ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 652 ไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวด
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 652 ไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวด
ตอนที่ 652 ไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวด
ตอนที่ 652 ไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวด
เซี่ยไห่ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น แฟนสาวใช้สายตาแบบนั้นมองตัวเอง เขาก็รู้แล้วว่าในสมองลินดาคงกำลังคิดเรื่องเหลวไหลอะไรอยู่
“เหล่าเซี่ย นายอย่าพูดเหลวไหลให้แฟนฉันเข้าใจผิด”
เซี่ยไห่อธิบายความขัดแย้งในปีนั้นระหว่างเขากับเซี่ยตงขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร “พวกเราสองคนต่อยกัน ผมเป็นฝ่ายแพ้จึงไม่พอใจ”
แน่นอน เขาไม่อยากให้ลินดารู้ว่าเขายังถูกเซี่ยตงดึงกางเกงลง ข้างในยังเป็นกางเกงลายดอกที่เซี่ยอวี่เคยสวมอีกต่างหาก
เซี่ยตงรู้ทันว่าเซี่ยไห่กลัวว่าเขาจะพูดอะไรออกมา จึงสมทบมาว่า “ใช่แล้ว ตอนนั้นมีสาว ๆ อยู่ด้วยหลายคน เซี่ยไห่แพ้หมดรูป ตอนนั้นยังหนุ่ม ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ”
“ลินดา คุณเข้าใจที่เซี่ยตงพูดมาไหม?” เซี่ยไห่มองหล่อนอย่างรอคอยคำตอบ
ลินดาพยักหน้าอย่างจริงจัง “เข้าใจแล้ว”
เซี่ยไห่ถอนหายใจโล่งอก
ลินดาพูดต่อด้วยท่าทางจริงจัง “ตอนนั้นผู้หญิงที่คุณชอบก็อยู่ด้วย หลังจากคุณแพ้ต่อหน้าหล่อนก็รู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรี หล่อนจึงเลิกชอบคุณ”
เซี่ยไห่ “…”
อย่างน้อยก็เดาถูกไปแล้วสองในสามส่วน
เขาไม่ค่อยแน่ใจเท่าใด หรือเซี่ยอวี่จะเคยหลุดปากเล่าเรื่องขายหน้าของเขาในสมัยนั้นให้ลินดาฟัง?
ขณะที่เขากำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั่นเอง ลินดาก็พูดขึ้นมา
“ดีที่ตอนนั้นคุณเป็นฝ่ายแพ้ ไม่อย่างนั้นคนที่นั่งข้างคุณในตอนนี้อาจเป็นผู้หญิงคนอื่นก็ได้” ลินดามองเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีความหมายในตัวของมันเอง”
คำพูดของลินดาราวกับเคาะสมองคนให้แจ่มใสขึ้นมา
เซี่ยไห่สบดวงตาราบเรียบจริงใจของลินดา ทันใดนั้นขอบตาก็ร้อนผ่าว
หลักการที่เรียบง่ายแบบนี้ ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจนะ? ถึงได้ติดอยู่ในกรงที่ตัวเองสร้างขึ้นมาถึงสิบกว่าปี
“ลินดา เธออายุแค่นี้แต่คิดอะไรได้ปรุโปร่งเหลือเกิน ใช่แล้วล่ะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีความหมาย” ผู้เฒ่าเซี่ยมองคนรุ่นหลังรอบโต๊ะกินข้าว “พวกคนหนุ่มสาวทั้งหลายเอ๋ย ความรักมีฟ้าลิขิต พวกเธอต้องทะนุถนอมคนใกล้ตัวเข้าไว้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีข้อเสียหรือไม่ ยังบกพร่องอะไร ก็ต้องโอบรับกันและกันเอาไว้ ทะนุถนอมกันและกัน ใช้ชีวิตให้ดี”
เซี่ยไห่คิดตกอย่างแท้จริงแล้ว “ขอบคุณครับ พวกเราจะจำเอาไว้”
ทุกคนล้วนมีกันเป็นคู่ มีเพียงเซี่ยหลานที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวตามลำพัง ไม่เข้ามาร่วมวงสนทนากับทุกคน
หล่อนไม่มีสิทธิ์เข้ามาคุยเรื่องเหล่านี้
