ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 374 ความสัมพันธ์กลับมาดีอย่างรวดเร็ว
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 374 ความสัมพันธ์กลับมาดีอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 374 ความสัมพันธ์กลับมาดีอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 374 ความสัมพันธ์กลับมาดีอย่างรวดเร็ว
ถังจวิ้นเฟิงตกอยู่ในความสับสนตลอดทั้งคืน เขาไม่เคยคิดเลยว่าความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนทุกคนจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้หลังจากที่ไม่ได้เจอกันแค่สองสามวัน
ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องซุบซิบนินทาเหล่านั้น เขามีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องงานมากกว่า
หลังได้ยินเฉินเจียเหอพูดถึงเอ้อร์เลิ่งเมื่อสักครู่ เขาจึงถามเฉินเจียเหอเกี่ยวกับสถานการณ์ของเอ้อร์เลิ่ง
และบอกว่าพ่อและพี่ชายของเอ้อร์เลิ่งได้รับการปล่อยตัวแล้ว
แต่กระนั้นพวกเขาต้องสูญเสียเงินที่ใช้สำหรับซื้อตัวสะใภ้เข้าบ้านไปฟรี ๆ เนื่องจากยังไม่สามารถขยายผลจับกุมแกนนำขบวนการค้ามนุษย์ได้
ถังจวิ้นเฟิงบอกว่าเพื่อนร่วมงานของพวกเขาได้ช่วยเหลือเด็กสาวสามคนลงมาจากภูเขาด้วย พวกหล่อนถูกลักพาตัวไปและได้มาอยู่กลุ่มเดียวกับเด็กสาวที่ถูกขายให้กับตระกูลเอ้อร์เลิ่ง
ด้วยเบาะแสที่ได้รับจากเฉินเจียเหอ พวกเขาจึงตรวจค้นที่อยู่ของเหล่าหญิงสาวที่ถูกลักพาตัวจนเจอในระยะเวลาอันสั้น
“พวกหล่อนได้รับการช่วยเหลือครบแล้วใช่ไหม?”
ถังจวิ้นเฟิงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทุกคนได้รับการช่วยเหลือจนปลอดภัยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผู้หญิงคนอื่นก็ไม่ได้โชคดีเท่าไล่เสี่ยวอวิ๋น”
เด็กสาวสามคนที่ถูกลักพาตัวไปไว้บนภูเขาล้วนถูกชายที่ซื้อตัวพวกหล่อนไปขืนใจอย่างทารุณ และถูกบังคับให้หลับนอนด้วยอย่างไร้ทางเลือก
เด็กสาวคนหนึ่งถูกฝ่ายชายทุบตีจนมีรอยฟกช้ำทั่วร่างกายเพราะพยายามต่อต้าน ได้ยินเพื่อนร่วมงานเล่าว่าเมื่อพวกเขาไปถึง ผู้หญิงคนนั้นก็ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงจนสติเริ่มเลอะเลือน เป็นฉากที่ชวนหดหู่ที่สุดเลยก็ว่าได้
หลังจากได้ยินสิ่งที่ถังจวิ้นเฟิงพูด เซี่ยไห่ก็โกรธมากจนเอากำปั้นกระแทกโต๊ะ “สารเลว พวกมันไม่มีปัญญาหาเมียเป็นของตัวเองก็เพราะว่าไร้น้ำยา เลยใช้เงินซื้อแทน เป็นสิ่งที่ผู้เจริญแล้วรับไม่ได้จริง ๆ พวกค้ามนุษย์ที่ลักพาตัวผู้หญิงควรถูกประหารให้หมด”
หลังจากที่เซี่ยไห่สาปแช่งเสร็จ เขาก็รู้สึกโล่งอกมากที่ผู้หญิงน่าสงสารเหล่านั้นรอดชีวิตมาได้ เขายกนิ้วให้ถังจวิ้นเฟิง “จวิ้นเฟิง พวกนายทุกคนทำงานกันได้ยอดเยี่ยมมาก สังคมนี้มีความมั่นคง ผู้คนปลอดภัยก็เพราะได้รับการปกป้องจากพวกนาย”
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
ทันใดนั้นเพจเจอร์ของถังจวิ้นเฟิงก็ส่งเสียงดัง
