ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 338 พาเอ้อร์เลิ่งไปบำบัดรักษา
ตอนที่ 338 พาเอ้อร์เลิ่งไปบำบัดรักษา
ตอนที่ 338 พาเอ้อร์เลิ่งไปบำบัดรักษา
แม้ว่าไล่เสี่ยวอวิ๋นจะหวาดกลัวและเต็มไปด้วยความระแวดระวัง แต่เมื่อถึงเวลาสอบปากคำ หล่อนกลับพูดตรงประเด็นเป็นอย่างมาก
ตำรวจ “พวกเขาล่วงละเมิดคุณหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ”
ไล่เสี่ยวอวิ๋นกล่าว “พวกเขาไม่ได้ทุบตีฉัน แต่จำกัดอิสระเสรีภาพการใช้ชีวิตของฉัน กักขังฉันไว้ภายในบ้านไม่ให้ออกไปด้านนอก”
ตำรวจ “พวกเขาให้คุณกินอาหารหรือเปล่า?”
ไล่เสี่ยวอวิ๋น “ให้กินอยู่ค่ะ แต่ฉันไม่ได้กิน”
แม่ของคนโง่เขลานั้นกลัวว่าหล่อนจะไม่คุ้นชินกับอาหารจืดชืดของพวกเขา ดังนั้นจึงตั้งใจปรุงอาหารทั้งเนื้อและผักที่พวกเขาไม่เต็มใจจะกินมาให้กับหล่อน
หล่อนไม่กล้ากินเพราะกลัวถูกวางยา
แน่นอนว่าการอดอาหารก็คือการแสดงออกทางอุดมการณ์อย่างหนึ่ง
ตำรวจเอ่ยถาม “บาดแผลตรงมือของคุณเกิดจากอะไร? เป็นเพราะถูกบีบบังคับข่มขืนกระทำชำเราหรือเปล่า?”
“แผลบนมือฉันเกิดจากฉันถือกรรไกรไม่ระวังแล้วโดนบาดเอง เอ้อร์เลิ่งคนนั้นไม่เคยรังแกฉันเลย เขานำอาหารดีๆ มาให้ฉันอยู่เสมอ เขาเป็นคนดีค่ะ”
ไล่เสี่ยวอวิ๋นรู้ว่าที่หล่อนรอดออกมาได้ก็เพราะคนโง่เขลาคนนั้นวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนพ้องของเขา และเพื่อนของเขาก็นำตำรวจมา
แม้ว่าตนเกือบจะกลายเป็นภรรยาของคนโง่เขลาคนนั้นและชีวิตเกือบถูกทำลายก็ตาม
แต่ก็เพราะว่าถูกขายให้กับเอ้อร์เลิ่งคนโง่ผู้นี้ หล่อนถึงสามารถรอดออกมาได้
เอ้อร์เลิ่งเป็นคนดี เพื่อนของเขาก็เป็นคนซื่อสัตย์และยุติธรรม
หล่อนไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถ้าตนถูกขายให้กับตาเฒ่าตัณหากลับ ตอนนี้สถานการณ์ของตนจะน่าสังเวชมากเพียงใด
หลังจากทำการบันทึกเสียงเสร็จ ถังจวิ้นเฟิงก็ออกมาจากห้องสอบสวน เฉินเจียเหอยังคงรออยู่ด้านนอก
“พ่อของเอ้อร์เลิ่งและต้าจู้จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายหรือเปล่า?” เฉินเจียเหอเอ่ยถามเขา
“ตามบทบัญญัติกฎหมายอาญา รับซื้อหญิงสาวที่ถูกลักพาตัวโดยไม่มีการล่วงละเมิดและไม่ขัดขวางการเข้าช่วยเหลือ อาจจะได้รับโทษสถานเบา”