และยังไม่มีอารมณ์มาถกเรื่องความรู้สึกแบบนี้อีกด้วย
เพราะเรื่องนี้หล่อนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
หลินเซี่ยเห็นท่าทางเศร้าสลดโดดเดี่ยวของเซี่ยหลานแล้ว เธอก็คีบผักใส่ถ้วยของอีกฝ่าย “แม่ กินเยอะ ๆ หน่อยนะคะ”
เซี่ยหลานเงยหน้ามองหลินเซี่ย ยิ้มพูดว่า “ได้ ลูกก็กินเยอะ ๆ นะ”
หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกผู้หญิงก็แทะเมล็ดแตงนั่งดูทีวีด้วยกัน
เนื่องจากพวกเซี่ยตงดื่มกันไปตอนกินข้าว ผู้เฒ่าเซี่ยจึงบอกว่ากินข้าวเสร็จแล้วค่อยดื่มเหล้าต่อ จะได้ไม่ทำร้ายกระเพาะ
ดังนั้น พอกินข้าวเสร็จ พวกผู้ชายจึงดื่มกันต่อ และมีผู้อาวุโสเย่ไปร่วมวงด้วย
ปีที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ทุกคนต้องเคร่งเครียดมาก จึงต้องผ่อนคลายกันบ้าง
คนรักของเซี่ยตงทำกับแกล้มมาให้ จากนั้นก็ปล่อยให้พวกผู้ชายดื่มเหล้าด้วยกัน พวกผู้หญิงก็นั่งไปจับกลุ่มคุยกันอีกทางหนึ่ง
คนรักของเซี่ยตงเป็นครูสอนหนังสือ นิสัยสุภาพเรียบร้อยมาก แต่ก็ชอบจับกลุ่มพูดคุยสัพเพเหระเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ โดยเฉพาะหลังจากได้ยินว่าลินดาทำงานในแวดวงบันเทิงก็รู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที
เวลานี้หล่อนกำลังนั่งอยู่ข้างกายลินดา ถามข่าวคราวเกี่ยวกับนักแสดงอย่างสนอกสนใจ
ลินดาคิดไม่ถึงเลยว่าคนรักของเซี่ยตงจะมีนิสัยแตกต่างจากภาพลักษณ์ของอาชีพขนาดนี้
หล่อนพยายามตอบอีกฝ่ายในทุกอย่างที่ตนรู้ ตราบที่ไม่ละเมิดจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวเอง
ผู้หญิงทั้งสองเพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรกก็คุยกันถูกคออย่างมาก หลินเซี่ยก็มีความสุขมาก ในตอนแรกเธอยังกลัวว่าด้วยนิสัยเย็นชาของลินดาแล้วหล่อนจะถือตัวหรือไม่
ไม่คิดว่าทั้งคู่จะเข้ากันได้ดีขนาดนี้
ราวกับมีแรงดึงดูดอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
เซี่ยตงกับเซี่ยไห่เป็นพี่น้องกัน แฟนของพวกเขายังเข้ากันได้ดี นี่เรียกว่าวาสนา
“เซี่ยเซี่ย ดื่มนมหน่อยสิ”
หลินเซี่ยตวัดสายตาขึ้น เห็นคุณยายถือถุงนมสดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เธอรีบลุกขึ้นและรับสิ่งของมาด้วยสองมือ
เธอมักจะรู้สึกเคารพยำเกรงคุณยายท่านนี้โดยไร้สาเหตุ
สมัยยังเด็ก คุณยายเป็นครูสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน เห็นการบ้านที่เธอทำเสียเละเทะก็แนะนำเธอหลายครั้ง เธอสมองทึบ เรียนรู้ช้า เคยถูกคุณยายตีฝ่ามือมาก่อน ภายหลังการเรียนก็พังไม่เป็นท่า
ความรู้สึกที่มีต่อคุณยายเหมือนความรู้สึกที่นักเรียนที่ขยันเรียนแต่ผลการเรียนก็ยังไม่ดีต่อคุณครูที่เข้มงวดมากกว่า
“อย่าลุกเลย นั่งลงเถอะ”
หลินเซี่ยประคองนมด้วยสองมือ นั่งลงอย่างระมัดระวัง
“ท้องได้กี่เดือนแล้ว?” คุณครูจางถาม
หลินเซี่ยตอบ “ยังเหลืออีกสี่เดือนกว่าค่ะ คงจะคลอดราวช่วงเทศกาลตวนอู่*”
(*เทศกาลตวนอู่ หรือ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ตรงกับวันวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ตามปฏิทินจีน)
คุณครูจางพยักหน้า “ดีเหมือนกัน ถึงตอนนั้นอากาศก็อบอุ่นแล้ว”
