ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 406 อุดมคติของเขาคือการจุนเจือสหายพี่น้อง
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 406 อุดมคติของเขาคือการจุนเจือสหายพี่น้อง
ตอนที่ 406 อุดมคติของเขาคือการจุนเจือสหายพี่น้อง
ตอนที่ 406 อุดมคติของเขาคือการจุนเจือสหายพี่น้อง
เซี่ยไห่ทำตามคำแนะนำของหลินเซี่ย ส่งเพจเจอร์ไปให้ถังจวิ้นเฟิงในเช้าวันรุ่งขึ้น ในไม่ช้าถังจวิ้นเฟิงก็มาถึงพร้อมกับรถจักรยานพัง ๆ ของเขา
เซี่ยไห่เรียกเขาขึ้นไปชั้นบน บอกว่าเขาอยากถามถังจวิ้นเฟิงเรื่องปัญหาด้านความปลอดภัยในห้องเต้นรำ แต่แค่ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองนั่งลง เฉียนต้าเฉิงก็รีบเข้ามารายงานว่าคนงานเผลอทำจักรยานของถังจวิ้นเฟิงพังยับโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่พวกเขากำลังเคลื่อนย้ายสิ่งของออกจากรถบรรทุก แม้แต่แฮนด์จับก็ยับเยิน
ปกติแล้วเฉียนต้าเฉิงเป็นคนเอาจริงเอาจัง หลังจากพูดจบ เขาก็มองเซี่ยไห่และถังจวิ้นเฟิงด้วยความรู้สึกผิด รีบขอโทษขอโพยอย่างลนลาน เนื่องจากเขาไม่สามารถดูแลคนงานให้ดี
เซี่ยไห่ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “วันๆ หนึ่งพวกนายเคยทำอะไรได้เรื่องบ้าง?”
ว่าแล้วเขาก็พูดกับถังจวิ้นเฟิงว่า
“ไป เราลงไปดูกันหน่อยเถอะ”
เมื่อทั้งสองลงมาถึงไปชั้นล่างและเห็นสภาพจักรยาน ปากของเซี่ยไห่ก็กระตุกอย่างรุนแรง
ลูกน้องพวกนี้ จำเป็นต้องลงมือทำขนาดนี้เลยเหรอ?
เขากลอกตาอย่างไร้คำพูด มองดูคนงานหลายคนที่กำลังหลบสายตาอย่างมีความผิดและกำลังรอที่จะถูกลงโทษ เขากระแอมในลำคอและเริ่มสาปแช่ง
“ทำไมพวกนายถึงได้โง่แบบนี้? ฉันใช้ให้ขนของ แล้วไปทำอิท่าไหนถึงทับจักรยานทั้งคันเข้าได้? ถ้าของหล่นทับคนไม่เดือดร้อนกันแย่หรือไง?”
ถังจวิ้นเฟิงมองจักรยานคันเก่งด้วยสีหน้าสยดสยอง ทำได้เพียงหยิบแฮนด์รถจักรยานที่หักพร้อมเอาไปขายเป็นเศษเหล็กขึ้นมา ใบหน้าฉายความหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
เซี่ยไห่ยังคงดุด่าพนักงานต่อไป “พวกนายคิดว่าฉันควรจัดการยังไงดี? มีใครในนี้ยินดีจ่ายเงินเพื่อซื้อรถคันใหม่ให้กับเจ้าหน้าที่ถังไหม?”
ชายหนุ่มหน้าตาซื่อสัตย์สองคนก้มหน้าลง แล้วพูดอย่างอ่อนแรงว่า “พวกเรามีเงินไม่พอครับ”
เฉียนต้าเฉิงเตือนเจ้านายด้วยเสียงต่ำ “หัวหน้าครับ นี่เป็นอุบัติเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาทำงาน พนักงานของเราไม่ควรรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอครับ?”
เซี่ยไห่ตะคอกอย่างเย็นชา “นายหมายความว่าจะให้ฉันเป็นฝ่ายชดใช้หรือไง?”
ถังจวิ้นเฟิงเห็นว่าเซี่ยไห่โหดร้ายกับพนักงานของเขามาก จึงดึงแขนเซี่ยไห่และพูดว่า “ช่างเถอะ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจทำพังซะหน่อย ทำไมต้องบังคับให้จ่ายเงินชดใช้ด้วย? อย่าโหดร้ายกับพนักงานไปหน่อยเลย”
เซี่ยไห่มองดูเศษเหล็กที่หักครึ่งบนพื้น จากนั้นขมวดคิ้วและพูดว่า “ประเด็นสำคัญก็คือ ถ้ารถคันนี้ของนายพัง นายจะต้องเดินทั้งไปและกลับจากที่ทำงาน มันจะล่าช้าขนาดไหน?”