ถังจวิ้นเฟิงหยิบมันออกมาดูมัน จากนั้นก็ยัดมันใส่กลับลงในกระเป๋าตามเดิม
เสียงแจ้งเตือนครั้งที่สองดังขึ้น ตามด้วยครั้งที่สาม…
เซี่ยไห่หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมายื่นให้เขา “ใครสักคนน่าจะกำลังตามหานายอยู่แน่ รีบโทรกลับไปหาเขาหน่อยเถอะ”
ถังจวิ้นเฟิงส่ายหัว “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ธุระสำคัญ”
การแสดงออกของถังจวิ้นเฟิงผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เฉินเจียเหอสามารถบอกได้ทันทีว่านี่อาจเป็นเรื่องส่วนตัว
ถ้าปลายสายที่ติดต่อมาเป็นเรื่องงาน เขาคงขอตัวออกไปติดต่อกลับตั้งแต่การแจ้งเตือนแรก
สิ่งแรกที่เฉินเจียเหอคิดคืออีกฝ่ายอาจเป็นเจ้าหนี้
พ่อของถังหลิงต้องโทษจำคุกคดีทุจริตและติดสินบนราชการ ผลพวงที่ตามมาคือพ่อของถังจวิ้นเฟิงก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน หลังจากหาเงินมาจ่ายค่าปรับแล้ว ตระกูลถังก็ต้องแบกรับหนี้มหาศาล
พ่อของถังจวิ้นเฟิงหาเงินมาชำระคืนไม่ได้ขาด
ต่อมา พ่อของเขาเริ่มสุขภาพไม่สู้ดี ทำให้หนี้ที่เหลือกลายเป็นความรับผิดชอบของถังจวิ้นเฟิง
เซี่ยไห่เปิดเครื่องเล่นคาราโอเกะ และนำทุกคนร้องเพลงอย่างสนุกสนาน
ในขณะที่ถังจวิ้นเฟิงกลับเอาแต่นั่งเหม่อลอย
พร้อมกันนั้น เฉินเจียเหอก็คอยเฝ้าสังเกตสีหน้าเหม่อลอยของอีกฝ่ายอยู่ตลอด
หลังจากเสียงแจ้งเตือนของเพจเจอร์ดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดถังจวิ้นเฟิงก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขายืนขึ้น จำใจทำลายความสนใจของทุกคน “ขอโทษด้วยนะพี่น้องทั้งหลาย ฉันยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ ขอตัวก่อน”
เซี่ยไห่ร้องเพลงยังไม่ทันจุใจ เขาวางไมโครโฟน แล้วบ่นกับถังจวิ้นเฟิงว่า “จวิ้นเฟิง เพิ่งเริ่มไม่ทันไรเลย ทำไมจู่ ๆ ถึงจะกลับซะแล้วล่ะ? นายนี่ทำให้หมดสนุกอยู่เรื่อย ถึงนายจะเป็นตำรวจก็เถอะ แต่นี่มันปาร์ตี้ส่วนตัวนะ ไม่มีการฝ่าฝืนกฎหมายหรือวินัยใด ๆ แต่นายชอบขอตัวกลางคันตลอด ถ้ายังทำแบบนี้ต่อไป เราจะยังนับเป็นสหายพี่น้องกันอยู่ไหม?”
ถังจวิ้นเฟิงขอโทษขอโพย “เหล่าเซี่ย ช่วงนี้งานฉันยุ่งมากจริง ๆ ไว้ครั้งต่อไปที่เรานัดรวมตัวกัน ฉันจะชดเชยให้พวกนายเป็นอย่างดี”
ถังจวิ้นเฟิงยืนกรานที่จะออกไป เซี่ยตงคิดว่าเขาอาจมีเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับเรื่องงานจึงพูดกับเซี่ยไห่ว่า “เหล่าเซี่ย ปล่อยให้จวิ้นเฟิงกลับไปเถอะ งานของเขาค่อนข้างพิเศษ ไม่ควรไปดึงรั้งเขาไว้”
ทันทีที่เซี่ยตงพูดแบบนั้น เซี่ยไห่ก็ไม่สามารถรั้งตัวเขาไว้ได้อีก
“พี่เซี่ย เหล่าเฉิน หมอเย่ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เฉินเจียเหอก็ยืนขึ้นเช่นกัน “เดี๋ยวฉันลงไปส่ง”
พอถังจวิ้นเฟิงได้ยินคำพูดของเฉินเจียเหอก็หัวเราะเบา ๆ “ทำไมถึงอยากตามไปส่งฉันล่ะ? ฉันเป็นผู้ชายตัวเบ้อเริ่ม จำเป็นต้องให้นายมาคอยคุ้มครองด้วยเหรอ?”
