ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 300 เขาจำอะไรไม่ได้เลย
ตอนที่ 300 เขาจำอะไรไม่ได้เลย
ตอนที่ 300 เขาจำอะไรไม่ได้เลย
หลังจากได้ยินสิ่งที่หญิงชราพูด เซี่ยเหลยก็พยายามคิดหาคำตอบอย่างช้า ๆ ตอนนี้เขาตกอยู่ในความสับสน ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างอดีตและปัจจุบันได้
เขามองไปที่หลินเซี่ยและพูดอย่างสงบ “ต้องขอโทษด้วย ฉันคงจำผิดไป”
หลินเซี่ยสูดจมูกและตอบกลับว่าไม่เป็นไร
เซี่ยไห่พูดยิ้ม ๆ “พี่ใหญ่ ไม่ได้มีแต่นายหรอกนะที่จำผิด ตอนที่ฉันเห็นหล่อนครั้งแรกฉันยังตกใจเลย ก็หล่อนหน้าตาเหมือนพี่สาวไม่มีผิดขนาดนี้จริงไหม?”
เซี่ยไห่และคนอื่น ๆ รู้สึกตื่นเต้นมากที่เซี่ยเหลยมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้
อย่างน้อยนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเซี่ยเหลยเริ่มจำตัวตนในอดีตของเซี่ยอวี่ได้บ้างแล้ว
ตราบใดที่พวกเขาหาหนทางที่เหมาะสมต่อไป ทุกคนจะปลุกความทรงจำของเขาได้อย่างแน่นอน
บางทีหลินเซี่ยอาจจะเป็นกุญแจที่เข้ามาช่วยปลดล็อกความทรงจำที่เต็มไปด้วยฝุ่นของเขา
ทันทีที่เซี่ยไห่พูดแบบนี้ เซี่ยเหลยก็จ้องมองไปที่หลินเซี่ยและเซี่ยอวี่อีกครั้ง “จริงเหรอ?”
“ใช่ ลองถามพี่สาวดูสิว่าหล่อนเองก็เห็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่อายุน้อยกว่าปัจจุบันด้วยหรือเปล่า?”
เซี่ยอวี่รีบตอบอย่างให้ความร่วมมือ “เห็นสิ นี่ไม่ใช่ร่างสองของฉันหรือยังไงกัน? พี่ใหญ่ ฉันเคยได้ยินคนพูดว่าหลานสาวจะหน้าตาเหมือนอาของหล่อน ตอนแรกฉันเกือบคิดว่าหล่อนเป็นลูกสาวของพี่หรือเปล่า?”
เซี่ยอวี่กระตือรือร้นมาก เจาะหัวข้อสนทนาตรงไปที่เรื่องนี้อย่างกะทันหัน
ทันทีที่หล่อนพูดออกมาแบบนี้ คุณแม่เซี่ยก็แทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่งด้วยความตกใจ แล้วถลึงตาไปทางเซี่ยอวี่
ก่อนที่จะหันกลับมาสังเกตสีหน้าของเซี่ยเหลยอย่างระมัดระวัง
“ฉันยังไม่ได้แต่งงานเลย จะมีลูกสาวได้ยังไง?” เมื่อเซี่ยเหลยพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เขารู้ดีว่าผู้เป็นแม่อยากได้หลานมาโดยตลอด และคาดหวังว่าพวกเขาสามพี่น้องจะทยอยแต่งงานและมีลูก เพื่อที่ตระกูลเซี่ยจะมีทายาทสืบต่อไป
เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ของหล่อนไม่มีท่าทีว่าจะโกรธหรืออารมณ์เสีย เซี่ยอวี่ก็มีความกล้ามากขึ้นขณะพูดต่อไปว่า “พี่ใหญ่ นั่นก็พูดยากนะ พี่จำไม่ได้นี่นาว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้บ้าง? เป็นไปได้ไหมว่าพี่อาจจะไปเจอใครบางคนหลังจากเข้ากองทัพไปแล้ว? ตอนนี้พี่จำไม่ได้ก็จริง แต่ตอนนั้นอาจจะมีผู้หญิงคนหนึ่งรอให้พี่กลับไปแต่งงานกับหล่อนก็ได้?”
