ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 390 ยุติความสัมพันธ์คู่รักจอมปลอมกันเถอะ
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 390 ยุติความสัมพันธ์คู่รักจอมปลอมกันเถอะ
ตอนที่ 390 ยุติความสัมพันธ์คู่รักจอมปลอมกันเถอะ
ตอนที่ 390 ยุติความสัมพันธ์คู่รักจอมปลอมกันเถอะ
เฉินเจียเหอต้องการมอบเงินในสมุดบัญชีเงินเดือนของเขาให้เซี่ยไห่ แต่หลินเซี่ยปฏิเสธ เธอหยิบเงินที่ได้จากการทำธุรกิจของตัวเองออกมาจากลิ้นชัก แล้วทั้งสองก็ไปที่ห้องเต้นรำเพื่อตามหาเซี่ยไห่
เป็นผลให้พวกเขาถูกเซี่ยไห่ดุกลับมา
เขาบอกว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายคืนให้เลย เขาแค่อยากให้ของขวัญหลานสาว
เซี่ยไห่ขอให้พวกเขาเก็บเงินไว้ แล้วพูดกับเฉินเจียเหอว่า “อย่าบอกจวิ้นเฟิงว่าฉันซื้อมอเตอร์ไซค์คันนี้ให้เขาก็แล้วกัน หมอนั่นรักศักดิ์ศรีตัวเองยิ่งกว่าอะไรดี ถ้ารู้ว่าฉันซื้อเขาคงไม่ยอมรับไว้ดี ๆ แน่”
เฉินเจียเหอถามกลับ “งั้นจะให้เขายังไงดีล่ะ?”
“คืนนี้นายลองกลับไปคิดหาวิธีดู อะไรก็ได้ที่จะทำให้เขาขี่มอเตอร์ไซค์คันใหม่ได้อย่างสบายใจ และพาแฟนสาวมาให้พวกเราเห็นหน้าค่าตาเร็วที่สุด”
เซี่ยไห่เป็นหนุ่มโสด ดังนั้นจึงทำตัวเจ้ากี้เจ้าการเหมือนกับพ่อผู้ชราที่กังวลเรื่องลูก เขามอบหมายงานนี้ให้เฉินเจียเหอ แต่เฉินเจียเหอตอบรับไปอย่างนั้น “โอ้ ไว้ฉันจะลองกลับไปคิดดู”
เซี่ยไห่มองไปที่หลินเซี่ยด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยเซี่ย ไว้ฉันจะสอนเธอขับมอเตอร์ไซค์นะ”
เฉินเจียเหอชิงอาสาก่อนว่า “อารอง ฉันสอนหล่อนเอง”
หลังจากที่เฉินเจียเหอพูดจบ เขาก็โอบไหล่หลินเซี่ย “พวกเราขอตัวก่อน”
เซี่ยไห่โบกมือไล่ด้วยความรังเกียจ “ออกไปซะ”
…
….
เซี่ยอวี่เพิ่งกลับมาถึงบ้านหลังจากไปเจรจาเรื่องงานกับผู้กำกับในไห่เฉิง ทันทีที่เข้าไปในห้องโถงก็เห็นภาพเย่ไป๋กำลังนั่งวัดความดันโลหิตให้กับหญิงชรา
เซี่ยอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เสี่ยวไป๋ ทำไมคุณมาที่นี่อีกแล้ว?”
คุณแม่เซี่ยพูดด้วยความขุ่นเคือง “แม่บอกแกกี่ครั้งแล้วว่าให้ชวนเสี่ยวเย่มากินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน นี่ผ่านมาตั้งกี่วันแล้ว แม่เลยทำได้แค่… ไม่สิ วันนี้แม่รู้สึกเวียนหัวแปลก ๆ ก็เลยขอให้เสี่ยวเย่ช่วยมาวัดความดันโลหิตให้หน่อย”
“คุณป้า ไม่มีอะไรร้ายแรงครับ จากนี้เวลาจะลุกขึ้นหลังจากนั่งนาน ๆ ต้องค่อย ๆ ลุกช้า ๆ ถ้าตื่นตอนกลางคืนก็ลุกขึ้นมานั่งสักพักก่อน แล้วค่อยลุกเดินจากเตียง บางครั้งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จะทำให้คุณรู้สึกวิงเวียนเอาได้”
คุณแม่เซี่ยยิ้มและตอบกลับว่า “ฉันจะจำไว้นะเสี่ยวเย่”
เย่ไป๋เก็บกล่องยา เซี่ยอวี่พูดขึ้น “เดี๋ยวฉันออกไปส่ง”
หญิงชรากังวล พยายามรั้งเย่ไป๋ไว้ “รีบกลับไปไหนกัน? อยู่กินข้าวมื้อเย็นแล้วค่อยกลับสิพ่อหนุ่ม”
“แต่พี่ใหญ่ไม่อยู่ แล้วใครจะเข้าครัวทำกับข้าวล่ะคะ?”
