ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 332 ตั้งชื่อร้านว่าชามข้าวเหล็ก
ตอนที่ 332 ตั้งชื่อร้านว่าชามข้าวเหล็ก
ตอนที่ 332 ตั้งชื่อร้านว่าชามข้าวเหล็ก
หลินเซี่ยเดินตามเจียงกั๋วเซิ่งไปที่ริมถนน จากนั้นก็ถามเขาว่า “ลุงเจียง คุณอยากคุยกับฉันเรื่องอะไรเหรอคะ?”
เจียงกั๋วเซิ่งกล่าว “หลิวจื้อหมิงถูกเสิ่นเถี่ยจวินประกันตัวออกมาแล้ว แต่ทางโรงงานไม่อนุญาตให้เขากลับมาทำงานต่อ”
เมื่อได้ยินชื่อของหลิวจื้อหมิง ใบหน้าของหลินเซี่ยก็แข็งค้าง “ออกมาแล้วเหรอคะ?”
“อืม ตำรวจพิจารณาให้ประกันตัวได้”
เจียงกั๋วเซิ่งอธิบาย “เจ้าพนักงานสอบสวนลงความเห็นว่าความผิดฐานสนับสนุนไม่ถือเป็นโทษร้ายแรง หลิวจื้อหมิงถอนคำรับสารภาพ และปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขาสนับสนุนคนอื่นในตอนหลัง บอกแค่ว่าเจ้าพนักงานของเขาเข้าใจความหมายของเขาผิดเอง ก็เลยพ้นจากการถูกตัดสินจำคุก”
ข้อมูลที่เจียงกั๋วเซิ่งให้มาล้วนอยู่ในความคาดหมายของหลินเซี่ยอย่างสมบูรณ์
ด้วยไหวพริบของหลิวจื้อหมิง ประกอบกับวิธีการอันแยบยลของเสิ่นเถี่ยจวิน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลิวจื้อหมิงจะติดคุกง่าย ๆ
นอกจากนี้ ชีวิตของหญิงชราก็ไม่ตกอยู่ในอันตราย ขณะนี้อาการของนางหายดีและออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
“งานของเสิ่นเถี่ยจวินมีช่องโหว่บางอย่างจริง ๆ ตอนนี้โรงงานกำลังตรวจสอบสถานการณ์”
เจียงกั๋วเซิ่งมองไปที่หลินเซี่ยและพูดอย่างจริงใจ “เซี่ยเซี่ย ขอบคุณมากที่ให้เบาะแสพวกนี้กับฉัน ถ้าเราค้นพบว่าเสิ่นเถี่ยจวินละเมิดกฎระเบียบจริง ตำแหน่งของเขาในฐานะผู้อำนวยการโรงงานก็จะไม่โปร่งใสอีกต่อไปแล้ว ถึงเวลานั้นเธอคงไม่ตำหนิฉันใช่ไหม?”
