ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 625 ลงมือทำด้วยตัวเอง
ตอนที่ 625 ลงมือทำด้วยตัวเอง
…………….
ตอนที่ 625 ลงมือทำด้วยตัวเอง
เมื่อถานอี้ได้พบกับซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจืออีกครั้ง เขาก็ทักทายพวกหล่อนอย่างยิ้มแย้ม ทว่าเมื่อไม่เห็นฉินมู่หลาน เขาก็อดสงสัยไม่ได้จึงถามขึ้นว่า “ครั้งนี้คุณฉินไม่ได้มาด้วยเหรอครับ?”
ซูหว่านอี๋อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “มู่หลานมีเรื่องที่ต้องจัดการ ครั้งนี้พวกเราเลยเป็นตัวแทนมาค่ะ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ถานอี้ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ แต่ได้กล่าวถึงเรื่องเครื่องสำอางขึ้นมาแทน
“เคาน์เตอร์เครื่องสำอางทางนี้พร้อมให้บริการแล้ว ส่วนทางสถานีโทรทัศน์ก็ได้ออกอากาศโฆษณาตามที่พวกคุณร้องขอมาหลายวันก่อน โฆษณานั้นได้ผลดีมาก มีผู้คนมากมายเข้ามาสอบถามเรื่องเครื่องสำอางแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือก็พลอยดีใจไปด้วย
“ขอบคุณหัวหน้านะคะ ครั้งนี้เราได้นำเครื่องสำอางมาอย่างเพียงพอแล้ว วันนี้จะจัดเตรียมตู้โชว์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็จะเริ่มวางจำหน่ายในที่ 23 ธันวาคม” ซูหว่านอี๋กล่าว ก่อนจะหยิบชุดหนึ่งออกมาและยื่นให้ “หัวหน้า ให้ภรรยาของคุณได้ลองใช้ดูนะคะ”
ถานอี้เห็นดังนั้นก็รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่เป็นไร”
เขารู้ราคาของเครื่องสำอางดีอยู่แล้ว จึงไม่มีทางรับได้อย่างแน่นอน เพราะเครื่องสำอางหนึ่งชุดนั้นมีค่าเท่ากับเงินเดือนหลายๆ เดือนของเขาเลยทีเดียว
ทว่าซูหว่านอี๋กลับชี้ไปที่ตัวอักษรบนกล่องแล้วกล่าวว่า “หัวหน้าคะ นี่เป็นของใช้สำหรับทดลอง ไม่ได้นำมาจำหน่าย คุณรับไปเถอะค่ะ”
“ของใช้สำหรับทดลองเหรอ?”
ซูหว่านอี๋หัวเราะพร้อมกับอธิบายเกี่ยวกับของใช้สำหรับทดลองนั้นอย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายว่า “เราได้เตรียมของใช้สำหรับทดลองไว้หลายชุด พอถึงวันเปิดร้าน ลูกค้าทุกท่านที่เข้ามาในร้านก็จะสามารถใช้ได้ ดังนั้นรับไปเถอะนะคะ ชุดนี้ไม่ได้นำมาวางจำหน่ายจริงๆ”
หล่อนได้บอกไว้ด้วยว่า ไม่ว่าจะเป็นของใช้สำหรับทดลองหรือของที่นำมาวางจำหน่ายนั้นก็มีคุณภาพเหมือนกันทุกประการ เหตุที่พวกห่อนได้เตรียมของใช้สำหรับทดลองนั้นก็เพื่อมอบบริการและประสบการณ์ที่ดีกว่าให้แก่ลูกค้า
