ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 398 แฟนพันธุ์แท้ของเซี่ยอวี่
ตอนที่ 398 แฟนพันธุ์แท้ของเซี่ยอวี่
ตอนที่ 398 แฟนพันธุ์แท้ของเซี่ยอวี่
แม้หลี่เหม่ยเฟิ่งจะได้เจอกับหลินเซี่ยเป็นครั้งแรก แต่หล่อนก็พูดคุยอย่างร่าเริงด้วยอัธยาศัยที่ดี นอกจากนี้หล่อนเองก็รู้จักเฉินเจียเหอ จึงพลอยสนิทสนมคุ้นเคยกับหลินเซี่ยไปโดยปริยาย หล่อนทำท่าทางลึกลับแล้วกระซิบกระซาบกับหลินเซี่ยว่า “ถึงแม้ว่าเขาจะบอกอย่างนั้น แต่ฉันก็พอมองออกอยู่หรอก คนมีความรักมักจะมองโลกเป็นสีชมพู มีผู้หญิงคนไหนสวยไปกว่าเซี่ยอวี่อีกเหรอ?”
หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดถึงเซี่ยอวี่ด้วยสีหน้าชื่นชม “ในความคิดของฉัน เซี่ยอวี่เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นเลยนะ แม้แต่เทพธิดาก็อาจเทียบกับหล่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หลินเซี่ย “…”
ฟังจากน้ำเสียงของป้าหลี่ หล่อนดูเหมือนจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเซี่ยอวี่เลยนะนี่?
ความรักทำให้มองโลกเป็นสีชมพูงั้นเหรอ?
หลังจากที่หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดจบ หล่อนก็กลัวว่าหลินเซี่ยจะเข้าใจผิดนึกว่าตนเป็นคนที่ตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตา ดังนั้นจึงแก้ไขด้วยรอยยิ้ม
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ฉันไม่คิดว่ารูปลักษณ์ภายนอกของคู่ครองจะมีความสำคัญมากนักหรอก สิ่งที่สำคัญคือมุมมองการใช้ชีวิตของคนสองคนควรจะสอดคล้องกัน ควรพูดภาษาเดียวกัน และควรมีความสนใจที่คล้ายคลึงกันด้วย”
“คุณป้าพูดอีกก็ถูกอีกค่ะ” หลินเซี่ยยืนอยู่ด้านหลังหลี่เหม่ยเฟิ่งพร้อมกับน้ำยาดัดและแกนม้วนผม เธอพูดว่า “คุณป้า ขยับนั่งตัวตรงได้เลยนะคะ เดี๋ยวเราจะเริ่มทำผมกันแล้ว”
“จ้ะ” หลี่เหม่ยเฟิ่งนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ตัดผม เพ่งมองในกระจกขณะที่หลินเซี่ยเริ่มยุ่งอยู่กับเส้นผมของหล่อน
หลินเซี่ยเริ่มจัดการม้วนผมให้หลี่เหม่ยเฟิ่ง ขณะที่ทั้งสองพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ หลินเซี่ยต้องติดต่อกับผู้คนมากหน้าหลายตาตลอดทั้งวัน ทำให้สามารถพูดคุยกับลูกค้าได้อย่างไม่ขัดเขิน หลี่เหม่ยเฟิ่งเองก็มีบุคลิกที่ร่าเริง เนื่องจากทั้งเฉินเจียเหอและเย่ไป๋เป็นสหายพี่น้องที่ดีต่อกัน ในฐานะสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา ทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว หยิบเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยได้อย่างสนุกสนาน