หญิงชราขยิบตาให้เซี่ยอวี่ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลูกก็ทำแทนไง”
ดูสิ
“ฉันเหรอ?” เซี่ยอวี่ชี้ไปที่ตัวเอง “ฉันว่าฉันไม่ควรอวดทักษะการทำอาหารที่มีอยู่น้อยนิดให้ใครชิมนะคะ”
คุณแม่เซี่ยพยักหน้า “ข้าวผัดที่ลูกทำสมัยอยู่ฮ่องกงอร่อยมากเลยนะ วันนี้ลูกทำอาหารสักมื้อ ให้เสี่ยวเย่ได้ลิ้มรสมือของลูกหน่อยแล้วกัน”
สายตาของคุณแม่เซี่ยดูเหมือนจะสื่อว่า ‘ไปแสดงความสามารถให้ว่าที่สามีเห็นซะ ว่าแกมีศักยภาพพอที่จะเป็นภรรยาและแม่ที่ดี!’
“แม่ ช่วงนี้ฉันต้องทำงาน แล้วเพิ่งจะทาสีเล็บมาหมาด ๆ เอง แม่ไม่เคยพูดหรอกเหรอว่าจะไม่กินข้าวฝีมือฉันถ้าฉันยังทาเล็บแดงเถือกแบบนี้?”
เซี่ยอวี่หันมือโชว์เล็บให้หญิงชราดูต่อหน้า
คุณแม่เซี่ยเป็นหญิงชราหัวเก่า นางไม่ชอบเล็บสีแดงแปร๋นของลูกสาวจริง ๆ รู้สึกอยู่เสมอว่าสีบนเล็บของหล่อนอาจจะหลุดลอกลงไปในจานข้าว
นางตัดบท “ถ้าอย่างนั้นก็นั่งรออยู่เฉย ๆ ไป เดี๋ยวแม่ทำเอง”
หญิงชราต้องการทำอาหารให้กับเย่ไป๋ด้วยตัวเอง เย่ไป๋จึงรีบพูดขึ้นว่า “คุณป้าครับ นั่งอยู่ข้างนอกเถอะ เดี๋ยวผมเข้าไปทำเอง”
หลังจากที่เย่ไป๋พูดจบ เขาก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเข้าครัวไปล้างมือ
หญิงชราผลักเซี่ยอวี่พลางพูดว่า “เข้าไปช่วยเป็นลูกมือให้เสี่ยวเย่เร็ว ลูกจะได้ถือโอกาสนี้คุยกับเขาไงล่ะ”
เซี่ยอวี่มองไปทางชายร่างสูงที่เดินเข้าไปในครัวก่อนแล้วด้วยความขัดเขิน ก่อนจะถอนหายใจ
สุดท้ายก็ต้องตามเข้าไป
ตอนนี้พี่ใหญ่ของหล่อนฟื้นความทรงจำแล้ว เขากับพี่สะใภ้ก็ดูจะเข้ากันได้ดี ทุกอย่างดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ภาวะอารมณ์ของพี่ใหญ่ก็มั่นคงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่มีเวลาหรือเรี่ยวแรงมานั่งกังวลเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของน้อง ๆ อีกต่อไป
ดังนั้น เซี่ยอวี่จึงวางแผนว่าจะบอกเย่ไป๋ ว่าพวกเขาควรยุติความสัมพันธ์คู่รักจอมปลอมกันเสียที
เซี่ยอวี่เข้าไปในครัว เย่ไป๋เริ่มซาวข้าวแล้ว ดูเหมือนเขาตั้งใจจะหุงข้าวก่อนเป็นอย่างแรก
“ที่บ้านมีวัตถุดิบไม่เยอะมาก ในบ้านมีแค่เราสามคน ผมจะทำยำแตงกวา แล้วผัดบวบอีกจานหนึ่ง มั่นใจได้เลยว่ากินกับข้าวสองอย่างนี้แล้วไม่อ้วนแน่”
ทันใดนั้น
ขณะที่เย่ไป๋พูด เขาก็จัดการหุงข้าวอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็หันไปล้างผักและทำการหั่น
เซี่ยอวี่ยืนอยู่ข้าง ๆ พยายามแทรกตัวเข้าไปช่วยล้างผัก แต่เย่ไป๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเอง”
ในขณะที่เขากำลังหั่นผัก เขาก็สาธยายให้เซี่ยอวี่ฟังเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของผักเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเอาผักไปผัดลงกระทะ เขาขอให้เซี่ยอวี่ออกไปข้างนอก เพราะกลัวว่าควันจะตลบฟุ้งห้องครัว
เซี่ยอวี่จึงยังไม่มีโอกาสได้คุยธุระสำคัญกับเขา
