อย่าไม่รักผมนะ”
ไม่ว่าเสิ่นอวี้หลงถูกหู่จือเขย่าปลุกจนฟื้นจริงหรือไม่ เขารู้สึกตัวขึ้นมาได้ก็เป็นเรื่องน่ายินดี
“พวกพี่ฉันล่ะ? ยังอยู่ที่บ้านนาย?” เซี่ยไห่ถามเย่ไป๋
เย่ไป๋พยักหน้า “ใช่ อยู่บ้านผม กำลังคุยกับพ่อผมอยู่ พอพวกผมกลับไปแล้ว ผมค่อยมาส่งพวกเขาอีกที”
ตอนห้าโมงเย็นกว่า ๆ ผู้อาวุโสเย่ก็ไปดูอาการเสิ่นอวี้หลงอีกครั้ง จากนั้นเย่ไป๋ก็ประคองเสิ่นอวี้หลงให้เขาลองลุกขึ้นมานั่ง
“อวี้หลง ถ้าเวียนหัวจะต้องบอกนะ”
“ครับ”
เย่ไป๋ประคองเขาขึ้นนั่ง ไม่กล้าให้เขานั่งตรงเกินไป นำผ้าห่มมารองหลังให้อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน
“รู้สึกยังไงบ้าง?” ผู้อาวุโสเย่สังเกตสีหน้าของเสิ่นอวี้หลงพลางถาม
“ยังดีครับ ไม่เวียนหัว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองอยู่ในท่านี้สักหลายนาที”
เสิ่นอวี้หลงรู้สึกว่าทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง เมื่อครู่นี้แม่คอยพูดกับเขา เล่าให้เขาฟังว่าตอนนั้นเขาประสบอุบัติเหตุได้อย่างไร
เขาฟังแล้วยังรู้สึกว่าน่ากลัวมาก
แม่เขานวดขาให้เขาอยู่ตลอด แต่ขาของเขาไม่มีแรงสักนิด ขนาดจะชักเข้ามายังทำไม่ไหว
แขนก็เป็นเหมือนกัน
ใบหน้าซีดเผือดของเสิ่นอวี้หลงฉายแววหนักอึ้ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าหมอทั้งสองท่าน เขาจึงถามความกังวลใจของตัวเองออกมา
“ปู่เคราขาวครับ ขาของผมพิการแล้ว?”
มีคนพิการเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์นับไม่ถ้วน
เสิ่นอวี้หลงคิดว่าตัวเองคงเป็นหนึ่งในผู้โชคร้ายเหล่านั้น
ผู้อาวุโสเย่ยิ้มพูด
“เด็กโง่ เธอพูดอะไรออกมา? ขาเธอไม่ได้รับบาดเจ็บเสียหน่อย ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“แต่ผมขยับขาไม่ไหวเลย ไม่มีแรงเลยสักนิด”
“นั่นก็เพราะว่าเธอนอนมานานเกินไป ขาไม่มีแรง กล้ามเนื้อลีบไปนิดหน่อย ต้องค่อย ๆ ทำกายภาพบำบัดกลับมาน่ะสิ”
เสิ่นอวี้หลงพบว่าแขนของเขาก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งเหมือนกัน รู้สึกอ่อนแรงมาก
ผู้อาวุโสเย่อธิบายว่ามันก็เหมือนกับขา จำเป็นต้องใช้เวลาบำบัด
เขาบีบกล้ามเนื้อขาของเสิ่นอวี้หลงพลางถามว่ารู้สึกอะไรหรือไม่
เสิ่นอวี้หลงพยักหน้าอย่างสัตย์ซื่อ “เจ็บครับ”
“เจ็บก็ถูกแล้ว ถ้าพิการจริงจะไม่รู้สึกอะไรเลย ยังจะรู้สึกเจ็บได้อีกเสียที่ไหน?”
ผู้อาวุโสเย่อธิบาย ในที่สุดใบหน้าซีดเซียวหนักอึ้งของเสิ่นอวี้หลงค่อยผ่อนคลายลง
ในเมื่อเขาฟื้นแล้ว เย่ไป๋จึงถอดท่อให้อาหารเหลวออก และแนะนำให้เริ่มรับประทานอาหารธรรมดาได้แล้ว
แต่ยังต้องกินอาหารเหลว ให้ลำไส้ค่อย ๆ ปรับตัว
ผู้อาวุโสเย่กับเย่ไป๋ช่วยกันดูอาการให้เสิ่นอวี้หลงครู่ใหญ่ จนกระทั่งตอนเย็น อาการของเสิ่นอวี้หลงมั่นคงดีแล้ว เห็นเสิ่นอวี้หลงนอนลง พวกเขาจึงค่อยกลับไป
แฟนของเซี่ยตงทำก๋วยเตี๋ยวให้ทุกคนรับประทานคนละชาม
พวกเฉินเจียเหอก็อยู่ด้วยจนถึงตอนที่พวกผู้อาวุโสเย่จากไป พวกเขาค่อยไปจากบ้านเซี่ยพร้อมกัน
เสิ่นอวี้หลงเห็นคนที่มาบอกลาเขา และค่อยตระหนักว่าพี่สาวของเขาแต่งงานแล้วจริง ๆ
เขาค่อย ๆ เรียบเรียงความคิดอย่างช้า ๆ
ตอนเห็นหู่จือก็ตกใจมาก
เด็กคนนี้อย่างน้อยก็อายุหกขวบ เขาหลับไปหกเจ็ดปีแล้วงั้นเหรอ?
ผู้เฒ่าเซี่ยอธิบาย “นี่เป็นลูกติดของพี่เขยเธอ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หู่จือทำไปเพราะหวังดีแหละค่ะ ความเด็กอะนะ
ไหหม่า(海馬)