ทันใดนั้นเอง เจียงอวี่เฟยที่ประคบดวงตาของตัวเองเสร็จแล้วก็จัดการกับใบหน้าของตัวเอง และเดินออกมาจากฉากกั้น
“เซี่ยเซี่ย ใกล้จะเสร็จหรือยัง?” เจียงอวี่เฟยถาม
หลินเซี่ยหันกลับไปมองเจียงอวี่เฟยที่กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความโล่งใจ
ดูเหมือนว่าเพื่อนสาวของเธอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว และกำลังวางแผนจะกลับไปบอกผู้เป็นพ่ออย่างกล้าหาญว่าจะไม่เข้าร่วมประกวดนางแบบอีกต่อไป
หลินเซี่ยพูดกับเจียงอวี่เฟยว่า
“อวี่เฟย ถ้าเธอหิวก็ข้ามไปกินข้าวที่ร้านแม่ฉันก่อน แล้วกลับไปพักผ่อนสักหน่อย ฉันอาจจะต้องทำงานยุ่งอีกสักพัก”
เจียงอวี่เฟยไม่มีอารมณ์จะกินอะไรเลย หล่อนแค่อยากรอให้หลินเซี่ยทำงานเสร็จก่อน แล้วค่อยปรึกษากับเธอเพื่อดูว่าหลินเซี่ยจะหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไรได้บ้าง
เมื่อหลี่เหม่ยเฟิ่งได้ยินหลินเซี่ยเรียกหญิงสาวอีกคนว่าอวี่เฟย หล่อนก็หันมองไปด้านข้าง
ดวงตาของหญิงสาวบวมแดง ดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนอย่างที่เคยเห็น
แต่หลี่เหม่ยเฟิ่งก็ยังคงจำหล่อนได้ในทันที
หลี่เหม่ยเฟิ่งหันหน้าไปหาด้วยความตื่นเต้น มองเจียงอวี่เฟยและถามอย่างนึกยินดี
“เธอชื่ออวี่เฟยเหรอ? เจียงอวี่เฟยใช่ไหม?”
เจียงอวี่เฟยเห็นว่าคุณป้าแปลกหน้าดูกระตือรือร้นต่อหล่อนมาก จึงพยักหน้ารับอย่างว่างเปล่า “ใช่ค่ะ”
“ใช่เจียงอวี่เฟย คนเดียวกับที่ร่วมประกวดนางแบบโดยใช้ชื่อบนเวทีว่าเย่เสี่ยวอวี่หรือเปล่า?”
เจียงอวี่เฟย “???”
ปฏิกิริยาแรกของหล่อนคือคิดว่าคุณป้าคนนี้น่าจะจดจำตนเองได้หลังจากดูรายการทีวี จึงยังคงพยักหน้ารับอย่างว่างเปล่าเหมือนเดิม “ค่ะ”
แต่เมื่อกลับมาคิดดูดี ๆ อีกครั้ง ถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หล่อนใช้ชื่อแฝงเพื่อออกรายการว่าเย่เสี่ยวอวี่ก็จริง แต่ถึงอีกฝ่ายจะจำหล่อนได้อย่างแม่นยำแค่ไหน ก็ไม่ควรรู้ชื่อจริงของหล่อนอย่างชัดเจนขนาดนี้ด้วยซ้ำ
หรือว่าจะเป็นคนรู้จัก?
ขณะที่เจียงอวี่เฟยกำลังคิดเรื่องนี้ หลี่เหม่ยเฟิ่งก็ลุกขึ้นยืนแล้ว
“แม่หนู เธอคืออวี่เฟยจริงเหรอเนี่ย? ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้เจอเธอที่นี่”
หลี่เหม่ยเฟิ่งลุกพรวดพราดทั้งที่ยังมีแกนเหล็กดัดผมอยู่บนหัว หล่อนขอให้หลินเซี่ยหยุดมือชั่วคราว จากนั้นจึงเดินไปหาเจียงอวี่เฟยอย่างตื่นเต้นและโผเข้ากอดหล่อนไว้
เจียงอวี่เฟย “???”