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้ว เย่ไป๋และเซี่ยอวี่ก็ยกจานกับข้าวมาวางบนโต๊ะ พอแม่เซี่ยเห็นว่าเย่ไป๋พลิกแพลงวัตถุดิบจนออกมาเป็นกับสี่แกงหนึ่ง นางก็ชมเชยเขาเป็นอันดับแรก
เย่ไป๋ฟังคำชมของหญิงชรา ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ แล้วยื่นตะเกียบให้นาง “คุณป้า นี่ตะเกียบของคุณครับ”
“จ้ะ ทุกคนกินข้าวกันเถอะ”
เซี่ยอวี่คีบบวบชิ้นหนึ่งเข้าปาก พบว่ามันรสชาติดีมาก
หลังจากที่หญิงชรากินเข้าไป นางก็แสดงสีหน้าล่องลอยราวกับได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะ และเอาแต่พูดว่าลูกสาวของตนช่างโชคดีนัก
“เสี่ยวเย่ เมื่อก่อนเสี่ยวอวี่เคยทำอาหารเก่งมาก ตอนนั้นหล่อนต้องดูแลพี่ชายสมัยที่เขายังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หล่อนจะเตรียมอาหารจากที่บ้าน แล้วแวะไปส่งให้เขาก่อนไปทำงานเสมอ ช่วงนั้นหล่อนลำบากมากทีเดียว ต่อมาหลังจากขาของเจ้าใหญ่เริ่มหายดีแล้ว เขาก็ทนเห็นน้องสาวตัวเองแบกรับภาระหนักขนาดนั้นไม่ไหว เลยเรียนทำอาหาร แล้วกลายเป็นคนที่ดูแลอาหารทุกมื้อของที่บ้าน เสี่ยวอวี่ยุ่งอยู่กับงานในวงการ จะหยิบจับทำงานให้มือหยาบกร้านเกินไปก็ไม่ได้ หวังว่าจะรับได้กับความจำเป็นของหล่อนนะ”
เย่ไป๋ฟังคำพูดของหญิงชรา เขาหันมองหญิงสาวร่างบอบบางอีกครั้ง และพูดด้วยสายตาอันอ่อนโยนว่า “คุณป้า ผมยอมรับได้ครับ”
“ฉันรู้อยู่แล้ว เธอน่ะเป็นคนดี”
เซี่ยอวี่คีบถั่วผัดชิ้นหนึ่งลงในชามของหญิงชรา และเตือนอย่างไม่อดทน “แม่ รีบกินเร็วเข้า หยุดพูดได้แล้ว”
“ได้ๆๆ เอาล่ะ ไม่จะไม่ชวนคุยให้เสียเวลาแล้ว มากินข้าวกันเถอะ เสี่ยวเย่ทำกับข้าวได้อร่อยมากเลย เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ ทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้านได้”
คุณแม่เซี่ยชื่นชมรสชาติอาหารขณะรับประทาน ไม่อาจหยุดพูดได้ง่าย ๆ
หลังจากที่ทั้งสามคนกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขจนเสร็จ เย่ไป๋ก็เข้าครัวไปล้างจาน เซี่ยอวี่พูดว่า “เดี๋ยวพวกเราล้างจานกันเอง ตอนนี้ดึกมากแล้ว คุณรีบกลับไปแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า”
หญิงชรามองดูท้องฟ้าที่มืดมิดข้างนอก แล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเย่ ไม่ต้องกังวลเรื่องจานชามเลย เดี๋ยวฉันจะล้างเอง กลับไปเร็วหน่อยเถอะ ไม่งั้นยิ่งดึกแล้วขี่มอเตอร์ไซค์จะไม่ปลอดภัย”
หญิงชราขยิบตาให้ลูกสาวของหล่อน เป็นเชิงขอให้หล่อนพาเย่ไป๋ออกไป
เดิมทีเซี่ยอวี่ตั้งใจว่าจะออกไปส่งเขาอยู่แล้ว จึงเดินออกไปพร้อมเขาอย่างว่าง่าย
หญิงชรามองตามแผ่นหลังที่เหมาะสมกันอย่างยิ่งของคนสองคน สีหน้าเต็มไปด้วยความโล่งใจ
ในที่สุดลูกสาวของนางก็ได้พบกับรักแท้
พอพวกเขาออกไปข้างนอก เย่ไป๋หยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์มาเสียบ กำลังจะสตาร์ทรถ เขาหันมาพูดกับเซี่ยอวี่ว่า “คุณเองก็เข้าบ้านเถอะครับ”
เซี่ยอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมองหน้าเขาและพูดอย่างจริงจัง “คุณหมอเย่ เรามาคุยกันก่อนเถอะ”