“ลุงเจียง ทั้งคุณกับฉันต่างก็รู้ดีว่าเสิ่นเถี่ยจวินเป็นคนแบบไหน ฉันไม่ได้วางแผนแก้แค้นเขาด้วยการให้เบาะแสคุณ ฉันแค่ไม่อยากเห็นเขายักยอกทรัพย์สินของสาธารณะและใส่ร้ายคนดี”
ชาติก่อน เจียงกั๋วเซิ่งต้องกลายเป็นแพะรับบาป ถูกไล่ออกจากงาน และเกือบติดคุก
ส่วนเสิ่นเถี่ยจวิน หลิวจื้อหมิง เสิ่นเสี่ยวเหมย และคนอื่น ๆ ลักลอบยักยอกทรัพย์สินสาธารณะ และใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่
เธอไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก
เสิ่นเถี่ยจวินสร้างเรื่องให้ผู้คนเดือดร้อนมามากพอแล้ว เธอไม่สามารถปล่อยให้เขารวมหัวกับพรรคพวกใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ได้
เจียงกั๋วเซิ่งมองหลินเซี่ยด้วยความชื่นชมในสายตา “เธอช่างเป็นเด็กดี ยึดมั่นในความยุติธรรมจริงๆ”
“จริงสิ เซี่ยเซี่ย ช่วงนี้อวี่เฟยแวะเวียนมาหาเธอบ้างเมื่อหรือเปล่า? ฉันมักจะรู้สึกว่าหล่อนกำลังทำตัวลึกลับเหมือนซ่อนบางอย่างจากฉันเลย”
เมื่อเอ่ยถึงเจียงอวี่เฟย หลินเซี่ยก็รู้สึกผิดและไม่กล้ามองเจียงกั๋วเซิ่ง ได้แต่บอกปัดไปว่า “หล่อนคงยุ่งอยู่กับการเรียนละมั้งคะ คุณเป็นคนที่สนิทที่สุดของหล่อนแล้ว หล่อนคงไม่ปิดบังอะไรจากคุณแน่”
โดยเฉพาะพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ตรงกับวันที่จะมีการถ่ายทอดสดการประกวดนางแบบอีกครั้ง
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด เจียงกั๋วเซิ่งก็ยิ้มออกและพยักหน้า
“นั่นก็จริง เราสองพ่อลูกพึ่งพาอาศัยกันมานานหลายปี ฉันเลี้ยงดูหล่อนไม่เคยขาดตกบกพร่อง พวกเราคุยกันทุกเรื่อง หล่อนคงไม่ปิดบังอะไรจากฉันแน่”
หลินเซี่ยเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว
“ลุงเจียง คุณกับพี่สาวหวังเหมือนจะเข้ากันได้ดีใช่ไหมคะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว ใบหน้าชราตามวัยของเจียงกั๋วเซิ่งก็เผยสีหน้าไม่สบายใจ “เรายังอยู่ในช่วงทำความรู้จักกันอยู่เลย ทันทีที่ฉันเลิกงาน อวี่เฟยก็เอาแต่บอกให้ฉันออกไป แล้วเริ่มปลูกฝังความสัมพันธ์กับหวังซิ่วฟาง”
“หวังซิ่วฟางก็ไม่เลวเลยนะคะ พวกคุณควรตั้งใจพัฒนาความสัมพันธ์กันให้ดี พวกเรารอไปร่วมงานเลี้ยงแต่งงานของพวกคุณอยู่ค่ะ”
เจียงกั๋วเซิ่งไม่อยากถูกคนรุ่นลูกเชียร์ให้แต่งงาน ดังนั้นเขาจึงหาข้อแก้ตัวที่จะจากไป
เมื่อหลินเซี่ยมาถึงลานกว้างหน้าอาคาร หวังซิ่วฟางกำลังยืนรออยู่ตรงทางเข้าอาคาร
เมื่อเห็นหลินเซี่ยกลับมา หล่อนก็รีบเข้ามาหา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามอย่างไม่แน่ใจ “เสี่ยวหลิน เธอออกไปคุยเรื่องอะไรกับเหล่าเจียงมาเหรอ?”
หลินเซี่ยมองดูท่าทางกังวลและอยากรู้อยากเห็นของหวังซิ่วฟาง จากนั้นก็ยิ้ม “เรามีเรื่องงานต้องคุยกันนิดหน่อยค่ะ”
“เรื่องงาน?”
