ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 638 มาเพื่อไถ่บาป
ตอนที่ 638 มาเพื่อไถ่บาป?
ตอนที่ 638 มาเพื่อไถ่บาป?
หลินเซี่ยเดินเข้าไปใกล้ จ้องมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเสิ่นเสี่ยวอวี้ในระยะประชิด ถามว่า “เธอจำฉันได้ใช่ไหม?”
ทารกน้อยราวกับถูกความกลัวครอบงำ จ้องมองเธอนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ลืมกระทั่งจะแกว่งแขนขา
ในเมื่อเสิ่นเสี่ยวอวี้มีความทรงจำจากชาติก่อน พอเห็นหลินเซี่ยตั้งครรภ์ก็น่าจะเดาได้ว่าชีวิตในชาตินี้ของเธอเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องที่ตัวเองได้กลับมาเกิดใหม่ต่อหน้าเสิ่นเสี่ยวอวี้
“ถอดหน้ากากออกซิเจนของฉันออก พรากชีวิตของฉันไป ตอนนี้เธอมาเพื่อไถ่บาปงั้นเหรอ?”
หลินเซี่ยจ้องมองเธอพลางถามอย่างเย็นชา
“เธอมาเกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำของชาติที่แล้วสินะ? งั้นเธอคงจำได้ว่าฉันเลี้ยงดูเธอมายังไง ฉันรับเธอไปจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนี้ เลี้ยงดูเธอสิบห้าปี ความทุ่มเทตลอดสิบห้าปีของฉันได้รับอะไรตอบแทนกลับมาบ้าง? เธอใช้มือสกปรกคู่นี้ถอดหน้ากากออกซิเจนของฉัน ผลักฉันไปสู่ความตาย”
เด็กน้อยที่นอนอยู่ตรงนั้นส่งเสียงอ้อแอ้ คล้ายพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่าง
หลินเซี่ยมองสีหน้าหวาดหวั่นพยายามพูดจาแต่ไม่สามารถสื่อสารได้ของทารกน้อย เธอเอื้อมมือไปกุมลำคอที่บอบบางของเสิ่นเสี่ยวอวี้ “ถ้าฉันบีบคอเธอให้ตายตอนนี้ก็ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก”
หลินเซี่ยบีบคอทารกน้อย แต่เสิ่นเสี่ยวอวี้กลับไม่ร้องไห้ มีเพียงน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา สบตากับหลินเซี่ยอยู่เช่นนั้น
สุดท้ายหลินเซี่ยก็ปล่อยมือ
เธอมองเสิ่นเสี่ยวอวี้พร้อมกับเยาะเย้ย
“ทำไมเธอถึงมาเกิดใหม่ได้ล่ะ? เธอคงไม่ได้ตายโหงเหมือนกันหรอกนะ?”
ถ้าหล่อนได้ใช้ชีวิตจนถึงบั้นปลายและหมดอายุขัยไปเอง จะมีโอกาสมาเกิดใหม่อีกครั้งได้อย่างไร?
ได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย แววตาของทารกน้อยบนเตียงก็หม่นแสงลง เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดถึงเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดใจ
ความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของเสิ่นเสี่ยวอวี้ย่อมไม่รอดพ้นสายตาของหลินเซี่ย เธอแค่นหัวเราะ
“ฉันเดาถูกสินะ? เสิ่นอวี้อิ๋งกับหลิวจื้อหมิงคงไม่ได้ดีกับเธอสิท่า?”
“หลังจากฉันตายไป พวกเธอก็ไม่ได้อยู่ดีมีสุขเหมือนกันล่ะสิ?”
ชาติก่อน หลังจากเธอสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เธอก็รวบรวมหลักฐานความผิดของเสิ่นอวี้อิ๋งกับหลิวจื้อหมิง รวมถึงหลักฐานที่เสิ่นอวี้อิ๋งพลีกายเพื่อเข้าสู่อาชีพนักแสดง แล้วส่งเอกสารทั้งหมดนั้นให้กับหู่จือ
เมื่อเกิดเรื่องกับเธอ หู่จือก็จะเปิดโปงเรื่องราวฉาวโฉ่เหล่านั้นต่อสาธารณชน
นั่นเป็นข่าวที่สามารถสั่นสะเทือนไปทั้งวงการบันเทิง
หลังจากที่เรื่องราวเหล่านั้นถูกเปิดเผย นอกจากอนาคตในวงการบันเทิงของเสิ่นอวี้อิ๋งต้องดับวูบลง เกรงว่าหล่อนยังต้องติดคุกติดตะรางอีกด้วย
ถึงตอนนั้น เสิ่นอวี้อิ๋งกับหลิวจื้อหมิงคงจะวุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง พวกเขาจะมีความจริงใจให้กับลูกสาวอย่างเสิ่นเสี่ยวอวี้มากสักแค่ไหนเชียว ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพวกเขาจะต้านทานการทดสอบได้หรือไม่เธอไม่อาจรู้ได้ แต่เท่าที่เธอรู้ ในหัวคนทั้งคู่มีแต่เรื่องผลประโยชน์ จะมีความจริงใจอะไรได้?