น้ำเสียงของถังจวิ้นเฟิงจริงจัง “ตามคำให้การของเหยื่อ ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้ล่วงละเมิดหล่อน แต่พฤติกรรมของพวกเขาในวันนี้ค่อนข้างรุนแรง ปัญหาหลักจะจัดการอย่างไรนั้นก็ต้องดูหลักฐานข้อมูลที่ส่งมาในภายหลังว่าจะพิจารณาอย่างไรได้บ้าง”
จากเบาะแสของไล่เสี่ยวอวิ๋น ทางตำรวจก็ได้ติดตามเบาะแสและพบตำแหน่งของหญิงสาวอีกสองสามคนที่ถูกขาย พวกเขาจำเป็นต้องขึ้นไปบนภูเขาใหญ่เพื่อช่วยเหลือพวกหล่อน
ถังจวิ้นเฟิงและเพื่อนร่วมงานของเขาต้องการคนคุ้มกันผู้หนึ่งพาไล่เสี่ยวอวิ๋นกลับไปส่งยังเมืองไห่เฉิง
ไล่เสี่ยวอวิ๋นจับแขนของถังจวิ้นเฟิงไว้ไม่ยอมปล่อย นอกจากเขาแล้ว หล่อนจะไม่ยอมไปกับใครทั้งนั้น
หน้าที่คุ้มกันหล่อนจึงตกอยู่กับถังจวิ้นเฟิง
พ่อของเอ้อร์เลิ่งถูกควบคุมตัวและขอพบเฉินเจียเหอ
ชายชราสวมกุญแจมือ เพียงแค่หนึ่งคืน เขาก็ดูแก่ตัวลงไม่น้อย ขณะนี้ดวงตาคู่นั้นหม่นหมอง ย่างก้าวหนักแน่นและถูกตำรวจพาตัวเข้ามาและนั่งลง
เฉินเจียเหอมองชายชราที่เฝ้ามองเขาเติบโตขึ้น เขาละสายตาออกไปด้วยความรู้สึกอึดอัดภายในหัวใจ
พ่อของเอ้อร์เลิ่งนั่งลงพลางจ้องมองเฉินเจียเหอที่กำลังมองไปทางอื่นและเอ่ย “เจียเหอ คำพูดที่เธอกล่าวไว้ยังเป็นไปได้อยู่หรือเปล่า?”
เฉินเจียเหอสบสายตากับชายชรา มือที่อยู่ข้างกายพลันสั่นเทาเล็กน้อย
“เรื่องพาเอ้อร์เลิ่งเข้าไปรับการรักษาในเมืองน่ะ”
เฉินเจียเหอตอบรับด้วยเสียงจริงจัง “ลุงครับ ผมพูดคำไหนคำนั้นครับ”
คำพูดของเฉินเจียเหอทำให้พ่อของเอ้อร์เลิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อเธอไปแล้วก็พาเขาไปด้วยนะ”
“ครับ”
เขามองพ่อของเอ้อร์เลิ่งและไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายเกินไปแล้ว
หากเขาไม่กลับมาพร้อมกับถังจวิ้นเฟิงและสามารถกลับมาทำงานเชิงอุดมการณ์ได้เร็วกว่านี้ บางทีเหตุการณ์ก็คงไม่บานปลายมากขนาดนี้
“ลุงครับ ขอโทษนะครับ”
พ่อของเอ้อร์เลิ่งส่ายศีรษะด้วยสีหน้าโศกเศร้า “เธอไม่ต้องขอโทษหรอก เป็นเวรกรรมของพวกฉัน เป็นเวรกรรมของพวกฉันเอง
ฉันรู้ว่าการทำแบบนี้มันโหดเหี้ยมทารุณ แต่เพื่อลูกชายที่โง่เขลาของฉัน ฉันไม่มีทางเลือกอื่น หากพวกเราตายไปแล้ว เอ้อร์เลิ่งจะเป็นอย่างไร? ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นความภาคภูมิใจของพวกเรา เธอยังจำได้หรือเปล่า ตอนนั้นเขาสอบได้อันดับหนึ่งของห้องเรียนเสมอ ดังนั้นทุกคนต่างก็คาดหวังกับเขาไว้มาก…….”