ถานอี้ไม่เคยพบเห็นวิธีการจำหน่ายแบบนี้มาก่อน จึงได้แต่อึ้งไปชั่วครู่ ขณะเดียวกันเขาก็ทึ่งในความกล้าทุ่มของซูหว่านอี๋และคนอื่นๆ ที่ได้นำเครื่องสำอางราคาแสนแพงมาให้ใช้กันแบบฟรีๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรับของดังกล่าวไปในที่สุด “ขอบคุณสหายซูมากๆ เลยครับ”
เมื่อทั้งสามได้พูดคุยกันอีกเล็กน้อย ถานอี้ก็ขอตัวกลับก่อนเพราะยังมีเรื่องต้องจัดการอีกหลายอย่าง เขาจึงไม่สามารถอยู่เฝ้าที่นี่ได้ตลอดเวลา
ในขณะที่ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือรีบลุกขึ้นมาวุ่นอยู่ที่เคาน์เตอร์ซึ่งทุกอย่างต้องจัดเตรียมใหม่ ทั้งสองแทบไม่มีเวลาเหลือแล้ว พอทุกคนจัดเสร็จต่างก็เมื่อยจนแทบตั้งตัวตรงไม่ได้
“ในที่สุดก็จัดเตรียมเสร็จเสียที รู้อย่างนี้น่าจะมาเร็วกว่านี้”
เหยาจิ้งจือพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ หากเรามาเร็วกว่านี้ก็คงจะมีเวลาจัดการได้ดีกว่านี้”
ในทางกลับกันหลี่เสวี่ยเยี่ยนกลับหัวเราะ “แม่ น้าซู แต่นี่ก็ถือว่าทันเวลานะคะ ยังไงตอนนี้ที่นี่ก็จัดเตรียมเสร็จหมดแล้ว เราไปกินข้าวกันดีกว่า ฉันหิวแล้วล่ะ”
ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือเองก็หิวแล้วด้วย จึงพยักหน้าตอบ “ไป ไปกินข้าวกันเถอะ”
อีกด้านหนึ่ง เมื่อถานอี้กลับมาถึงบ้าน เขาก็มอบเครื่องสำอางหนึ่งชุดให้กับภรรยาของเขา
ชวีจวินหรูมองดูเครื่องสำอางตรงหน้าพลางเอ่ยถาม “นี่อะไรเหรอคะ คุณไปซื้อมาจากไหน ฉันไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน”
“มีคนให้มา”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชวีจวินหรูจึงรีบพูดว่า “เหล่าถาน คุณระวังหน่อยนะเวลาจะรับของมาน่ะ”
“สบายใจได้เลย เครื่องสำอางนี้ไม่ได้ขายนะ เป็นสินค้าทดลองที่ไว้สำหรับไปวางที่หน้าร้านให้คนลองใช้ ผมเลยเอามา”
ชวีจวินหรูคลายคิ้วที่ขมวดออก ทว่าเมื่อมองไปที่ชุดเครื่องสำอางที่บรรจุมาอย่างสวยงามตรงหน้า ความรู้สึกชื่นชอบในตอนแรกก็หายไปสิ้น “ที่แท้ก็เป็นของที่ให้คนลองใช้หรอกเหรอ บรรจุภัณฑ์นี่ช่างดูดีเหลือเกิน ตั้งใจมากเลย”
ถานอี้รู้จักภรรยาของเขาดีที่สุด เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณรู้ไหมว่าเครื่องสำอางหนึ่งชุดนี้ราคาเท่าไหร่”
“อย่างมากก็ 20-30 หยวน”
ครีมบำรุงผิวหน้ายังแค่ไม่กี่หยวนเท่านั้น ชุดเครื่องสำอางนี้ไม่มีทางแพงไปกว่านี้แน่นอน
แต่ถานอี้กลับมองภรรยาด้วยสายตาที่แฝงความหมาย แล้วกล่าวว่า “คุณประเมินค่าของเครื่องสำอางชุดนี้ต่ำเกินไปเสียแล้ว ร้านมู่เสวี่ยนเปิดกิจการพรุ่งนี้แล้ว เครื่องสำอางชุดนี้ตั้งราคาไว้ที่ 500-600 นะ”
“ว่า….ว่ายังไงนะ..”
ชวีจวินหรูเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “จริงเหรอ คุณล้อเล่นหรือเปล่า”
ถานอี้ไม่พูดอะไรต่อ แต่ดูจากสีหน้าสามีแล้วชวีจวินหรูก็รู้ได้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง “นี่มันเครื่องสำอางอะไรถึงราคาแพงขนาดนี้ พรุ่งนี้เปิดร้านจะมีคนซื้อไหม คุณต้องรับผิดชอบนะที่เป็นคนให้ตั้งเคาน์เตอร์ แล้วสุดท้ายไม่มีใครมาซื้อก็เพราะความรับผิดชอบของคุณ”
“มั่นใจเถอะ ผมได้ยินมาว่าเครื่องสำอางชนิดนี้ขายดีมากในปักกิ่งและฮ่องกง ดังนั้นคงไม่ต้องห่วงเรื่องขายไม่ออกหรอก”
“งั้นฉันต้องลองเสียหน่อยแล้ว”
ชวีจวินหรูเปิดกล่องดูก็พบว่ามีของข้างในมากมายจนไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร สุดท้ายถานอี้ก็พูดว่า “ผมได้ยินมาว่าวันเปิดร้านพรุ่งนี้จะมีกิจกรรม ลองไปดูสิ เผื่อจะได้ถามวิธีใช้ของพวกนี้ด้วย”
“ได้”
พอถึงวันรุ่งขึ้น ซูหว่านอี๋เหยาจิ้งจือและคนอื่นๆ ก็มาที่ห้างโหย่วอี้ตั้งแต่เช้า
ครั้งแรกอาจจะเคอะเขิน พอเป็นครั้งที่สองก็คุ้นเคยมากขึ้น ก่อนหน้านี้เคยเปิดที่จิงเฉิงมาแล้ว ดังนั้นพวกหล่อนจึงรู้ขั้นตอนเป็นอย่างดี เพียงแค่เตรียมของทุกอย่างให้พร้อม ก็รอวันเปิดร้านได้เลย
ตอนที่ถานอี้มาถึง ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมหมดแล้ว ซูหว่านอี๋เห็นเขาก็รีบยิ้มพูดว่า “หัวหน้า ช่วยเราตัดริบบิ้นด้วยนะคะ”
“อืม ได้สิ”
ถานอี้ได้ยินก็ยิ้มรับปาก แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาแผ่นใหญ่ข้างๆ จึงอดถามไม่ได้ว่า “นี่มันอะไร”
“นี่เป็นการแนะนำกิจกรรมในวันนี้ เพื่อฉลองการเปิดร้าน เครื่องสำอางทุกชิ้นลดราคา 90% ซื้อครบ 300 หยวนแถมน้ำตบขวดหนึ่ง ซื้อครบ 500 แถมโลชั่นขวดหนึ่ง ซื้อครบ 1000 แถมเซ็ตเครื่องสำอางบำรุงผิวชุดใหญ่แบบจัดเต็มค่ะ”
เหยาจิ้งจือพูดแนะนำไปยิ้มไป
หลังจากนั้นก็ชี้ไปที่หลี่เสวี่ยเยี่ยน แล้วพูดว่า “ซื้อสินค้าครบ 300 หยวน ลูกสะใภ้คนโตของฉันจะแต่งหน้าให้ฟรี และยังได้ร่วมลุ้นรางวัลอีกด้วย รางวัลที่ 1 คือโทรทัศน์ รางวัลที่ 2 คือวิทยุ รางวัลต่อๆ มาเขียนไว้บนป้ายเรียบร้อยแล้ว หากวันนี้ดวงดี ก็อาจได้กำไรกลับบ้าน”
ถานอี้มองรางวัลข้างบนแล้วรู้สึกว่า ร้านเครื่องสำอางมู่เสวี่ยช่างมีเงินเหลือเฟือ แม้แต่โทรทัศน์ก็ยังเอามาเป็นรางวัลได้ และเขาก็ยังเห็นจักรยานที่ตั้งอยู่ด้านบนอีกด้วย จนอดใจอยากลุ้นรางวัลไม่ได้
ส่วนชวีจวินหรูก็มาพร้อมกับสามีของตน เมื่อเห็นคำแนะนำเกี่ยวกับกิจกรรมแล้ว หล่อนก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน เพียงแต่ตอนที่เห็นว่าต้องซื้อของมูลค่าสามร้อยกว่าหยวน ถึงจะได้สิทธิ์ลุ้นรางวัลหนึ่งครั้ง หล่อนก็สงบสติอารมณ์ลง ทั้งยังนึกไม่ออกว่าจะมีครอบครัวแบบไหนที่จะซื้อเครื่องสำอางราคาแพงเช่นนี้