หวังซิ่วฟางไม่เข้าใจเลย หลินเซี่ยเป็นช่างทำผม ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้านอาชีพกับรองผู้อำนวยการโรงงานเครื่องจักรเสียหน่อย
หลินเซี่ยหรือจะไม่เข้าใจความกังวลของหวังซิ่วฟาง
ต้องเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เจียงกั๋วเซิ่งตามติดแม่ของเธอก่อนหน้านี้ ทำให้หวังซิ่วฟางยังคงกังวลไม่หาย
หล่อนอาจกลัวว่าขนมปังหอมๆ อย่างเจียงกั๋วเซิ่งจะถูกพรากไปอีกครั้ง
หลินเซี่ยบอกว่า “ไม่ต้องกังวลค่ะ เราไม่ได้พูดเรื่องส่วนตัวกันอยู่แล้ว ฉันแค่เห็นว่าพวกคุณดูเข้ากันได้ดีมาก แถมยังพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกันด้วย”
หวังซิ่วฟางยิ้มอย่างเอียงอาย “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก เหล่าเจียงเป็นคนมีอารมณ์ขันและบุคลิกดี เสี่ยวฮวาไม่กลัวเขาเลย แถมเขาก็อดทนกับลูกสาวฉันมาก ฉันคิดว่าบางทีพวกเราอาจจะไปได้ดี”
หลินเซี่ยตบไหล่ของหล่อนพร้อมให้กำลังใจ “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็สานความสัมพันธ์ต่อไปให้ดีเถอะค่ะ พยายามทำให้ทุกอย่างลงตัวโดยเร็วที่สุด”
“ฉันเป็นผู้หญิง จะเร่งรัดเรื่องพรรค์นี้มากไม่ได้หรอก ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็นเถอะ”
“อืม ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปดีกว่า” หลินเซี่ยพูดต่อ “หู่จืออยู่ในบ้านคนเดียว ฉันขอกลับบ้านก่อนนะคะ”
เฉินเจียเหอไม่อยู่ตอนกลางคืน หลินเซี่ยนอนอยู่บนเตียงเพียงคนเดียว เธอจึงรู้สึกไม่ชินนิดหน่อย พร้อมกันนั้นคิดก็กังวลเกี่ยวกับ ‘ภรรยา’ ของเอ้อร์เลิ่งมากด้วย ทำให้พลิกตัวไปมา ข่มตานอนไม่หลับจนถึงเที่ยงคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น ไม่นานหลังจากที่เธอมาถึงร้านตัดผม เซี่ยไห่และเซี่ยเหลยก็มาถึงเช่นเดียวกัน
เธอเหลือบมองนาฬิกา เห็นว่าตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงเท่านั้น
หลินเซี่ยไม่คาดคิดว่าเซี่ยเหลยจะกระตือรือร้นขนาดนี้
มาถึงที่นี่เร็วกว่าเวลานัดพอสมควร
เซี่ยไห่เดินเข้าไปในร้านตัดผมอย่างเร่งรีบ ถามหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย พี่อิงจื่อล่ะ?”
“ยังไม่ออกมาเลยค่ะ”
เซี่ยไห่หันไปพูดกับเซี่ยเหลยซึ่งรออยู่ที่หน้าประตูร้านตัดผมว่า “พี่ใหญ่ หรือพวกเราควรไปคุยธุรกิจกันที่บ้านของพี่อิงจื่อดี?”
“ไม่ดีกว่า คุยกันที่ร้านนี่แหละ”
ดังนั้น หลินเซี่ยจึงต้องขอให้หลินเยี่ยนกลับไปที่บ้านเพื่อเรียกหลิวกุ้ยอิง
หลิวกุ้ยอิงได้เจอหน้าเซี่ยเหลยเป็นครั้งที่สอง แม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่อารมณ์ก็ยังไม่สงบอยู่ดี
สายตาของหล่อนเลี่ยงที่จะมองเขาอยู่เสมอ
“แม่ อย่ากังวลไปเลย ทำตัวให้เป็นธรรมชาติเข้าไว้ พวกคุณสองคนแค่มาคุยกันเรื่องร่วมหุ้นเปิดร้าน ไม่ได้คุยเรื่องเกี่ยวกับความรักซะหน่อย”
คำพูดของหลินเซี่ยทำให้หลิวกุ้ยอิงรู้สึกเขินอาย
“เด็กน้อยอย่างลูกจะไปเข้าใจอะไร”
เซี่ยไห่คว้าเก้าอี้สองตัวเข้าไปในร้านที่ว่างเปล่าอย่างมีน้ำใจ บอกว่าพวกเขาจะได้นั่งคุยกันอย่างสบาย ๆ แทนที่จะยืนจนปวดขา
เพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากใจและความเงียบงัน กลัวว่าทั้งสองจะตัดบทสนทนากันไปดื้อ ๆ ดังนั้นเซี่ยไห่และหลินเซี่ยจึงอยู่เป็นเพื่อนพวกเขาในการพูดคุยกันครั้งแรก
เซี่ยเหลยถามหลิวกุ้ยอิงว่า “คุณถนัดทำอาหารประเภทไหนเหรอ?”