พ่อของเอ้อร์เลิ่งถูกควบคุมตัวและร้องไห้อย่างหนักหน่วง เฉินเจียเหอไม่รู้ว่าควรปลอบโยนเขาอย่างไร สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้นั่นก็คือตอบรับว่าจะพาเอ้อร์เลิ่งเข้าไปในเมืองและทำการบำบัดรักษาให้เขา
เฉินเจียเหอเข้าพบพ่อของเอ้อร์เลิ่งเสร็จแล้วก็กลับมายังหมู่บ้าน
เมื่อเข้ามาภายในหมู่บ้าน ผู้คนภายในหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไปนั้นก็ชี้นิ้วมาทางเขาและเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาต่างก็หลบเลี่ยง
เฉินเจียเหอทักทายผู้คนตามปกติ แต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบกลับพร้อมกับผู้คนที่หลบสายตาของเขาอย่างเย็นชา
เมื่อเขาเดินออกไปไกล ด้านหลังพลันเกิดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นอีกครั้ง
“เอ้อร์เลิ่ง ฉันจะพานายไปเมืองไห่เฉิง นายจะยอมไปไหม?”
“ไปหาเสี่ยวเจินที่เมืองไห่เฉิงเหรอ?” เอ้อร์เลิ่งจ้องมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายพลางเอ่ยถาม
เฉินเจียเหอได้ยินชื่อนี้ สีหน้าพลันแข็งทื่อเล็กน้อย “อย่าเอ่ยถึงเสี่ยวเจินอีก”
แม้กล่าวว่าทุกคนต่างก็มีสิทธิ์เลือก แต่ปีนั้นเสี่ยวเจินได้เลือกทำลายชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่ง
“ฉันจะพานายไปหาหู่จือ”
เอ้อร์เลิ่งเอ่ยถามด้วยท่าทางตื่นเต้น “เช่นนั้นก็จะได้เจอภรรยาแสนสวยของนายด้วยใช่ไหม?”
“ใช่ นายจะยอมไปไหม?”
“ยอมสิ ฉันอยากให้ภรรยาคนสวยของนายตัดผมให้ฉัน”
สำหรับพ่อของเอ้อร์เลิ่งและต้าจู้ ถังจวิ้นเฟิงกล่าวว่าตราบใดที่พวกเขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ให้เบาะแสของขบวนการค้ามนุษย์และคอยช่วยเหลือตำรวจสืบสวนคดี มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะไม่ถูกจำคุก
ระหว่างถูกควบคุมตัวและได้รับการอบรมสั่งสอนก็อาจจะถูกย้ายไปยังชั้นเรียนแรงงาน
ผู้เฒ่าโจวหวังว่าเฉินเจียเหอจะสามารถใช้เส้นสายช่วยเหลือและประกันตัวพ่อของเอ้อร์เลิ่งและต้าจู้ออกมาได้
แต่เมื่อเฉินเจียเหอได้ยินว่าพวกเขาจะไม่ถูกจำคุก เขาก็ปฏิเสธคำขอของคุณตา
พ่อของเอ้อร์เลิ่งอายุมากแล้ว แต่ต้าจู้เพิ่งจะสามสิบปี เส้นทางชีวิตของเขายังอีกยาวไกล หากไม่ได้บทเรียนบ้าง อนาคตมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะทำผิดอีก เมื่อตำรวจมาถึงประตูหน้าบ้านเขาพลันเกรี้ยวกราดและไม่เคารพเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ครั้งนี้จะต้องทำให้เขาได้รับบทเรียนบ้าง
ให้เขาศึกษากฎหมายอยู่ภายในนั้นและเรียนรู้ว่าการเป็นชาวบ้านที่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นเป็นอย่างไร
อย่าคิดว่าใช้ชีวิตอยู่ภายในชนบทห่างไกลเจ้าหน้ารัฐแล้วจะทำชั่วอย่างเปิดเผยได้
เฉินเจียเหอตอบรับพ่อของเอ้อร์เลิ่งแล้ว เขารักษาคำพูดและพาเอ้อร์เลิ่งกลับไปยังเมืองไห่เฉิง