เซี่ยอวี่ทำทีเป็นกุมขมับแล้วครุ่นคิดออกเสียง “ค่ายทหารที่พี่ใหญ่ไปประจำการในตอนนั้นอยู่ที่ไหนนะ?”
เซี่ยไห่ตอบอย่างรวดเร็ว “เทศมณฑลซีเหอ”
“โอ้ จริงด้วย เทศมณฑลซีเหอ”
เฉินเจียเหอสานต่อคำถามของเธออย่างแนบเนียน “บังเอิญจริง แม่ยายของผมก็มาจากเทศมณฑลซีเหอเหมือนกัน”
“จริงเหรอ?” เซี่ยอวี่หันไปมองเซี่ยเหลยด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“พี่ใหญ่ แม่ของเซี่ยเซี่ยก็มาจากเทศมณฑลซีเหอเหมือนกัน เทศมณฑลนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไร บางทีพวกคุณอาจจะรู้จักกันก็ได้?”
เซี่ยอวี่ถามหลินเซี่ยอีกครั้ง “เซี่ยเซี่ย แม่ของเธอชื่ออะไรนะ?”
“หลิวกุ้ยอิงค่ะ แต่คนอื่นมักจะเรียกเธอว่าอิงจื่อ” หลินเซี่ยมองดูพวกเขาแล้วตอบอย่างเคร่งขรึม
“อิงจื่อเหรอ? เสี่ยวเหลย เมื่อสองสามวันก่อนตอนที่ลูกหลับก็ละเมอเรียกชื่ออิงจื่อนี่แหละ แม่จำได้ว่าตอนนั้นพอถามลูก ลูกบอกว่าพอตื่นมาก็ลืมไปหมดแล้ว หรือว่าจะเป็นหล่อนคนนี้กัน?”
เซี่ยเหลยหยุดชะงักเล็กน้อยขณะกินข้าว พยายามนึกตามสิ่งที่แม่ของเขาพูดถึง แต่ก็ไม่มีประโยชน์
เขารู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “ผมจำอะไรไม่ได้เลย”
เซี่ยไห่ตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ เสนอแนะกับเซี่ยเหลยว่า “พี่ใหญ่ ผมว่าพวกเราคงจำเป็นต้องไปตรวจสอบชีวิตในอดีตของนายสมัยอยู่ในกองทัพแล้วล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่พี่สาวพูดขึ้นมาจริง ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งรอให้พี่กลับไปแต่งงาน แต่พอรอแล้วรอเล่าจนเวลาผ่านไปสิบปียี่สิบปีโดยที่พี่ไม่ปรากฏตัวเลย เธอคนนั้นคงจะเจ็บปวดมาก”
“ฉันอาจไม่ได้คบกับผู้หญิงคนไหนเลยก็ได้” เซี่ยเหลยคีบอาหารกินต่อไป “กินข้าวต่อเถอะ”
“โอ้”
เซี่ยเหลยไม่โต้ตอบอะไรอีก เซี่ยไห่และเซี่ยอวี่ก็ไม่กล้าพูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องก้มหน้าลงและกินข้าวต่อไปเงียบ ๆ
แม้ว่าทุกคนจะตกอยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อน แต่กับข้าวที่ปรุงโดยเซี่ยเหลยนั้นอร่อยมาก จนจานอาหารทุกจานบนโต๊ะว่างเปล่า
หลินเซี่ยไม่พูดอะไรมากนักในระหว่างกระบวนการทั้งหมด เธอก้มหน้าลงแล้วสูดกลิ่นอาหารโดยหวังให้พวกมันซึมลึกไปถึงความทรงจำ
อาหารแสนอร่อยเหล่านี้เป็นฝีมือการเข้าครัวของพ่อเธอ ทั้งกลิ่นและรสชาติควรบ่งบอกความเป็นเขา
ด้วยเหตุนี้ เธอกินอาหารตรงหน้าในปริมาณที่เยอะกว่าวันไหน ๆ
ยิ่งลิ้มรสชาติอาหารก็ยิ่งโลภ อยากจดจำรสชาตินี้ไว้ให้แม่นยำที่สุด
เซี่ยเหลยมองไปยังอาหารแต่ละจานที่หมดเกลี้ยง ใบหน้าเข้มงวดของเขาเจือแสงอันนุ่มนวล
เซี่ยไห่เอามือลูบท้องป้อย ๆ พลางถามเซี่ยเหลยว่า “พี่ใหญ่ พี่อยากลองเปิดร้านอาหารที่นี่ดูไหมล่ะ? ผมสามารถแนะนำพี่ให้รู้จักกับหุ้นส่วนคนหนึ่งที่มีฝีมือการทำอาหารดีมาก หล่อนคนนี้เป็นคนเรียบง่าย แถมยังอายุเท่ากันกับพี่ น่าจะทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ถ้าพวกคุณไม่ยอมเปิดร้านคงเสียดายฝีมือแย่ อยากให้คนในบ้านเกิดของเราได้ชิมฝีมือพี่จริง ๆ”
