ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 330 ลอยอยู่บนท้องฟ้า
บนยอดเขา
พวกเกิ่งเหลียงจัดการหมีได้หนึ่งตัว เสืออีกสามตัว
ล่าไก่ป่า ดักจับกระต่ายป่าได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน ใส่ได้สามกระสอบแล้ว
หนึ่งในนั้นมีเสือที่ถูกระเบิดเละจนต้องทิ้งไว้
ภูเขาลูกนี้มีแต่ของล้ำค่าจริงๆ
เวลานี้เกิ่งเหลียงกำลังทำสัญญาณมือบอกให้ทุกคนซุ่มไว้ก่อน ตั้งปืนใหญ่ไว้
เพราะซื่อจ้วงที่อยู่บนต้นไม้ไกลออกไป รวมถึงทหารสังเกตการณ์สองนายที่อยู่บนต้นไม้ ต่างส่งสัญญาณมาที่เขาพร้อมกัน ความหมายคือข้างหน้ามีฝูงหมาป่า
ทั้งยังวาดแขนเป็นวงกลมอย่างเงียบๆ ส่งข้อมูลว่า ไม่ไกลออกไปมีหมาป่าจำนวนมาก
เถียนสี่ฟากับกลุ่มทหารนอนหมอบอยู่บนพื้นหิมะไม่ขยับเขยื้อน
อากาศหนาวเย็นแบบนี้ แต่บนศีรษะของเถียนสี่ฟากลับมีเหงื่อ มือกำคันธนูกับลูกธนูที่เกิ่งเหลียงให้มาแน่น
ซ่งฝูกุ้ยกับพวกต้าหลังกำลังถือคราดที่พวกเขาทำเองเอาไว้ใช้เวลาสู้กับหมาป่า ก็กำลังกลั้นหายใจเหมือนกัน หลังพิงต้นไม้ สายตาจับจ้องไปที่เกิ่งเหลียงรอฟังคำสั่ง
เกิ่งเหลียงเหลือบมองปืนใหญ่แล้วเอาดินประสิวใส่ลงไปเบาๆ จากนั้นถึงกวักมือให้กลุ่มย่อยที่หมอบอยู่ในกองหิมะด้านซ้ายบน
เห็นเพียง พอมือเขาตวัดออกไป ทหารสิบกว่านายก็ถือหอกพุ่งออกไป
คนพวกนี้มีหน้าที่ล่อหมาป่า
การกระทำเช่นนี้เรียกว่า ล่อหมาป่าเข้าห้อง
เพียงชั่วพริบตาพวกเขาก็วิ่งกลับมาแล้ว วิ่งชนิดที่ว่าหน้าตั้ง ไม่เพียงแต่หมวกที่ติดกับเสื้อคลุมขาวจะปลิวไปตามลม หมวกผ้าฝ้ายที่ใส่อยู่ข้างในก็หล่นลงไปด้วย
ไม่มีเวลาเก็บแล้ว เก็บไม่ได้จริงๆ
ว้าก จากการกะดูคร่าวๆ หมาป่าสี่สิบกว่าตัวกำลังไล่ตามตูดพวกเขามา ไม่กล้าหันกลับไปดูแล้ว
อย่าพูดว่าทหารพวกนี้ขี้ขลาด
ต้องทราบก่อนว่าหมาป่าสี่สิบกว่าตัวมันหมายถึงอะไร
หมาป่าเจ้าเล่ห์ เมื่อใดที่รวมกันเป็นฝูง พลังโจมตีก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝูงใหญ่ที่มีกันสี่สิบกว่าตัวเลย
ฝูงใหญ่แบบนี้ พอโจมตีมนุษย์ กรงเล็บไม่กี่ขากระโจนเข้าไปก็สามารถล้มมนุษย์สิบกว่าคนได้ เพียงชั่วพริบตาสามารถตะปบเข้าที่คอ กัดคอมนุษย์ให้ขาดได้
ลำพังแค่นี้ สี่สิบกว่าตัว นี่อาจยังไม่ใช่ทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ
ถ้านับรวมทั้งหมดบนภูเขาแห่งนี้ น่าจะยังมีเผ่าพันธุ์หมาป่าอื่นๆ ดำรงชีวิตอยู่ในอีกหลายพื้นที่ มิน่า ที่นี่ถึงได้มีภัยพิบัติจากหมาป่า
เกิ่งเหลียงตะโกน “ยิง”
“ตูม!” ลูกกระสุนลอยออกไประเบิดฝูงหมาป่าที่กำลังวิ่งไล่คนอย่างบ้าคลั่ง
หมาป่าแตกกระสานซ่านเซ็น บ้างก็ผวาตกใจ หันหัววิ่งกลับไปบนยอดเขา
เกิ่งเหลียงถือดินประสิวอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันจากดินปืน วิ่งนำเข้าไปก่อน