เฉินเจียเหอเดินตามเขาลงไปยังชั้นล่าง
บรรยากาศภายในห้องเต้นรำเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและสนุกสนาน คนวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งกำลังเต้นรำจังหวะดิสโก้ เสียงดนตรีช่างชวนให้โยกย้ายส่ายสะโพกเหลือเกิน
เฉินเจียเหอและถังจวิ้นเฟิงเดินออกไปทางประตูด้านหลัง
เมื่อมาถึงริมถนน เฉินเจียเหอหยุดถังจวิ้นเฟิงและถามว่า “นายกำลังปิดบังอะไรบางอย่างจากพวกเราหรือเปล่า?”
ดวงตาของถังจวิ้นเฟิงกะพริบเล็กน้อย “เปล่านี่”
เฉินเจียเหอพูดย้ำ “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น นายเล่าให้พวกเราฟังได้นะ เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน มีเรื่องไม่สบายใจก็ไม่ควรปิดบัง”
ถังจวิ้นเฟิงยิ้มและตอบกลับ “ไม่มีอะไรจริง ๆ? คนอย่างฉันจะมีเรื่องกลุ้มใจอะไรได้? รีบกลับเข้าไปเถอะ ฉันจะไปแล้ว”
ถังจวิ้นเฟิงขี่จักรยานมา เขาคว้าจักรยานสภาพทรุดโทรมที่พิงกำแพงไว้แล้วขึ้นควบขี่ออกไป เฉินเจียเหอไม่หันหลังกลับจนกว่าจะเห็นว่าร่างของเขาหายไปจากหัวมุมถนนที่มีโคมไฟ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนชั้นสองผ่านประตูหลังร้านเหมือนเดิม
เนื่องจากเซี่ยตงและเซี่ยไห่ยุติความขัดแย้งระหว่างพวกเขาแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงกลับมาดีอย่างรวดเร็ว และตอนนี้ก็มาถึงจุดที่ต่างฝ่ายต่างสนิทสนมกลมเกลียว
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยตงได้เห็นวัฒนธรรมการร้องคาราโอเกะแบบนี้ ตอนแรกเขาเคอะเขินกับมันอยู่บ้าง แต่พอเซี่ยไห่เป็นผู้นำ เขาก็กลายเป็นผู้ตามที่เรียนรู้ได้ว่องไว
แต่ละคนหยิบไมโครโฟนขึ้นมาจ่อปาก เปล่งเสียงครวญเพลง ‘ปีแห่งความรุ่งโรจน์’ จนสุดปอด
เย่ไป๋นั่งอยู่ข้าง ๆ ดื่มเบียร์ไปพลาง ๆ อย่างใจเย็น
ปากของเฉินเจียเหอกระตุกเล็กน้อย ขณะที่เขามองดูชายวัยกลางคนทั้งสองกำลังร้องเพลงปล่อยใจ
อย่างไรก็ตาม การร้องคาราโอเกะที่ว่านี้ก็น่าสนุกจริง ๆ นั่นแหละ
หลังจากทั้งสองร้องเพลงเสร็จแล้ว เซี่ยไห่ก็ขอให้เซี่ยตงช่วยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์ใหม่เมื่อสักครู่
“ดีมากเลย หน้าจอทีวีมีเนื้อเพลงขึ้นให้ ไม่ต้องกลัวลืมเนื้อร้อง แถมยังช่วยให้เราควบคุมจังหวะการร้องตามตัวอักษรได้ด้วยสำหรับใครที่ร้องเพลงนั้น ๆ ไม่เป็น ฉันว่ามันเข้าท่ามาก ถ้าเปิดเป็นธุรกิจจริงจัง รายได้จะต้องเฟื่องฟูแน่”
เซี่ยไห่มีความสุขมากที่แม้แต่ผู้บังคับบัญชาเจ้าระเบียบก็ให้คะแนนสูงลิ่วแบบนี้
เขายกย่องเซี่ยตงสำหรับวิสัยทัศน์ของอีกฝ่าย
เซี่ยไห่คะยั้นคะยอให้เฉินเจียเหอและเย่ไป๋ร้องเพลงเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่นี้ด้วย เพราะอยากฟังความคิดเห็นของพวกเขาหลังจากนั้น
เย่ไป๋โบกมือท่าเดียวและอ้างว่าเขาร้องเพลงไม่เป็น
“แล้วนายจะคบกับราชินีแห่งภาพยนตร์ได้ยังไงถ้านายไม่ยอมหัดร้องเพลง? หล่อนมาจากวงการบันเทิง ตลอดชีวิตคลุกคลีกับพวกนักร้องและนักแสดงมานับไม่ถ้วน นายไม่คิดจะแสวงหาอารมณ์สุนทรีย์บ้างหรือ?”