แต่หล่อนก็ยังไม่ลืมจุดประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้ จึงยิ้มและเดินเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับวิธีใช้เครื่องสำอาง
พอซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือทราบว่าชวีจวินหรูเป็นภรรยาของถานอี้ ทั้งสองจึงรีบให้หลี่เสวี่ยเยี่ยนแนะนำทำความรู้จัก แล้วหลี่เสวี่ยเยี่ยนก็เสนอว่า “อย่างนั้นเดี๋ยวฉันแต่งหน้าให้คุณแบบง่ายๆ นะคะ อาจจะทำให้คุณดูสดใสขึ้นได้ค่ะ”
พอได้ยินดังนั้น ชวีจวินหรูจึงหันไปมองหลี่เสวี่ยเยี่ยนอีกครั้งแล้วก็ถามว่า “แบบที่คุณกำลังแต่งอยู่เหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
วันนี้หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็แต่งหน้ามาเช่นกัน แต่งหน้าแบบบางเบาที่ทำให้ดูสดใสยิ่งขึ้น แม้หล่อนจะไม่ได้มีฝีมือเท่าเยว่เจินจู แต่ก็ถือว่าเก่งไม่น้อยแล้วกับการแต่งหน้าให้คนอื่น
“ได้ค่ะ”
พอชวีจวินหรูเห็นว่าการแต่งหน้าแบบบางเบาของหลี่เสวี่ยเยี่ยนดูดี หล่อนก็พยักหน้าตอบตกลงเป็นธรรมดา
หลี่เสวี่ยเยี่ยนแต่งหน้าให้ชวีจวินหรูไปพลางอธิบายวิธีใช้เครื่องสำอางต่างๆ อย่างละเอียดลออ ส่วนชวีจวินหรูก็ตั้งใจฟังไปด้วย หล่อนพบว่าของเหล่านี้มีอยู่ในชุดที่เหล่าถานที่นำกลับมาเมื่อคืนทั้งชุดด้วย หากเรียนรู้วิธีใช้เองได้ หล่อนก็แต่งหน้าให้ตัวเองได้เช่นกัน
พอหลี่เสวี่ยเยี่ยนแต่งหน้าให้ชวีจวินหรูเสร็จ พิธีเปิดก็เริ่มพอดี โดยมีถานอี้ช่วยตัดริบบิ้น ส่วนซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือก็ประกาศเปิดตัวร้านเครื่องสำอางมู่เสวี่ยในร้านโหยวอี้ที่เมืองไห่เฉิงอย่างเป็นทางการ
“ขอแสดงความยินดีกับหัวหน้าซู หัวหน้าเหยาด้วยนะคะ”
วันนี้เฉาจิ้งก็มาด้วย เดิมทีทุกคนยังไม่ทันสังเกตหล่อน พอหล่อนถอดหมวกและผ้าพันคอออก ทุกคนจึงรู้ว่าเป็นหล่อน
“โอ้โห…เฉาจิ้งตัวจริงสวยมาก”
“ใช่ๆ วันนี้หล่อนก็มาด้วย จะว่าไปโฆษณาเครื่องสำอางที่หล่อนทำนี่ผลตอบรับดีจริงไหม”
หลายคนที่มาเยี่ยมชมร้าน ต่างก็เคยดูโฆษณาแต่ราคาก็แพงเกินกว่าจะเอื้อมถึง ครอบครัวไหนจะสามารถจ่ายค่าเครื่องสำอางแบบนี้ได้
ในตอนแรก ชวีจวินหรูเองก็คิดว่าคงไม่มีใครซื้อของแพงเช่นนี้ แต่พอเห็นตัวเองในกระจก ก็อดลูบหน้าตัวเองไม่ได้ จึงพึมพำกับตัวเองว่า “นี่…นี่คือฉันเหรอ สวยเกินไปแล้ว”
แม้แต่ถานอี้เองก็ยังมองภรรยาของตนเองด้วยความแปลกใจ เขาได้ตระหนักถึงความน่าทึ่งของร้านเครื่องสำอางมู่เสวี่ยเสียแล้ว
นอกจากจะมาแสดงความยินดีแล้ว วันนี้เฉาจิ้งยังมาช่วยงานด้วย
พอเห็นว่ามีผู้คนมากมายที่มาเยี่ยมชมแต่ไม่มีใครซื้อเครื่องสำอาง หล่อนจึงรีบแนะนำผลิตภัณฑ์ในร้าน พร้อมกับเล่าถึงประสบการณ์การใช้ของตนเอง “มั่นใจได้เลยว่าคุ้มค่าจริงๆ ใครได้ใช้ก็จะรู้ได้ว่าเครื่องสำอางเหล่านี้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป”
อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างคิดว่าที่เฉาจิ้งพูดเช่นนี้ก็เพราะหล่อนรับหน้าที่โฆษณาเครื่องสำอางเหล่านี้
ตอนนี้ชวีจวินหรูก็อดแนะนำไม่ได้เช่นกัน หลังจากได้ใช้เครื่องสำอางเหล่านี้แล้ว และเพราะความงามของหล่อนจึงดึงดูดใจใครหลายคนให้มาที่นี่
ในบรรดาคนที่มาร่วมงานวันนี้ มีผู้ที่รู้จักชวีจวินหรู พอเห็นหล่อนแนะนำก็ตัดสินใจซื้อไปหนึ่งชิ้น แต่ด้วยราคาถึงสามร้อยหยวนจึงรู้สึกเสียดายเงินอยู่บ้าง แต่ไหนๆ ก็ซื้อแล้ว หล่อนจึงรีบถามว่า “มีของแถมหรือเปล่า แล้วได้แต่งหน้าด้วยไหม ได้ลุ้นรางวัลด้วยไหม”
หลังจากฟังคำถามของหล่อน หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็รีบตอบพร้อมรอยยิ้ม “ได้ค่ะ ฉันจะแต่งหน้าให้คุณก่อนนะคะ”
“ดีเลย”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนทำค่อนข้างช้า แต่ก็ใส่ใจในรายละเอียด เมื่อแต่งหน้าให้ผู้หญิงคนนั้นเสร็จ ผู้คนในงานต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
“โอ้โห ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ฉันคงไม่เชื่อว่านี่คือคนที่เมื่อครู่”
“ใช่เลย ต่างกันสุดขั้วเลย รู้สึกเหมือนเป็นคนละคนเลย”
หลังจากได้ยินเสียงพูดคุยรอบๆ ตัว ผู้หญิงคนนั้นก็อดมองกระจกไม่ไหว พอเห็นตัวเองในสภาพงดงามไร้ที่ติก็อดลูบหน้าตัวเองด้วยความไม่เชื่อ “นี่…นี่คือฉันจริงๆ เหรอ”
แต่เดิมหล่อนมีผิวที่ค่อนข้างคล้ำ มีจุดด่างดำหลายแห่งบนใบหน้า แม้แต่คิ้วยังแทบจะมองไม่เห็นและแหว่งวิ่นมาก แต่ตอนนี้หล่อนมีผิวขาวขึ้น ผิวพรรณดูละเอียดขึ้น คิ้วก็ได้รับการตกแต่งให้เป็นทรงใบหลิวอันเรียวเล็ก ซึ่งเข้ากับบุคลิกของหล่อนอย่างมาก
“แน่นอนว่าเป็นคุณค่ะ เหมือนกับที่โฆษณาบอก สวยงามได้ง่ายดาย เพียงแค่ลงมือทำด้วยตนเอง คุณก็จะสวยขึ้น มีความสุขทั้งกายและใจ ทำไมจะต้องลังเล”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนรู้สึกว่าเมื่อสักครู่หล่อนทำได้เกินคาด หล่อนแต่งหน้าให้ลูกค้าได้สวยมาก หลังจากนั้นก็แถมน้ำตบด้วยและให้ลูกค้าไปจับรางวัลที่ข้างๆ
“อุ้ย…รางวัลที่สาม เป็นรางวัลที่สามจริงๆ”
หญิงสาวไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองมองเห็น นึกว่าตัวเองตาฝาดไป
ซูหว่านอี๋เดินเข้ามาตรวจดูแล้วกล่าวแสดงความยินดี “เป็นรางวัลที่สามจริงๆ คุณได้รถจักรยานนะคะ” ว่าจบก็ให้คนไปนำของรางวัลมาให้
เมื่อหญิงสาวได้รับรถจักรยานไปแล้ว หล่อนยังมึนงงอยู่ “เป็นของจริงสินะ ได้รับรางวัลจริงๆ นี่…นี่มันสุดยอดมาก”
“โอ้โห…จักรยานถูกจับไปแล้ว รางวัลที่เหลือจะหายไปหนึ่งรางวัลไม่ได้ ฉันก็จะจับรางวัลด้วยสิ อาจจะได้โทรทัศน์ก็ได้นะ”