ถังจวิ้นเฟิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันยังมีจักรยานอีกคันอยู่ที่บ้าน ฉันยืมจักรยานของแม่มาใช้ก่อนก็ได้”
“คุณป้าก็ต้องใช้ออกไปทำงานเหมือนกัน แล้วหล่อนจะขี่อะไรล่ะ?”
ดวงตาของเฉียนต้าเฉิงไหววูบเล็กน้อย เขาแนะนำเซี่ยไห่ว่า “หัวหน้าครับ ทำไมคุณไม่ให้เจ้าหน้าที่ถังยืมมอเตอร์ไซค์ของคุณไปใช้ก่อนล่ะ?”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เฉียนต้าเฉิงพูด เซี่ยไห่ก็ตบกบาลตัวเองแรง ๆ แล้วพูดว่า “ใช่ๆๆ ฉันมีมอเตอร์ไซค์จอดนิ่งอยู่ที่นั่น เราลองไปดูกันดีกว่า เผื่อว่านายจะเอาไปใช้แทนก่อน”
ถังจวิ้นเฟิง “???”
เซี่ยไห่โอบไหล่ของถังจวิ้นเฟิง ก่อนจะพากันเดินเข้าไปทางประตูด้านหลังของห้องเต้นรำ ซึ่งมีมอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยมจอดอยู่
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตางุนงงของถังจวิ้นเฟิง เซี่ยไห่อธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ฉันซื้อมอเตอร์ไซค์ให้หลานสาวเป็นของขวัญแต่งงาน ฉันคิดว่ารถคันนี้ก็ดูดีไม่หยอก เลยตั้งใจซื้อมันเป็นของขวัญให้กับหลานเขยไว้ใช้คู่กัน แต่ไอ้หมอเฉินเจียเหอนั่นหยิ่งเกินไป เขาไม่ยอมรับไว้ท่าเดียว ปกติฉันชอบขับรถยนต์มากกว่า มอเตอร์ไซค์คันนี้ก็เลยจอดทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งาน ไหน ๆ วันนี้จักรยานของนายก็ถึงวาระต้องบอกลาแล้ว นายเอามอเตอร์ไซค์คันนี้ไปขับก่อนได้เลย”
ถังจวิ้นเฟิงมองไปที่มอเตอร์ไซค์ตรงหน้าเขา แล้วเหลือบมองเซี่ยไห่อีกครั้ง พูดว่า “ถ้าเหล่าเฉินไม่ต้องการ นายจะเอาไปขายคืนให้ร้านก็ได้นี่”
เซี่ยไห่พูดอย่างสบาย ๆ ว่า “การขายคืนเป็นเรื่องง่ายที่ไหนกัน ฉันไม่ได้ขัดสนเงินทองขนาดนั้น นายเอาไปขับอย่างน้อยก็ไม่เสียของ ระหว่างเราก็คนกันเองทั้งนั้น”
ถังจวิ้นเฟิงยึดมั่นในหลักการมาก “ไม่เอา ฉันค่อยเก็บเงินซื้อจักรยานสักคันได้ มอเตอร์ไซค์ของนายแพงเกินไปสำหรับฉันที่จะใช้ขับไปไหนมาไหน”
“ยังต้องเกรงใจอะไรกันอีก ฉันแค่ให้นายยืมไปขับก่อนนะ”
เซี่ยไห่ยืนกรานที่จะมอบกุญแจรถให้ถังจวิ้นเฟิง “ไปเร็วเข้า ลองดูซิว่านายขี่แล้วเป็นยังไง”
เซี่ยไห่ผลักเขาไปยืนจ่ออยู่หน้ามอเตอร์ไซค์ ถังจวิ้นเฟิงมองดูมอเตอร์ไซค์คันใหม่สไตล์สุดเท่ จากนั้นมองกลับไปที่เซี่ยไห่อย่างรู้เท่าทัน เขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เซี่ยไห่ก็โบกมือบอกให้เขาหมุนปลดล็อกเบ้ากุญแจ “ลองขับดูก่อนเถอะน่า นายขับเป็นอยู่แล้วนี่”
ถังจวิ้นเฟิงถูกบังคับจนไม่เหลือทางเลี่ยง เขาสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ จากนั้นก็ขับวนไปรอบ ๆ บนถนน