คำพูดของหลินเซี่ยดูจะกระทบกระเทือนจิตใจของเสิ่นเสี่ยวอวี้อย่างจัง
หล่อนนอนอยู่ตรงนั้น น้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด ร่างกายเล็กจ้อยสั่นเทิ้มเพราะแรงสะอื้น
หลินเซี่ยหัวเราะเยาะ “ดูเหมือนว่าฉันจะเดาไม่ผิดสินะ”
เสิ่นเสี่ยวอวี้ร้องไห้ แต่กลับไม่ได้ส่งเสียง เพียงยื่นสองมือออกมาหา ทำท่าเหมือนอยากให้เธออุ้ม
หลินเซี่ยถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความรังเกียจ มองอีกฝ่าย มุมปากยกขึ้นอย่างเยาะหยัน
“ฉันไม่อุ้มเธอหรอก มันน่าสะอิดสะเอียนเกินไป ชาตินี้ฉันไม่มีวันรับเลี้ยงเธออีกแล้ว ไม่มีวันชักศึกเข้าบ้านอีกเป็นหนที่สอง เสิ่นอวี้อิ๋งถูกตั้งข้อหาลักพาตัวและพยายามฆ่าผู้อื่น ตอนนี้ติดคุกไปแล้ว รอจนพ้นโทษออกมาได้ เธอก็คงโตพอที่จะดูแลผู้หญิงคนนั้นได้พอดี”
“ชาตินี้พวกเธออย่าหวังเลยว่าจะสามารถทำร้ายฉันได้อีก”
หลินเซี่ยมองเด็กน้อยตรงหน้า อารมณ์พลุ่งพล่านอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อนึกถึงว่าชาติก่อนเธอไม่แต่งงานเพื่อปีศาจตัวน้อยนี้ สุดท้ายยังต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า
เธอก็รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนตนเอง และโกรธแค้นด้วยเช่นกัน
ถ้าไม่มีกฎหมายเหนี่ยวรั้งเอาไว้ เธอก็อยากบีบคออีกฝ่ายให้ตายเสียตรงนี้
“เซี่ยเซี่ย น้ำมาแล้ว”
หลินจินซานเป็นห่วงหลินเซี่ยจึงวิ่งมาตลอดทาง เขาถือขวดน้ำเข้ามา เห็นหลินเซี่ยกำลังร้องไห้ ทารกที่นอนอยู่นั้นก็ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเช่นกัน
เขาถามด้วยความสงสัย “เซี่ยเซี่ย เกิดอะไรขึ้น?”
หลินเซี่ยปรับอารมณ์แล้วยิ้มให้เขา “ไม่มีอะไรหรอก พี่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
“อ้อ ได้”
หลินจินซานพูด “ฉันจะไปบอกผู้อำนวยการว่าพวกเราจะไม่รับเลี้ยง หลังจากนี้ก็คงไม่มาที่นี่อีกแล้ว”
“อืม”
หลินจินซานเพิ่งจะก้าวออกไป ผู้อำนวยการก็เดินยิ้มแย้มเข้ามา “เมื่อครู่นี้ฉันติดธุระ เป็นยังไงบ้าง? เด็กคนนี้น่ารักมากเลยใช่ไหม? คิดว่าพวกคุณกับแม่หนูคนนี้มีวาสนาต่อกันหรือเปล่า?”
“ไม่มีวาสนาหรอกค่ะ” หลินเซี่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “พวกเราไม่ชอบเด็กคนนี้ ไม่คิดจะรับเลี้ยงหล่อนด้วย”
ผู้อำนวยการเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าหลินเซี่ยจึงมองมาอย่างสงสัย สลับกับมองไปทางเด็กทารกบนเตียงด้วยความงุนงง
“รบกวนคุณแล้ว”
หลินจินซานกล่าวอำลาผู้อำนวยการ “พวกเราคงต้องขอตัวก่อน”
หลินจินซานเดินตามหลังหลินเซี่ยออกไปจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เขาถามอย่างเป็นห่วง “เซี่ยเซี่ย เธอเป็นอะไรไป?”