เนื่องจากไม่ทันระวังตัว หล่อนจึงรู้สึกเขินอายและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน เธอยกแขนขึ้นค้างไว้เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จากนั้นก็มองไปทางหลินเซี่ยเพื่อขอความช่วยเหลือ
หลินเซี่ยยังถือแกนเหล็กดัดผมอยู่ในมือ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับจะปะติดปะต่อเรื่องต่าง ๆ
ทันใดนั้นก็เหมือนเธอนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง หัวใจกระตุกวูบเพราะเกิดความคิดแวบเข้ามา
เย่ไป๋บอกว่าเจียงอวี่เฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ดังนั้นแม่ของเย่ไป๋ก็น่าจะรู้จักเจียงอวี่เฟย
พวกเขาเป็นญาติกัน
แต่ด้วยความที่เจียงอวี่เฟยไม่เคยติดต่อกับญาติฝั่งแม่ของหล่อนมาก่อน แม้แต่ตัวเย่ไป๋เองก็เคยเล่าว่าทางฝั่งตระกูลเย่ไม่ได้ติดต่อกับเจียงอวี่เฟยและคนอื่น ๆ มานานหลายปีแล้ว
หลินเซี่ยติดต่อกับคนจำนวนมากเกินไปภายในหนึ่งวัน ดังนั้นเธอจึงเกือบจะลืมข้อมูลนี้ไปแล้ว และเพิ่งมาจำได้ตอนเห็นหลี่เหม่ยเฟิ่งโผเข้ากอดเจียงอวี่เฟยอย่างกระตือรือร้น
ในที่สุดเจียงอวี่เฟยก็ได้จังหวะผละออกจากหลี่เหม่ยเฟิ่ง หล่อนก้าวถอยหลังและถามหลี่เหม่ยเฟิ่งด้วยความตื่นตัวและสุภาพ “คุณป้า คุณเป็นใครคะ? เราเคยรู้จักกันหรือเปล่า?”
หลี่เหม่ยเฟิ่งมองดูหล่อนด้วยความเอ็นดู พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่หนู เราจะไม่รู้จักกันได้ยังไง? ลองมองฉันให้ดีอีกครั้งสิ แล้วนึกดูว่าเธอเคยเจอฉันมาก่อนหรือเปล่า?”
สมองของเจียงอวี่เฟยยังขาวโพลนว่างเปล่าเมื่อต้องเผชิญกับหญิงวัยกลางคนที่เข้าหาหล่อนด้วยความรัก
หล่อนได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง พยายามค้นหาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าในใจ
น่าเสียดายที่หลังจากรื้อฟื้นความทรงจำมาสักพักแล้ว หล่อนก็ยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหน
หลินเซี่ยเห็นอย่างนั้น จึงเตือนเจียงอวี่เฟยด้วยเสียงต่ำว่า “คุณแม่ของหมอเย่ไป๋ไงล่ะ”
“หา?”
“คุณคือ…” เจียงอวี่เฟยหยุดครู่หนึ่งหลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย ในที่สุดก็จำตัวตนของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าหล่อนได้ จึงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณคือคุณแม่ของลูกพี่ลูกน้องฉันเหรอคะ?”