ถังจวิ้นเฟิงมักจะขี่มอเตอร์ไซค์ตำรวจสามล้ออันเป็นทรัพย์สินของทางการอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้เขายังเคยเป็นพลขับของกองทัพด้วย ดังนั้นเขาจึงเชี่ยวชาญเรื่องยานพาหนะมาก ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเลย
เซี่ยไห่เห็นว่าเขาขี่มอเตอร์ไซค์ได้อย่างมั่นคง จึงก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อดูให้เต็มตา เขาทั้งสง่างามและหล่อเหลา ทั้งคนและรถสอดคล้องกันดี เหมือนมันถูกออกแบบมาสำหรับเจ้าหน้าที่ถังโดยเฉพาะ
เซี่ยไห่รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้รีบซื้อให้ถังจวิ้นเฟิงตั้งแต่ก่อนหน้านี้
ในฐานะคนที่ร่ำรวยที่สุดในบรรดาสหายพี่น้อง เขามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าตนมีภารกิจที่ต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาใช้จุนเจือสหายพี่น้อง เพื่อที่พวกเขาจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
สมัยที่ทุกคนร่วมกันสร้างทางรถไฟให้กับกรมการทหารถไฟ ผู้บัญชาการกองร้อยขอให้พวกเขาบอกอุดมคติของตัวเอง ทุกคนต่างก็มีอุดมคติที่ทะเยอทะยานมาก มีเพียงเขาคนเดียวที่ใส่ใจกับปัญหาในเชิงปฏิบัติ เพราะอุตสาหกรรมที่พวกเขาอยากทำในอนาคตไม่สามารถทำเงินได้แต่อย่างใด
ประชาชนต้องใส่ใจคุณภาพชีวิตของตนเองให้ดีก่อน จึงจะสามารถช่วยเหลือประเทศชาติและสังคมให้ดียิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาจึงตั้งใจว่าในขณะที่สหายพี่น้องต้องการยืนหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตนเอง เขาก็จะต่อสู้เพื่อสหายพี่น้อง ทำงานด้านการค้าให้ดี
ถังจวิ้นเฟิงขี่มอเตอร์ไซค์วนไปรอบ ๆ ก่อนจะกลับมาในเวลาไม่นาน เซี่ยไห่โบกมือให้เขา “นายขับรถคันนี้ไปได้เลย”
ถังจวิ้นเฟิงวาดขายาว ๆ อ้อมเบาะรถ มองไปที่เซี่ยไห่แล้วถามว่า “เหล่าเซี่ย นายตั้งใจซื้อรถคันนี้ให้เหล่าเฉินแต่ไม่ยอมส่งมอบให้เขาหรือเปล่า?”
เซี่ยไห่แก้ตัวเสียงดัง “บ้าหรือเปล่า? ฉันบ้าพอที่จะจ่ายเงินซื้อมอเตอร์ไซค์แล้วเอามาจอดไว้ดูเล่นหรือไง?”
“ฉันคงรับไว้ไม่ได้ นายควรมอบมันให้เหล่าเฉินตามเดิมเถอะ”
“เขาไม่ยอมรับไว้แน่”
“งั้นก็ส่งไปให้เจิ้งอวี่แทนสิ”
เซี่ยไห่รู้ว่าถังจวิ้นเฟิงเป็นคนมีหลักการมาก เมื่อเหตุผลหว่านล้อมทั้งหมดล้มเหลว เขาจึงทำได้แค่หาทางอื่น ดวงตาของเขาขยับเล็กน้อย ก่อนจะเสนอว่า
“ถ้างั้น ฉันขายต่อให้นายเป็นไง?”
ถังจวิ้นเฟิง “อะไรนะ?”
“ถ้านายไม่ยอมรับไว้ มันก็ไม่พ้นจอดนิ่งให้ฝุ่นเกาะอยู่ที่นี่ ฉันขายต่อให้นายในราคาย่อมเยาไม่ดีกว่าเหรอ?”