“พี่ใหญ่ นายคงเห็นว่าสังคมทุกวันนี้พัฒนาไปมากแล้ว คนที่พอมีเงินต่างก็ไปฝากท้องที่ร้านอาหาร ถ้าเราเปิดร้านอาหารก็ถือว่าได้ทำประโยชน์ต่อสังคม และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี พี่เป็นทั้งอดีตทหารผ่านศึก ปัจจุบันยังผันตัวมาเป็นเจ้าของร้านอาหารอีก เท่ากับทำประโยชน์เพื่อชาติมาเกือบทั้งชีวิต คงสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ไม่น้อยเลย”
เซี่ยไห่มีทักษะในการโน้มน้าวที่สุดยอดมาก เพราะวันนี้มีคนอยู่ที่บ้านเยอะ ทำให้เขากล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย
แน่นอน เขาอยากแสดงให้ครอบครัวเห็นถึงความสามารถที่เขามี
เซี่ยเหลยตอบว่า “ได้ ฉันขอเวลาทำการบ้านเกี่ยวกับสภาวะตลาดและรสนิยมคนส่วนใหญ่ของที่นี่ก่อน”
หลังมื้ออาหาร เซี่ยอวี่และเซี่ยไห่เข้าครัวไปล้างจาน คุณแม่เซี่ยขอให้เฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ นั่งอยู่คุยกันสักพัก ในระหว่างรอให้เซี่ยไห่ล้างจานชามเสร็จแล้วค่อยไปส่งพวกเขากลับ
เซี่ยเหลยก็ถูกหญิงชราเชื้อเชิญให้มานั่งอยู่บนโซฟาด้วยกัน
“เจียเหอแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่? ภรรยาของนายยังดูเด็กอยู่เลย”
เซี่ยเหลยเริ่มถามไถ่เรื่องส่วนตัว เฉินเจียเหอมองไปที่เขาแล้วรีบตอบว่า “พวกเราแต่งงานกันช่วงฤดูหนาวที่แล้วนี้เองครับ”
“ดีแล้ว”
เซี่ยเหลยเป็นคนพูดน้อย ถึงอย่างนั้นเขาก็เต็มใจที่จะพูดคุยกับเฉินเจียเหอ
ดวงตาของเขามักจะจับจ้องไปที่หลินเซี่ยเป็นครั้งคราว
หลินเซี่ยมีอารมณ์หลากหลาย เธออยากคุยกับเขามากแต่นึกไม่ออกว่าควรจะคุยอะไรดี ได้แต่นั่งอยู่ข้างเฉินเจียเหอ และเหลือบมองชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตนเองเป็นครั้งคราว
“เสี่ยวหลินล่ะทำงานอะไร?” ทันใดนั้นเซี่ยเหลยก็มองดูเธอแล้วถาม
“ฉันเปิดร้านตัดผมค่ะ”
หญิงชราใช้โอกาสนี้พูดกับลูกชายของตนว่า “เสี่ยวเหลย แม่เพิ่งสังเกตว่าผมของลูกเริ่มยาวมาหน่อยแล้ว พรุ่งนี้ลูกออกไปที่ร้านตัดผมของเซี่ยเซี่ยสิ ให้หล่อนช่วยตัดผมให้ลูก”
“ไว้อีกสักวันสองวันก็ได้ครับ”
เซี่ยไห่ล้างจานชามเสร็จแล้ว เตรียมตัวขับรถไปส่งเฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ กลับบ้าน
ก่อนออกเดินทาง เซี่ยเหลยไม่ลืมพูดกับครอบครัวทั้งสามคนว่า “ครั้งต่อไปถ้าพวกเธอมา ฉันจะทำกับข้าวให้กินอีก”
เฉินเจียเหอรู้สึกยินดีอย่างที่สุด ตอบกลับด้วยความเคารพว่า “ครับ พวกเราจะมาอีกแน่”
ดวงตาของเซี่ยไห่และแม่ของเขาก็สว่างเป็นประกายเช่นเดียวกัน
น้อยคนนักที่จะได้รับโอกาสกินข้าวฝีมือพี่ใหญ่เป็นครั้งที่สอง
ความสัมพันธ์ทางสายเลือดถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างแท้จริง
ก่อนที่หลินเซี่ยจะก้าวขึ้นรถ เธอก็หันกลับไปมองร่างนั้นอีกครั้ง
เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าและท่าทางเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว
ใช่แล้ว นับตั้งแต่เธอได้เจอกับเซี่ยเหลยในวันนี้ ความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่สุดที่เธอสัมผัสได้คือความเหงาที่แผ่ออกมาจากเขา
เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับอดีตเมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมาเลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยผ่านช่วงชีวิตอันยากลำบาก รุ่งโรจน์ และหวานชื่นในวัยเยาว์เหล่านั้น
เขาจำแม้กระทั่งผู้หญิงที่เขาเคยรักและคำสัญญาที่ให้ไว้กับหล่อนไม่ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของเขาที่ตัดสินใจลงสู่สมรภูมิรบโดยไม่ลังเล เพื่อที่จะปกป้องครอบครัวและประเทศชาติเอาไว้
ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวที่อยู่เคียงข้างเขาและไม่เคยจากไปไหน เกรงว่าหลังจากเขาได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาจากสนามรบอันแสนโหดร้าย เขาคงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน
หลังจากขึ้นรถแล้ว หลินเซี่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลรินออกมาเหมือนเขื่อนแตก
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอเกิดใหม่ที่ร้องไห้อย่างยากจะควบคุมแบบนี้
หู่จือตกใจมาก เขาจับมือเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะร้องไห้ตาม “แม่ อย่าร้องไห้นะ”
เฉินเจียเหอโอบร่างเธอมากอดไว้ในอ้อมแขน พลางพยักเพยิดบอกหู่จื่อให้นั่งเงียบ ๆ
เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ปล่อยให้เธอได้ปลดปล่อยความคับข้องใจออกมาอย่างเต็มที่
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเธอเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความอึดอัด ความเศร้าหมอง และความเสียใจ
พ่อผู้ให้กำเนิดของเธอจำลูกสาวแท้ ๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แม้แต่แม่ของเธอเขาก็ยังจำไม่ได้
ต่อให้เธออยากรู้จักเขามากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ตามใจปรารถนา
ยิ่งพอเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าและอาการบาดเจ็บที่ขาซึ่งไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ เธอก็รู้สึกเห็นใจเขาอย่างที่สุด
เมื่อหลินเซี่ยร้องไห้ เซี่ยไห่ที่กำลังขับรถอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยหยดน้ำตาให้ไหลรินเงียบ ๆ เช่นกัน
เธอร้องไห้หนักมาก พร้อมกันนั้นก็เกิดความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เซี่ยเหลยได้ความทรงจำกลับคืนมา
เธออยากรู้จักพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองจริง ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนะคะ สักวันคุณพ่อน่าจะจำอะไรได้บ้าง
ไหหม่า(海馬)