ถังจวิ้นเฟิงเองก็คอยคุ้มกันไล่เสี่ยวอวิ๋นที่ได้รับการช่วยเหลือกลับไปส่งยังเมืองไห่เฉิงเช่นกัน
จากอำเภอของพวกเขาไปยังเมืองไห่เฉิง มีเพียงรถไฟเขียวขบวนเดียวในตอนเช้า
พวกเขานั่งอยู่บนรถไฟขบวนเดียวกัน
เมื่อเอ้อร์เลิ่งเห็นว่าไล่เสี่ยวอวิ๋นอยู่บนรถไฟ เขาตื่นเต้นมากและหยิบอาหารที่คุณยายโจวเตรียมไว้ให้เฉินเจียเหอออกมาทั้งหมด ก่อนโน้มตัวเข้ามาและยัดใส่ในมือของหล่อนเหมือนกับตอนอยู่ที่บ้าน
“เสี่ยวอวิ๋น รีบกินนะ อันนี้อร่อยมาก”
ไล่เสี่ยวอวิ๋นต่อต้านการเข้าใกล้ของเอ้อร์เลิ่งเป็นอย่างมาก หล่อนหดตัวเข้าใกล้ไหล่ของถังจวิ้นเฟิงโดยไม่เงยหน้าขึ้น
หล่อนคาดไม่ถึงว่าตนเองที่ถูกช่วยกลับเมืองไห่เฉิงแล้วยังต้องเจอคนโง่เขลาคนนี้อีก
แม้ว่าเอ้อร์เลิ่งจะไม่ได้ทำร้ายหล่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าหล่อนยินดีจะพบเจอเขา
เอ้อร์เลิ่งคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าหล่อนเป็นเหมือนเครื่องเตือนถึงความฝันอันเลวร้ายตลอดระยะเวลาครึ่งเดือนนั้นภายในชีวิตของหล่อน
เครื่องเตือนว่าหล่อนเคยถูกค้ามนุษย์
หล่อนเพิ่งเรียนจบคณะครุศาสตร์และกำลังจะเป็นอาจารย์สอนผู้อื่น ถ้ามีคนรู้ว่าหล่อนถูกลักพาตัวมาขายยังต่างเมือง อีกทั้งยังเคยเป็น“ภรรยา”ของคนโง่เขลา คนอื่นจะมองหล่อนอย่างไร?
อนาคตหล่อนจะแต่งงานกับคนอื่นได้อย่างไร?
ถังจวิ้นเฟิงสังเกตเห็นว่าใบหน้าของไล่เสี่ยวอวิ๋นซีดเซียวและซุกตัวอยู่ด้านข้างเขาเพื่อหลบเอ้อร์เลิ่ง “ฉันจะพาหล่อนไปนั่งตู้อื่น”
ถังจวิ้นเฟิงลุกขึ้นยืนพร้อมกับไล่เสี่ยวอวิ๋น ไล่เสี่ยวอวิ๋นจับแขนของถังจวิ้นเฟิงไว้แน่นและเดินไปยังตู้รถอื่นพร้อมกับเขา
เมื่อเอ้อร์เลิ่งเห็นว่าไล่เสี่ยวอวิ๋นกำลังจะเดินไป เขารีบไล่ตามอย่างกระตือรือร้น “เสี่ยวอวิ๋น เธอยังไม่ได้กินเลยนะ เธอไม่ได้กินอะไรหลายวันแล้ว รีบกินสักคำเถอะ”
เฉินเจียเหอมองเอ้อร์เลิ่งและรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยห้ามเขา “เลิกตะโกนได้แล้ว หล่อนไม่กิน”
เฉินเจียเหอดึงเอ้อร์เลิ่งให้นั่งลงบนตำแหน่งที่นั่งและเอ่ยเตือนเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก “เมื่อถึงเมืองไห่เฉิงแล้วนายห้ามบอกใครว่ารู้จักผู้หญิงคนนั้น เข้าใจไหม?”
“ทำไมล่ะ?” เอ้อร์เลิ่งจ้องมองเฉินเจียเหอด้วยสายตาโง่เขลาและบริสุทธิ์
เฉินเจียเหอกล่าว “ถ้านายบอกว่ารู้จักหล่อน เสี่ยวเจินของนายจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
เอ้อร์เลิ่งได้ยินเช่นนั้นก็พลันตื่นตระหนกมากและรีบปิดปาก
“ฉันไม่รู้จักเสี่ยวอวิ๋น ฉันไม่รู้จักหล่อน”
………
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หมดเคราะห์กันแล้วนะทั้งสองคน ขอให้กลับมามีชีวิตที่ดีกันทั้งเสี่ยวอวิ๋นทั้งเอ้อร์เลิ่งเลยนะ
ไหหม่า(海馬)