หลี่เหม่ยเฟิ่งยิ้มและตอบกลับ “ใช่แล้ว แม่หนู เธอเคยมาที่บ้านของเราตั้งแต่สมัยเธอยังเด็กมาก พวกเราเคยเจอกันมาก่อนจริง ๆ”
เจียงอวี่เฟยรู้สึกเขินอายและรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นฝ่ายลืม รีบกล่าวขอโทษว่า “ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะคุณป้า มันผ่านมานานมากแล้ว ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคุณ”
พูดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนหล่อนจะได้เจอพวกเขาตั้งแต่สมัยตัวเองอายุห้าหรือหกขวบ ความทรงจำของหล่อนเกี่ยวกับพวกเขาจึงเลือนรางไปหมด
หลี่เหม่ยเฟิ่งยิ้มและบอกว่า
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ ตอนที่ฉันกับลูกพี่ลูกน้องของเธอกำลังนั่งดูรายการทีวีอยู่ด้วยกัน เรารู้สึกตงิดใจว่าคนคนนี้หน้าตาคุ้น ๆ แต่ตอนนั้นเรายังจำเธอไม่ได้ เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอนั่นแหละที่บอกพวกเราว่าเธอคืออวี่เฟย เราก็เลยจำเธอได้”
เมื่อเจียงอวี่เฟยได้ยินหลี่เหม่ยเฟิ่งบอกว่าครอบครัวพวกเขาเองก็ดูรายการประกวดนางแบบเหมือนกัน สีหน้าที่สดใสขึ้นเล็กน้อยในตอนแรก ทันใดนั้นก็มืดมนลงอีกครั้ง
หลี่เหม่ยเฟิ่งเพิ่งจะดัดผมไปได้แค่ไม่กี่แกน ตอนนี้หล่อนจึงอยู่ในทรงผมที่คาราคาซัง เอาแต่จับมือของเจียงอวี่เฟยและทักทายหล่อนไม่หยุด ราวกับลืมไปแล้วว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไรอยู่
ช่างทำผมอย่างหลินเซี่ยยืนอยู่ใกล้ ๆ ถือแกนเหล็กดัดผมไว้ในมือ ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป
หลังจากที่ทั้งสองคุยกันสักพัก หลินเซี่ยก็เตือนหล่อนว่า “คุณป้า ทำไมไม่ให้อวี่เฟยมานั่งอยู่ข้างคุณเพื่อคุยกันในขณะที่ทำผมไปด้วยล่ะคะ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งได้สติหลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด หล่อนมองดูตัวเองในกระจกแล้วหัวเราะออกมาดัง ๆ “จริงด้วย เรามาทำผมกันต่อเถอะ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งนั่งลงและทำผมต่อ โดยไม่ลืมที่จะให้ความสนใจเจียงอวี่เฟย “อวี่เฟย ทำไมเธอไม่ไปหาอะไรกินก่อนล่ะ?”
เจียงอวี่เฟยส่ายหน้า “คุณป้า ฉันยังไม่หิวค่ะ ว่าจะรอดูเซี่ยเซี่ยทำผมให้คุณก่อน”
“แม่หนู ถ้าอย่างนั้นรอป้าทำผมเสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านไปกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันนะ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งนั่งอยู่ที่นั่น มองเจียงอวี่เฟยในกระจกเป็นครั้งคราว ถอนหายใจพลางพูดว่า “ฉันดีใจมากจริง ๆ ที่ได้เจอเธอที่นี่ ตอนแรกฉันยังบอกลูกพี่ลูกน้องของเธอเลย ว่าถ้ามีโอกาสให้เขาเชิญเธอมาที่บ้านเราในวันอื่น จะได้ถือโอกาสกินข้าวด้วยกัน”
“คุณลุงเป็นยังไงบ้างคะ?” เจียงอวี่เฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันตามแม่ไปเยี่ยมครอบครัวของเขา ดูเหมือนจะจำได้ว่าตอนนั้นเขามักทำตัวเป็นหนอนหนังสือ แม่บอกว่าคุณลุงเป็นคนใจดีมาก รอบรู้ศาสตร์ทุกแขนง แถมตอนนั้นคุณลุงยังสอนฉันอ่านหนังสือด้วยนะคะ”