หลิวกุ้ยอิงตอบกลับ “ฉันทำบะหมี่ เหลียงผี เหลียงเฝิ่น และอย่างอื่นอีกนิดหน่อยค่ะ”
“ฉันฝึกทำกับข้าวอย่างอื่นได้นะคะ”
เซี่ยเหลยถามเธออีกครั้ง “งั้นถ้าพวกเราจะเปิดร้านอาหารประเภทผัดต่าง ๆ คุณอยากเรียนเพิ่มไหม?”
“เอาสิคะ” หลิวกุ้ยอิงพยักหน้า “ฉันยินดีเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ”
เซี่ยไห่ที่อยู่ข้าง ๆ ให้คำแนะนำว่า “ผมคิดว่า พวกคุณควรเริ่มจากการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ทำบะหมี่ กับข้าว และอื่น ๆ แค่ไม่กี่อย่างก่อน พี่อิงจื่อรับผิดชอบทำบะหมี่ไป ส่วนพี่ชายก็รับผิดชอบทำอาหารผัด”
หลินเซี่ยพูดเสริมว่า “เสริมด้วยเสี่ยวเฉ่า(1)อีกนิดหน่อยก็ได้นะคะ”
“ใช่ เสี่ยวเฉ่าก็น่าสนใจ แต่อาหารจานหลักจะต้องมีราคาไม่แพงมากและอยู่ท้อง ถ้าเปิดร้านขายอาหารผัดแค่อย่างเดียวคงขายไม่ดีนักหรอก แถวนี้พนักงานโรงงานเยอะ สั่งอาหารกันมื้อละจาน มีเป้าหมายคือใช้เงินไปกับการกินให้น้อยที่สุด ถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษน้อยคนนักที่จะสั่งอาหารผัด เป็นกับข้าวไว้ราดข้าวหรือบะหมี่จะเป็นทางเลือกที่ประหยัดที่สุด”
นอกจากนี้ด้วยความที่ตัวร้านมีขนาดเล็ก จึงเหมาะที่จะเปิดเป็นร้านอาหารจานเดียว
เซี่ยเหลยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะยอมรับข้อเสนอของเซี่ยไห่และหลินเซี่ย
หลิวกุ้ยอิงเองก็ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ หล่อนสามารถทำบะหมี่ที่ตัวเองถนัดได้อยู่แล้ว
หลังจากคุยกันจนได้ข้อสรุปแล้วว่าจะขายอะไรดี เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงก็เริ่มคุยกันว่าพวกเขาต้องใช้เงินเท่าใดในการลงทุน
เซี่ยไห่บอกว่า “เรื่องค่าใช้จ่ายในการลงทุนกับร้านอาหาร พวกคุณสองคนคุยกันเองเลย ลองดูว่าแต่ละคนสะดวกใช้เงินเท่าไหร่ อย่ารีบร้อนเกินไป ส่วนผมจะจ่ายค่าเช่าและค่าตกแต่งร้านให้ ไว้พวกคุณค่อยจ่ายคืนให้ผมหลังจากที่ทำกำไรได้แล้ว”
“ตกลง งั้นเราจะลองหารือกันอีกที”
“ชื่อร้านอาหารล่ะ? พี่ใหญ่ อย่าลืมปรึกษากับพี่อิงจื่ออย่างจริงจัง ชื่อร้านอาหารก็มีส่วนสำคัญมากต่อยอดขายเหมือนกันนะ”