หลินเซี่ยยังปรับอารมณ์ไม่ได้จึงไม่ได้ตอบคำถามของเขา
หลินจินซานถอนหายใจ “เฮ้อ น่าสงสารก็แต่เด็กคนนั้น แต่ใครใช้ให้หล่อนเกิดผิดที่กันล่ะ? พ่อแม่ของหล่อนชั่วร้ายขนาดนั้น ถึงพวกเราจะสงสารเด็กแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก”
ถ้าเสิ่นอวี้อิ๋งไม่ชั่วร้ายเกินคนขนาดนั้น พวกเขาก็คงไม่รู้สึกต่อต้านเด็กคนนี้ถึงเพียงนี้
หลินจินซานนึกถึงจุดประสงค์ที่มาสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าขึ้นมาได้ เขาถามหลินเซี่ย
“ว่าแต่ เซี่ยเซี่ย เธอดูออกไหมว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกใคร? เป็นลูกของเจิ้งต้าหมิงใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ เธอเป็นลูกของหลิวจื้อหมิง” หลินเซี่ยตอบอย่างมั่นใจ แววตาเย็นชา
ไม่ผิด เด็กคนนี้เป็นได้แค่ลูกของหลิวจื้อหมิงเท่านั้น
หลินเซี่ยหันไปหาหลินจินซานแล้วพูดว่า “พี่ ช่วยฉันสักเรื่องได้ไหม”
“เรื่องอะไร?” หลินจินซานถาม
หลินเซี่ยหรี่ตา เอ่ยอย่างใช้ความคิด “ฉันได้ยินจากอวี่เฟยว่าหลิวจื้อหมิงเปลี่ยนงานแล้วยังไปใกล้ชิดกับหัวหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง พี่พาเพื่อนไปหาหัวหน้าผู้หญิงคนนั้น แล้วปล่อยข่าวเรื่องเสิ่นเสี่ยวอวี้ด้วย”
หลิวจื้อหมิงในชาตินี้ นอกจากอาศัยผู้หญิงขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วก็ไม่มีความสามารถอย่างอื่นอีก
“เข้าใจแล้ว”
หลินจินซานเข้าใจเจตนาของหลินเซี่ย สีหน้าเขาฉายแววซับซ้อน
“เซี่ยเซี่ย ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง เธอรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านเถอะ”
ตอนหลินจินซานไปส่งหลินเซี่ยที่บ้านเป็นเวลาที่เฉินเจียเหอใกล้เลิกงานพอดี หลินจินซานไปส่งเธอที่บ้านแล้วก็ไปทำงานต่อ หลินเซี่ยโทรบอกเฉินเจียเหอว่าเธออยู่บ้านแล้ว ให้เขาตรงกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องแวะไปที่บ้านของผู้อาวุโสเย่
พอหลินเซี่ยกลับถึงบ้านก็ปีนขึ้นไปนอนบนเตียง ความคิดมากมายผุดเข้ามาในหัว
เธอตกใจจริง ๆ
เธอใช้เวลานานมากกว่าจะทำใจยอมรับเรื่องที่ตัวเองมาเกิดใหม่ได้
ตอนนี้ยังต้องมานั่งคิดเรื่องที่เสิ่นเสี่ยวอวี้มาเกิดใหม่อีก
พอมาลองคิดดู เสิ่นเสี่ยวอวี้คงจะจำเรื่องชาติก่อนได้ตั้งแต่เกิด
นี่คงเป็นบทลงโทษที่สวรรค์มอบให้เสิ่นเสี่ยวอวี้กระมัง?
ให้หล่อนได้รับรู้ด้วยตัวเองว่าตัวเองเกิดมาภายใต้สถานการณ์แบบไหน ถูกแม่แท้ ๆ ของตัวเองทอดทิ้งไว้อย่างไร พูดก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่มองดูตัวเองถูกทอดทิ้ง ความรู้สึกนั้นคงเลวร้ายมากเป็นแน่
ตอนแรกเสิ่นเสี่ยวอวี้คงคิดว่าชาตินี้เธอคงจะรับเลี้ยงตนเองเหมือนชาติที่แล้ว ถึงพยายามทำตัวเด่นเรียกร้องความสนใจแบบนั้น คงอยากให้เธออุ้มกลับไปเลี้ยงเร็ว ๆ สินะ
น่าเสียดายที่เสิ่นเสี่ยวอวี้หวังมากเกินไป
ตอนนี้เสิ่นเสี่ยวอวี้รู้แล้วว่าเธอก็มีความจำทรงจากชาติที่แล้วเหมือนกัน รู้ว่าชาตินี้เธอคงไม่มีวันญาติดีกับตัวเองอีก
กระทั่งว่าถ้าเธออยากเอาชีวิตเสิ่นเสี่ยวอวี้ก็ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
ร่างเล็ก ๆ นอนอยู่ตรงนั้นโดยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน จะรู้สึกสิ้นหวังหวาดกลัวแค่ไหน?
หลินเซี่ยเหนื่อยล้ามาก นอนอยู่บนเตียงแล้วเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
พอหลับไปก็ฝันว่า เสิ่นเสี่ยวอวี้ยืนอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยของเธอ จ้องเธอด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวแล้วเอื้อมมือมาถอดเครื่องช่วยหายใจของเธอ
“อย่า!”
หลินเซี่ยสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ดีดร่างขึ้นนั่ง เหงื่อโชกเแผ่นหลัง
เฉินเจียเหอที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวได้ยินเสียงจากในห้องนอนก็รีบวิ่งเข้ามาหา
เขายังถือตะหลิวอยู่ในมือ มองเธออย่างเป็นห่วง “เซี่ยเซี่ย เป็นอะไรไป?”
หลินเซี่ยสูดหายใจเข้าลึก พอเห็นเฉินเจียเหอก็ค่อยโล่งอก “ไม่มีอะไรค่ะ ตอนนอนเอามือทาบอกไว้ก็เลยฝันร้ายน่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจอกันแล้วก็อย่ามีชะตาต่อกันอีกเลยนะ ต่างคนต่างอยู่ไปเถอะ สิ้นเวรสิ้นกรรมกันไป
ไหหม่า(海馬)