ดวงตาของเย่ไป๋หรี่ลงเล็กน้อย แววตาแห่งความเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง แต่ยังถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“อืม…” เซี่ยอวี่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ขอบคุณคุณมากนะคะสำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันทำให้คุณเดือดร้อนมากจริง ๆ”
เย่ไป๋ยิ้มตอบเบา ๆ “ไม่เลย ผมต่างหากที่รู้สึกเป็นเกียรติ”
เซี่ยอวี่หยุดครู่หนึ่ง แล้วเริ่มพูดเกริ่นว่า “พี่ใหญ่ของฉันอาการดีขึ้นมากแล้ว เขามีงานยุ่งทุกวัน ไม่เอาแต่เร่งเร้าให้ฉันกับกับเซี่ยไห่แต่งงานอีกต่อไป ดังนั้น ฉันคิดว่า…”
เย่ไป๋ยืนอยู่ตรงหน้าหล่อน มองดูหล่อนเงียบ ๆ
หล่อนพูดต่อ
“ฉันคิดว่าพวกเราสมควรแก่เวลาที่จะยุติความสัมพันธ์จอมปลอมระหว่างกันได้แล้ว เราจะได้ไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไป คราวหน้าถ้าแม่ฉันโทรหาคุณอีก คุณก็ไม่ต้องสนใจท่าน ท่านไม่ได้เป็นอะไรมาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันสามารถพาท่านไปโรงพยาบาลเองได้”
ดวงตาของเย่ไป๋มืดมนลง มองหน้าหล่อนแล้วถามทันที “ครั้งนี้คุณอาจจะหลอกทุกคนได้ แต่แล้ววันข้างหน้าคุณจะทำยังไงล่ะ? คุณไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งงานเลยเหรอ?”
เซี่ยอวี่พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายพร้อมกับยักไหล่ “ฉันไม่เคยกังวลเรื่องนี้เลยต่างหาก”
“นั่นเป็นเพราะคุณไม่เคยกังวลเรื่องนี้ หรือเป็นเพราะคุณยังไม่เจอใครที่ถูกใจ?” เย่ไป๋มองลึกเข้าไปในดวงตาของหล่อนแล้วถาม
“ฉันไม่มีความปรารถนาอยากได้ใครมาเติมเต็ม อยู่ตัวคนเดียวก็สุขสบายดี ครอบครัวกินอิ่มนอนหลับ ไม่รู้สิ สมัยเด็ก ๆ ครอบครัวเรายากจนมาก มีอาหารแทบไม่พอประทังความหิว อดอยากหนาวเหน็บ ฉันเลยไม่อยากแต่งงานมีลูกให้เป็นภาระ”
แม้ว่าน้ำเสียงของเซี่ยอวี่ฟังดูสบาย ๆ ราวกับกำลังเล่าถึงเรื่องปกติธรรมดา แต่ความเศร้าในดวงตาของหล่อนก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปิดบังได้
“ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของคุณก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ห่างไกลจากคำว่าอดอยากหรือหนาวเหน็บไปมากโข”
“แล้วความรับผิดชอบอย่างอื่นล่ะ? ถ้าไม่มีความพร้อมพอจะอบรมเลี้ยงดู ก็ลำบากไม่แพ้กัน”
“แต่คุณสามารถแต่งงานโดยไม่มีลูกก็ได้นี่”
“คุณเป็นห่วงฉันเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงฉันคงต้องแต่งกับพ่อม่าย ไม่งั้นคงยากที่จะเจอผู้ชายที่ไม่อยากมีลูก ซึ่งแน่นอนว่ามี แต่ฉันแค่ไม่สนใจเขา”
“ผม…”
“เอาน่า รีบกลับไปซะเถอะ ไว้ฉันค่อยนัดเลี้ยงอาหารคุณอีกวันเพื่อขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือแล้วดัน”
“ถ้าคุณอยากขอบคุณผมจริง ๆ ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องให้คุณช่วยหน่อย”
…………………………………………………………………………………………………………………………สารจากผู้แปล
ขอร้องว่าคุณมาเป็นสะใภ้บ้านผมเถอะหรือเปล่าคะหมอเย่
ไหหม่า(海馬)