ทันทีที่เซี่ยตงพูดคำเหล่านี้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเย่ไป๋ก็ออกอาการเขินอาย จากนั้นก็ทำได้เพียงหยิบไมโครโฟนขึ้นมา และร้องเพลงเก่า ๆ ที่เขารู้จัก
“นายร้องเพลงได้ดีมาก”
เฉินเจียเหอตั้งใจว่าจะไม่ร้องเพลง หลังจากที่พวกเขาร้องจนเสียงแหบ เซี่ยตงและเย่ไป๋ก็ขอตัวจากไป เขาถึงหาจังหวะพูดกับเซี่ยไห่ได้ “จวิ้นเฟิงอาจกำลังเผชิญกับความลำบากใจบางอย่าง”
“เรื่องอะไรล่ะ?” เซี่ยไห่ถามอย่างสงสัย
เฉินเจียเหอส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หนี้ที่ตระกูลของเขาต้องแบกรับยังชำระไม่หมด ฉันเดาว่าเมื่อกี้คนที่ติดต่อเขาอาจจะเป็นเจ้าหนี้ละมั้ง?”
“ตามทวงหนี้งั้นเหรอ?”
“อืม”
เซี่ยไห่บอกว่า “เมื่อปีที่แล้วฉันเคยถามเรื่องนี้กับเขาตรงๆ เขาบอกว่ายอดคงค้างเหลือไม่มากแล้ว และพ่อของเขาก็ยังพอมีกำลังหามาจ่ายไหว เขาเลยยังไม่ต้องการความช่วยเหลือ”
ตอนที่เพจเจอร์ของถังจวิ้นเฟิงส่งเสียงแจ้งเตือนดังติดต่อกันเมื่อกี้นี้ เฉินเจียเหอคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นเจ้าหนี้ไม่ผิดแน่ เขารู้สึกว่าถังจวิ้นเฟิงซึ่งมีความนับถือตนเองสูง คงไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับสหายพี่น้องของเขา
ด้วยนิสัยของถังจวิ้นเฟิง เขาเป็นคนที่ไม่เคยรบกวนเพื่อน ๆ เลยเมื่อตัวเองประสบปัญหา
เฉินเจียเหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่เซี่ยไห่แล้วถามว่า “นายพอมีเงินสำรองเหลืออยู่ไหม? เราเอาเงินที่มีอยู่มารวมกัน แล้วไปสอบถามสถานการณ์ที่บ้านของเขาดู ถ้ามีใครมาตามทวงหนี้จริง ๆ ก็ค่อยเอาเงินจำนวนนี้ชดใช้คืนให้”
เซี่ยไห่เห็นด้วย “เอาสิ”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปที่บ้านของเขากันก่อน เผื่อจะได้คำตอบจากใครสักคนในบ้าน”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “ได้ ไว้ฉันจะหาเวลาแวะไปเยี่ยมบ้านเขาในวันพรุ่งนี้”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บ้านถังแย่แล้ว ครอบครัวหล่อนนี่มันตัวสร้างหนี้จริงนะยัยถังหลิง เดือดร้อนครอบครัวจวิ้นเฟิงต้องมาใช้หนี้แทน
ไหหม่า(海馬)