พอเพ่งมองเห็นหนึ่งตัวชัดเจนก็เตรียมยิง
มือธนู มือยิงข้างกายเขาวิ่งพลางยิงใส่ฝูงหมาป่าไม่หยุด
ชั่วขณะนั้น ดาบก็ฟาดฟันฉวัดเฉวียนอยู่ในป่า
เสียงหมาป่าสิบตัวยี่สิบตัว ร้องโหยหวนด้วยความทรมานอย่างต่อเนื่อง เสียงแล้วเสียงเล่า ร้องได้น่าเวทนา
ได้ยินมาว่า อันที่จริงการที่หมาป่าส่งเสียงโหยหวนก่อนตายไม่ใช่เพราะมันเจ็บ และก็ไม่ใช่การเรียกพรรคพวกมาช่วยเสียทีเดียว
แต่เป็นการส่งข่าวออกไป
บอกเพื่อนที่อาจยังมีชีวิตอยู่ว่า รังของมัน แม่น้ำที่มันหาเจออยู่ที่ไหน ให้พวกเพื่อนๆ ใช้ชีวิตอยู่กันต่อไป
พวกเกิ่งเหลียงฆ่าหมาป่าดุร้ายไปได้สิบกว่าตัว ซึ่งในนี้น่าจะมีจ่าฝูงอยู่ด้วย
จากนั้นพวกซ่งฝูกุ้ยถึงได้ถือคราดวิ่งเข้าไป
ชายฉกรรจ์ห้าคนที่หมู่บ้านเหรินจยาส่งมาก็วิ่งเข้าไปด้วย
ห้าคนนั้นตะโกนอย่างได้ใจ “ฆ่ามัน ฆ่ามัน”
พวกซ่งฝูกุ้ยบ่นราวกับถูกรบกวน “อย่าทำหนังมันเสียหายเยอะ อย่าทำหนังมันเสียหายเยอะ”
ในขณะที่ทีมล่าหมาป่ากำลังรุมล้อมสัตว์ป่าอยู่บนเขาอย่างบ้าคลั่ง
ซ่งฝูหลิงก็กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะบนเตียงเตาพลางเขียนนิยาย
อะไรคือเครื่องบิน อะไรคือรถถัง ฉายาว่าหนังหุ้มเหล็ก
อะไรคือปืนกลมือ อะไรคือกระสุนปืนกล
ปืนของที่นี่ ยิงแล้วมีแรงดีดไปด้านหลัง บางครั้งอาจระเบิดใส่อกได้
ยังไม่ทันได้ทำอะไรกลับระเบิดใส่ตัวก่อนเสียอย่างนั้น
ส่วนทหารในเรื่องราวของนาง หล่นลงมาจากฟ้า เก็บร่มชูชีพ รวมตัวกันอย่างรวดเร็วจนดำมืดไปเป็นแถบ พุ่งเข้าโจมตีวิ่งเข้าสู่สนามรบ
แบกปืนกลที่สามารถยิงได้เป็นแถบในคราวเดียว
ความเร็วในการยิงอาจเร็วถึงพันกระสุนในหนึ่งนาที ระยะทางไปไกลได้ถึงหนึ่งพันเมตร
อะไรคือหนึ่งนาที
ซ่งฝูหลิงเขียนเชิงอรรถไว้ในเรื่องเล่า ขอความกรุณาผู้ที่ฟังเรื่องราวช่วยนับเองในใจ ลองจินตนาการเอาเอง ถ้าไม่ได้ก็ตบมือหนึ่งทีแล้วกัน
ปืนชนิดนี้มีฉายาว่า ‘เลื่อยไฟฟ้า’
เมื่อเลื่อยไฟฟ้าออกโรง พลังทำลายล้างสุดคณานับ
ยังไม่ทันได้สู้ ทหารข้าศึกพอได้ยินเสียงก็ไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรงแล้ว
เพราะมีเพียงการครอบครองอาวุธแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถวิ่งไปยิงกราดไปได้ สามารถฆ่าทหารเดินเท้าของข้าศึกที่เข้ามาโจมตีให้พังราบเป็นหน้ากลองได้
ทว่าวันนี้นางไม่คิดจะเขียนเรื่องต่ออีกมากนัก
หลังจากแนะนำอาวุธต่างๆ เสร็จนางก็เขียนเรื่องราวการปะทุของ ‘สงครามสายฟ้าแลบ’ และหยุดเรื่องเอาไว้
จากนั้นก็ใช้การเขียนจากมุมของการเล่าเรื่องแนะนำสถานการณ์ภายในประเทศเหยี่ยวอย่างละเอียด ระดับการพัฒนาฝีมือเชื่อมเหล็ก วันนี้ที่นางเข้าพื้นที่พิเศษไปก็เพื่อสืบค้นข้อมูลในด้านนี้นั่นเอง
แค่ชิ้นส่วนก็มีหลายโรงงานแบ่งกันผลิต แล้วค่อยนำมาประกอบรวมกัน