ถังจวิ้นเฟิงยิ้มเจื่อน ๆ “ฉันไม่มีปัญญาจ่ายน่ะสิ”
“ฉันคิดไม่แพง อีกอย่าง นายเอาเงินที่ตั้งใจจะซื้อจักรยานคันใหม่มาซื้อรถคันนี้แทนก็ได้นี่ ฉันจะลดราคาให้นายเป็นกรณีพิเศษ นายติดหนี้เงินส่วนต่างฉันไปก่อน มีพอจ่ายเมื่อไหร่ฉันค่อยขายขาด”
เซี่ยไห่ไม่ให้โอกาสถังจวิ้นเฟิงพูด พยายามผลักเขาไปที่มอเตอร์ไซค์อีกครั้ง “เอาอย่างนี้แหละ นายขี่ออกไปได้แล้ว”
“ไม่เอา นายกำลังบังคับซื้อขายโดยใช้กำลังอยู่นะ”
“นี่เรียกว่าการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่าต่างหากเล่า” เซี่ยไห่ผลักเขาจนขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์ ถังจวิ้นเฟิงไม่มีที่ว่างให้ปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขี่ออกไป
ทันทีที่คนออกไปแล้ว เฉียนต้าเฉิงก็เข้ามาถามเซี่ยไห่เพื่อขอคำแนะนำว่า “หัวหน้าครับ แล้วผมควรทำยังไงกับจักรยานที่พังแล้วดี?”
เซี่ยไห่บอกว่า “เอาไปขายเป็นเศษเหล็ก เงินที่ได้พวกนายก็เก็บเอาไว้ซื้อขนมเถอะ”
“ขอบคุณครับหัวหน้า”
เฉียนต้าเฉิงพาลูกน้องไปที่ร้านรับซื้อของเก่าอย่างมีความสุขโดยไม่ลืมแบกจักรยานที่พังยับเยินไปด้วย
ชายหนุ่มสองคนที่ถูกสั่งให้จัดฉากทุบรถมองตามพวกเขาที่ยกเศษซากจักรยานเทินไว้บนหัว จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เถ้าแก่เซี่ยใจดีกับสหายน้องชายของเขามากเลย”
“ใช่แล้ว เจ้านายของเราเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก เขาและสหายพี่น้องต่างก็ปลดเกษียณจากกองทัพแล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังผูกมิตรกันมาจนป่านนี้ได้”
“ทำงานกับเขาด้วยความภักดีเถอะ ยังไงเขาก็ไม่มีทางปฏิบัติต่อพวกเราไม่ดีแน่”
…
หลังจากเตรียมการจัดบ้านได้สามวัน บ้านตระกูลเย่ก็เปลี่ยนผ้าม่านใหม่ยกชุด เปลี่ยนผ้าปูโต๊ะรับประทานอาหารใหม่ทั้งหมด ทั้งครอบครัวถึงกับลงทุนซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่งสวยทั้งภายในและภายนอก เหลือแค่ติดกลอนคู่เท่านั้น
เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ หลี่เหม่ยเฟิ่งก็โทรไปบอกเย่ไป๋ว่าเขาสามารถพาแฟนกลับมาที่บ้านได้เลย
มหาวิทยาลัยปิดภาคเรียนช่วงวันหยุดฤดูร้อนแล้ว นักศึกษาอย่างเจียงอวี่เฟยและเย่เชี่ยนที่เป็นครูสอนดนตรีต่างก็อยู่ที่บ้าน ยุ่งอยู่กับการเตรียมการ
เจียงอวี่เฟยก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันที่ได้เห็นบรรยากาศครอบครัวของญาติดูครึกครื้นราวกับเทศกาลปีใหม่
หล่อนนึกถึงตอนอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ ลูกพี่ลูกน้องเคยบอกว่าแฟนของเขาก็อยู่ในรายการด้วย เวลานั้นเจียงอวี่เฟยจึงเดาว่าหล่อนควรจะเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดเหมือนตัวเอง
เจียงอวี่เฟยถามหลี่เหม่ยเฟิงอย่างอยากรู้อยากเห็น “คุณป้าคะ แฟนของลูกพี่ลูกน้องชื่ออะไรเหรอ?”
หลี่เหม่ยเฟิงยิ้มและตอบว่า “ป้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ลูกพี่ลูกน้องของเธอทำตัวลึกลับมาก เขาบอกเราแค่ว่าหล่อนคนนี้ทำงานเกี่ยวกับศิลปะการแสดง น่าจะรู้ก็ตอนที่เขาพาหล่อนมาโน่นเลย”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เล่นใหญ่สมเป็นเถ้าแก่เซี่ยจริงๆ
ส่วนทางบ้านเย่ก็เล่นใหญ่ไม่แพ้กัน แค่ต้อนรับว่าที่สะใภ้ก็ลงทุนจัดบ้านใหม่ขนาดนี้
ไหหม่า(海馬)