หลินเซี่ยไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรกับคุณยายท่านนี้ดี
เนื่องจากไม่ค่อยสนิทจึงมีหลายเรื่องที่ไม่กล้าพูด และไม่สะดวกพูดด้วย
ทั้งไม่อาจออดอ้อนเหมือนที่ทำกับคุณย่าของเธอได้
คุณครูจางคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความอึดอัดของหลินเซี่ยเวลาอยู่ต่อหน้าตนเอง จึงมองเธอแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เซี่ยเซี่ยผ่านเรื่องราวมามาก แต่ยังไปมาหาสู่กับพวกเราได้เหมือนเมื่อก่อน เห็นพวกเราเป็นคนในครอบครัว พวกเราซาบซึ้งใจมาก เธอเป็นเด็กดีคนหนึ่ง”
“คุณยาย เรื่องที่คุณตาคุณยายสอนหนูจดจำใส่ใจมาตลอด หนูเองก็ซาบซึ้งใจเรื่องที่พวกท่านทำเพื่อหนูเหมือนกัน ถ้าพวกท่านไม่รังเกียจ หนูสามารถเป็นหลานสาวของพวกท่านได้ตลอดไป”
คุณครูจางกุมมือเธอ แววตาปลื้มปีติ “ได้สิ”
ผู้อาวุโสกุมมือเธอเอาไว้ ทำให้หลินเซี่ยรู้สึกใกล้ชิดขึ้นมาก และอยากพูดคุยกับอีกฝ่ายต่อ เธอยิ้มเขิน “เมื่อก่อนผลการเรียนหนูไม่ดี ทำให้คุณยายคุณตาต้องเหนื่อยไม่น้อย ตอนนี้มาคิดดูแล้ว การทำให้พวกท่านโมโหช่างน่าละอายใจจริง ๆ”
คุณครูจางยิ้มเศร้า “ไม่หรอก เทียบกับตอนนี้ เธอก็ทำได้ดีมากแล้ว”
ได้ยินคุณยายพูดแบบนั้น ความรู้สึกในใจหลินเซี่ยสับสนปนเปไปหมด ช่างตรงกับคำกล่าวว่าถ้าไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวดจริง ๆ
ตัวเธอเมื่อก่อนนั้นกล่าวได้ว่าเป็นแตงขม*ในบ้านคุณครูที่มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง เวลาผู้ใหญ่พูดถึงเธอก็จะส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
(*คนที่ผ่าเหล่าผ่ากอมีคุณสมบัติด้อยกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน)
เพราะผลการเรียนของเธอเลวร้ายจริง ๆ
หลังจากเสิ่นอวี้อิ๋งกลับมาก็เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็จะเห็นความโดดเด่นของเธออย่างเห็นได้ชัด
อาจเป็นเพราะผู้อาวุโสในบ้านคิดตกแล้ว ว่านิสัยดีงามของคนสำคัญกว่าความสามารถ
หลินเซี่ยไม่เห็นหู่จือมาครึ่งค่อนวันแล้ว เธอตั้งใจว่าจะออกไปตามหา เธอไม่ได้ยินเสียงจุดประทัดของพวกเขา เธอกลัวว่าหู่จือจะออกจากบ้านไปไกลเกินไป
หลังจากที่เขาถูกลักพาตัวคราวนั้น หลินเซี่ยก็เปลี่ยนเป็นวิตกกังวลกว่าเดิม ทันทีที่ลูกหายไปจากสายตาของเธอ เธอก็จะเริ่มกังวล
เฉินเจียเหอลุกจากวงเหล้ามาในเวลานั้นพอดี
เขากับหลินเซี่ยมีความกังวลแบบเดียวกัน ย่อมเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องเอ่ยปาก
“เซี่ยเซี่ย คุณนั่งลงก่อน ผมไปดูเองว่าเขากับรุ่ยฉีไปเล่นประทัดกันข้างนอกหรือเปล่า”
หลินเซี่ยพูด “ฉันไปกับคุณด้วย”
ทั้งคู่ออกไปไม่เห็นเด็กทั้งสองอยู่ในลานบ้าน หลินเซี่ยเริ่มกังวลขึ้นมา
เฉินเจียเหอจับมือเธอเป็นเชิงบอกให้เธอวางใจ
พอข้ามประตูใหญ่ออกไปข้างนอกก็ไม่เห็นคน
เฉินเจียเหอก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว
“รุ่ยฉีพาเขาไปซื้อประทัดหรือเปล่า?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นคนดีของสังคมก็นับว่าประสบความสำเร็จในการสอนแล้วนะคะคุณครู
หู่จือหายไปไหนอีกแล้วล่ะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)