หลิวกุ้ยอิงรีบปฏิเสธ “ฉันไม่มีหัวคิดด้านนี้หรอก ให้สหายเซี่ยเป็นคนตั้งชื่อดีกว่า”
เซี่ยเหลยเองก็บอกทำนองเดียวกันว่าเขาคิดชื่อไม่ออก
สาเหตุหลักคือเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับรูปแบบการตั้งชื่อร้านอาหารในไห่เฉิง
เมื่อวานจากการเดินสำรวจไปรอบ ๆ ก็พบว่าชื่อร้านส่วนใหญ่ล้วนแต่ตั้งชื่อตามคนทั้งสิ้น
เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งคู่กำลังประสบปัญหา เซี่ยไห่ก็มองไปที่หลินเซี่ยแล้วพูดว่า “เซี่ยเซี่ย ลองคิดสักชื่อหนึ่งให้เราหน่อยสิ”
การตั้งชื่อร้านอาหารของพ่อแม่ ถือเป็นสิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับลูกสาว
“ฉันเหรอ?” หลินเซี่ยชี้ไปที่ตัวเอง
“ใช่ ดีซะอีก เธอยังเด็ก มีความคิดที่เฉียบแหลมว่องไว ชื่อร้านของเธอเองก็เข้าท่ามาก”
เซี่ยไห่ยิ้มและพูดกับเซี่ยเหลย “พี่ใหญ่ พี่เห็นด้วยไหมว่าชื่อร้านตัดผมของเซี่ยเซี่ยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก? ให้หล่อนเป็นคนตั้งชื่อให้เถอะ”
เซี่ยเหลยเจรจาด้วยง่ายมาก “ได้ ให้เซี่ยเซี่ยเป็นคนตั้งก็แล้วกัน”
เนื่องจากหลินเซี่ยดูเหมือนเซี่ยอวี่สมัยยังเด็ก เซี่ยเหลยจึงรู้สึกเป็นมิตรและเอ็นดูเสมอเมื่อมองหน้าอีกฝ่าย
ทั้งสามคนมองไปที่หลินเซี่ย
หลินเซี่ยที่กลายเป็นเป็ดโดนต้อนขึ้นคอนจึงทำได้เพียงเค้นสมองคิดชื่อร้าน
“เราตั้งชื่อร้านว่า ‘เถี่ยฟ่านหว่าน’(ชามข้าวเหล็ก) ดีไหมคะ?” เธอคิดอยู่นาน ทันใดนั้นก็ผุดไอเดียเป็นคำสามคำ
“เถี่ยฟ่านหว่าน?” เซี่ยไห่หัวเราะและปรบมือเมื่อได้ยินแบบนี้ “มีเอกลักษณ์แถมยังความหมายดีซะด้วย”
“พี่ใหญ่ พี่อิงจื่อ นี่ถือเป็นชื่อมงคลที่เซี่ยเซี่ยตั้งให้ หมายความว่าจากนี้ไปลูกค้าทุกคนที่มาอุดหนุนร้านอาหารของพวกคุณจะมีชามข้าวเหล็กที่มั่นคงล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
เสี่ยวเฉ่า 小炒 หมายถึงอาหารประเภทผัดสไตล์หูหนาน ผัดแบบไฟไม่แรงมาก เน้นการผัดเนื้อสัตว์ต่าง ๆ กับพริก รสเผ็ดจี๊ดจ๊าด บางสูตรอาจใส่คึ่นช่ายหรือยอดกระเทียม
สารจากผู้แปล
เหยียบไว้นะเซี่ยเซี่ย อย่าหลุดโป๊ะเรื่องอวี่เฟยต่อหน้าพ่อเขาเชียว
ชื่อร้านเป็นมงคลมาก เซี่ยเซี่ยสุดยอด
ไหหม่า(海馬)