พอมีตัวอย่างให้เห็น ผู้คนอื่นๆ ก็ต่างเชื่อร้านเครื่องสำอางมู่เสวี่ย แล้วก็เชื่อในการจับรางวัลตามที่โฆษณาไว้ และพากันกรูกันเข้ามา “ฉันจะซื้อ ฉันจะซื้อ ฉันจะแต่งหน้าและจับรางวัล”
“ฉันด้วย ฉันก็จะซื้อ”
ตอนเริ่มต้นมักยากเสมอ แต่เมื่อได้กำไรจากยอดขายแรกเข้าแล้ว ยอดขายต่อมาก็รุดหน้าราวหิมะโปรยปรายจนซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือต่างบริการไม่ทัน หลี่เสวี่ยเยี่ยนเองก็มีคนเข้าแถวยาวเหยียด ในที่สุดแม้แต่บอดี้การ์ดก็ต้องลงมือช่วย แม้แต่ชวีจวินหรูก็ยังต้องเข้าไปช่วยเช่นกัน
“ของหมดแล้วจริงๆ เมื่อดินสอเขียนคิ้วนี้เข้า เราจะแจ้งให้คุณทราบทันที”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนไม่คิดว่าสินค้าที่ขายดีที่สุดจะเป็นดินสอเขียนคิ้ว รองลงมาก็เป็นลิปสติก บางคนเสียดายเงินแต่ก็ยังยอมซื้อดินสอเขียนคิ้วหรือลิปสติก เพราะสองอย่างนี้ราคาถูกกว่า
“ได้ แล้วอย่าลืมแจ้งให้พวกเราทราบด้วยนะ”
ทุกคนทำงานกันอย่างขะมักเขม้นจนถึงบ่ายโมง
“เอาล่ะทุกคน เราไปกินข้าวกันเถอะ”
ท้ายที่สุด ซูหว่านอี๋หันไปทางชวีจวินหรูแล้วพูดว่า “จวินหรู มาด้วยกันเถอะ วันนี้รบกวนคุณตั้งเยอะ”
หล่อนเองก็ไม่คิดว่าในที่สุดภรรยาของถานอี้ต้องมาช่วยอีกแรง
ชวีจวินหรูได้ยินแล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มพลางพยักหน้าและพูดว่า “ได้ค่ะ”
เมื่อเตรียมพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว ต่างคนก็ตรงไปกินข้าว
ชวีจวินหรูกินเสร็จก็กลับบ้าน ส่วนซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือกลับมาที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง เพราะเรื่องที่ต้องจัดการหลายอย่างจนไม่มีเวลาพัก
ช่วงบ่าย คนที่แวะเวียนมาซื้อเครื่องสำอางก็ยังเยอะเช่นเดิม สินค้าขายดีเกินคาด
เมื่อถานอี้รับทราบสถานการณ์ ก็อดพูดไม่ได้ “ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเราจะไม่ผิดนะ ขายดีขนาดนี้ แถมยังช่วยกระตุ้นยอดขายร้านอื่นๆในห้างด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์หลายต่อเลย”
ธุรกิจเครื่องสำอางขายดีจริงๆ ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือวางแผนไว้ว่าจะกลับวันที่ 25 แต่พอถึงวันที่กำหนดก็ยังไม่กลับ จนกระทั่งวันที่ 28 จึงได้กลับบ้าน
“จิ้งจือ หว่านอี๋ พวกเธอหายไปตั้งหลายวัน พวกเราเป็นห่วงจะแย่แล้ว” นายท่านเหยาเอ่ย
ฉินมู่หลานที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมา “ใช่ หากแม่กับน้ายังไม่กลับมา อีกนิดเดียวคุณตาคงจะติดต่อไปที่เมืองไห่เฉิงแล้ว”
เหยาจิ้งจือได้ยินจึงรีบพูดขึ้นว่า “เราก็กลับมาแล้วนี่ไง”
สุดท้ายก็อดพูดด้วยความภูมิใจไม่ได้ “คราวนี้เราได้ลงมือทำเอง ได้จัดการงานเองแล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เริ่มชั่วโมงบินสูงแล้วสินะคะ สู้ๆ ค่ะซีอีโอหญิงทั้งสองท่าน
ไหหม่า(海馬)