จู่ ๆ ความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามาราวกับเขื่อนแตก เมื่อเปิดออกเรื่องหนึ่ง หลาย ๆ เรื่องก็ทยอยถูกเรียกคืนตามมา
เจียงอวี่เฟยคิดถึงคุณลุงในความทรงจำ ทันใดนั้นก็เริ่มคิดถึงแม่ผู้ล่วงลับ
เมื่อพูดถึงสามีของตน หลี่เหม่ยเฟิ่งก็ไม่ลืมสาธยายงานของเขา “ใช่ ลุงของเธอเป็นคนรอบรู้มากจริง ๆ เมื่อก่อนเขาเป็นแค่นักอ่าน แต่ต่อมาเขาก็มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่งนิยายเรื่องยาวจนได้รับการตีพิมพ์สองเล่มภายในเวลาสิบปี นอกจากนี้เขามักจะส่งบทความตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์และวารสารด้วย ทุกวันนี้เขาก็ยังเขียนบทความอยู่ ไม่นานมานี้มีคนมาติดต่อขอให้เขาขายลิขสิทธิ์ด้วยนะ”
“ว้าว” เจียงอวี่เฟยอุทาน “คุณลุงกลายเป็นนักเขียนชื่อดังไปแล้ว สุดยอดไปเลยค่ะ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งมองเจียงอวี่เฟยด้วยความชื่นชมและโล่งใจ พูดต่อไปว่า “แม่หนู เธอเองก็เก่งมากไม่แพ้กัน ดูสิว่าเธอทำผลงานออกมาดีแค่ไหนในการประกวดนางแบบ เราติดตามดูทุกครั้งที่รายการออกอากาศเลยนะ เมื่อคืนนี้เรานั่งดูกับลูกพี่ลูกน้องของเธอแล้วพูดคุยกัน เรารู้สึกประทับใจมากที่เห็นว่าเธอยืนอยู่บนเวทีด้วยใบหน้าสดใส ท่าทางมั่นใจ แม่ของเธอที่อยู่บนสวรรค์ก็น่าจะภาคภูมิใจในตัวลูกสาวเช่นกัน”
ในตอนท้ายของประโยคคำพูด หลี่เหม่ยเฟิ่งรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ
คงจะดีไม่น้อยถ้าแม่ของอวี่เฟยยังมีชีวิตอยู่
ไม่อย่างนั้นทั้งสองครอบครัวของพวกเขาคงไม่ขาดการติดต่อกันมานานหลายปีแบบนี้
เมื่อพูดถึงแม่ของตน เจียงอวี่เฟยก็รู้สึกเศร้ามากเช่นกัน
พ่อของหล่อนต่อต้านการประกวดนางแบบอย่างหัวชนฝา โดยหยิบยกเหตุผลมาต่อว่าว่าหล่อนทำตัวผิดศีลธรรม จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าแม่ของหล่อนยังมีชีวิตอยู่ แม่จะสนับสนุนความฝันของหล่อนหรือไม่?
ในความทรงจำของหล่อน แม่เป็นคนที่เข้าใจหล่อนมากที่สุด
ถ้าแม่ยังอยู่ แม่คงยืนหยัดต่อสู้เพื่อหล่อน และสนับสนุนหล่อนอย่างไม่มีเงื่อนไขอย่างแน่นอน!
หลี่เหม่ยเฟิ่งให้กำลังใจเจียงอวี่เฟย “อวี่เฟย ในรอบชิงชนะเลิศเธอต้องพยายามอย่างเต็มที่นะ”
เจียงอวี่เฟยกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง จำใจฝืนยิ้มบนใบหน้า
หลี่เหม่ยเฟิ่งถามอีกครั้งด้วยความคาดหวัง
“จริงสิ ทางสถานีโทรทัศน์อนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวตามไปดูการประกวดรอบชิงชนะเลิศในห้องส่งด้วยได้ไหม? ฉันกับลุงและลูกพี่ลูกน้องของเธอจะได้ไปให้กำลังใจถึงขอบเวทีเลย”
จะได้ถือโอกาสยลโฉมหน้าที่แท้จริงของดาราดังสักครั้ง
“คุณป้าคะ ฉัน…”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจอญาติฝ่ายแม่คนหนึ่งแล้วล่ะอวี่เฟย แถมดูไม่ต่อต้านเรื่องที่ประกวดนางแบบด้วย จะมีหวังได้ไปต่อหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)