เขียนถึงประเทศเหยี่ยวทั้งประเทศ แต่ละวงการ แต่ละอาชีพที่เพียรพยายามเพื่อสงครามครั้งนี้
นางอยากอธิบายปัญหาหนึ่งผ่านเรื่องที่เขียนนี้ อันที่จริงการทำสงครามคือการทำแบบครอบคลุมรอบด้าน ทำแบบมีมิติ
ไม่เพียงแต่ประเทศต้องมีเงิน ยังต้องมีเสบียง การผลิตในแต่ละด้านยิ่งต้องตามกันให้ทัน
ตามไม่ทัน ผลิตออกมาไม่ได้สักอย่าง ทุกอย่างก็สูญเปล่า
ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างเหล็ก คนขุดบ่อน้ำ รวมถึงคนขุดดิน ขุดเจาะน้ำมัน ต่างต้องพัฒนาในทุกด้าน
บางครั้งอาจรู้สึกว่าบางด้านดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับการทำสงคราม แต่ในความเป็นจริงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง
อย่างเช่น ตัวอย่างง่ายๆ ที่สุด เหมือนนางที่ทำขนมเค้ก
นางก็ไม่ได้อยากใช้เนยจากไขมันสัตว์มาทำขนมเค้ก แพงจะตาย เหนื่อยด้วย
ถ้าร้านขนมเค้กในยุคปัจจุบันใช้น้ำนมบริสุทธิ์มาทำขนมเค้ก ไม่กล้าคิดเลยว่าต้นทุนจะสูงขนาดไหน ขาดทุนย่อยยับ
นางเองก็อยากใช้เนยที่ทำจากไขมันพืช ผลิตครั้งหนึ่งได้เยอะ ลดต้นทุนไปได้มากโข แต่ที่นี่มีโรงงานอย่างนั้นเหรอ
พ่อของนางก็อยากปลูกพริกเล็ก พริกใหญ่ เอาให้มีครบทุกชนิดของพริก จะทำอาหารอะไรก็ใช้พริกแบบนั้น
แต่เป็นไปได้เหรอ ที่นี่จะพิถีพิถันเหมือนยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างไร ไม่มีเมล็ดพันธุ์
ดังนั้น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนจำเป็นต้องมีกำลังการผลิตที่ตามกันทันในทุกวงการ พัฒนาครอบคลุมทุกด้าน
ซ่งฝูหลิงหวังว่าคนที่ฟังเรื่องราวในอนาคต แม้มีเพียงสักคนเดียวที่เก็บเอาไปพิจารณา แม้จะเกิดความแตกฉานเพียงน้อยนิด ‘เรื่องแฟนตาซี’ ของนางก็คงไม่ถือว่าสูญเปล่าแล้ว
“พั่งยา อยู่บ้านหรือเปล่า” ท่านลุงซ่งกลับมาแล้ว ตะโกนถามตรงหน้าต่าง
“ท่านทวด ข้าอยู่บ้าน ถ้าท่านเหนื่อยแล้วเข้ามาพักก่อนก็ได้นะ”
กลัวว่าท่านทวดจะเกรงใจไม่กล้าเข้ามาในบ้าน
ไม่มีบ้านให้เข้าไปนอนแล้ว บ้านของทวดยกให้ทหารพวกนั้นนอน
นึกไม่ถึงว่าชายชราจะถามขึ้น “เขียนหนังสืออยู่รึ”
“ใช่”
“ดี ดี เขียนต่อไป ตั้งใจเขียน รีบเขียนเข้า” ชายชราพูดจบก็หันตัวเดินออกไป
งานเยอะแยะ จะเข้าไปนอนพักได้ยังไง ต้องไปสั่งให้พวกผู้หญิงทำกับข้าวอีกแล้ว
เขาก็แค่แวะมาถามดู
เมื่อคืนฟังเรื่องค้างๆ คาๆ มันขัดใจ เลยกลัวว่าวันนี้พั่งยาจะไม่เขียนนิยายต่อ หยุดกลางคัน มันหงุดหงิดใจ
ซ่งฝูหลิงไม่รู้ว่า ‘เรื่องเล่าแฟนตาซี’ ของนางมีอิทธิพลขนาดไหนสำหรับคนยุคโบราณอย่างแท้จริง
พวกเขาไม่เคยได้ฟังเรื่องที่แม้แต่จะคิดยังไม่กล้าคิด อย่างมนุษย์ไปอยู่ลอยบนฟ้าได้ ลอยไปทั่วท้องฟ้า ฟังแล้วก็ได้แต่อึ้ง
ประเด็นคือ เขายังลอยอยู่ไง ไม่รู้ว่าตกลงมาตายแล้วหรือยัง
ต้องมาฟังพั่งยาเล่าต่อคืนนี้