ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 323
พวกเกิ่งเหลียงมาในครั้งนี้ ไม่ค่อยได้พกเงินมาเพื่อใช้จ่ายมากนัก
เพราะคิดว่าอยู่ห่างเมืองเฟิ่งเทียนไม่ไกลและไม่ได้ออกไปรบ จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมพวกอาหารก่อนออกเดินทาง
ของที่คนกินก็มีเพียงข้าวสารกระสอบหนึ่ง
ถ้าอยากกินอาหารดีๆ ก็ขึ้นเขาไปหาเพิ่ม
ที่เอามาเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารเลี้ยงม้า
ม้าศึกจะกินอะไรสะเปะสะปะไม่ได้
แม้หัวหน้าเริ่นจะเตรียมอาหารม้าอย่างดีไว้ให้ แต่พวกเกิ่งเหลียงไม่ได้วางแผนใช้อาหารม้านั้นให้พวกมันกิน
เขาสอบถามซ่งฝูเซิง “แล้วพวกม้านี่ จะให้เอาไปไว้ที่ไหน?”
ดูสิ ขนาดตัวเองยังไม่ค่อยใส่ใจว่าจะพำนักอยู่ที่ไหน
อาศัยพักแรมข้างนอกมาหลายปี ไม่ว่าที่พักจะเป็นแบบไหนก็มักจะเป็นห่วงม้าศึกมากกว่า
ซ่งฝูเซิงพูดขึ้น
“เจ้ารอสักครู่ ข้าไปเอาม้าตัวเล็กของข้าออกมาก่อน จะได้มีคอกม้าว่างให้กับพวกท่าน มันเป็นคอกม้าที่สร้างใหม่…
…พวกข้ายังมีห้องว่างหนึ่งห้องกับอีกครึ่งห้องที่เมื่อก่อนวางฟืนกับถ่าน…
…ท่านไปดูก่อนสิว่าใช้ได้หรือไม่…
…ถ้าใช้ไม่ได้ ถ้าสองสามวันนี้พวกเจ้าไม่ได้ขี่ม้า ข้าจะรีบไปปรึกษาหลี่เจิ้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ให้คนในหมู่บ้านช่วยกันหาห้องว่างไว้หลายห้อง”
เสี่ยวหงถูกดึงออกมา พบพวกพ้องเดียวกันหลายตัว มันก็ถึงกับนิ่งงัน
แต่เมื่อรู้สึกตัวมันก็แหงนหน้าขึ้นและส่งเสียงออกมาทางจมูก
พันธุ์เดียวกันมอง “…”
เมื่อเสี่ยวหงปรากฏตัวออกมาก็ดึงดูดความสนใจของเหล่าทหาร แต่ละคนก็เลิกขนหญ้าแล้ว พวกเขาหยุดมองมันแทน
ถ้าเทียบกับยุคปัจจุบัน เสี่ยวหงก็เหมือนกับรถหรูหราคันหนึ่ง
อย่าคิดว่ามันยังเป็นม้าเล็ก
ม้าศึกตัวอื่นเหล่านั้น เทียบไม่ได้กับมันไม่ได้สักตัว
มันเป็นม้าที่ดูสะดุดตามาก ม้าศึกตัวอื่นนั่นเป็นม้าธรรมดาที่หาได้ทั่วไป
เหล่าทหารชี้ไปที่เสี่ยวหงด้วยความตื่นเต้น “พวกเจ้าทำไมถึงมีม้าแบบนี้? มันเหมือนม้าของชานเจียงมาก ไม่มีขนสีอื่นแซมเลยสักเส้น”
เกิ่งเหลียงยิ้มพร้อมกับพูดคลายความสงสัย “พวกเจ้าจำไม่ได้หรือ? นี่เป็นม้าของบ้านชานเจียง สีแดงเข้ม พี่ซ่ง ข้าพูดถูกไหม?”
ตั้งแต่เกิ่งเหลียงมาถึงที่นี่ เขาก็เรียกซ่งฝูเซิงว่า “พี่ซ่ง” เรียกให้เกียรติท่านลุงซ่งว่า “ท่านลุง”
เขาบอก จะได้ไม่ต้องดูห่างเหิน เรียกตามลำดับอายุก็ได้
แต่ซ่งฝูเซิงกับท่านลุงซ่งไม่สามารถเรียกเขาว่า เสี่ยวเกิ่ง ยังคงเรียกเขาตามเดิมว่า รองผู้บัญชาการเกิ่ง
“รองผู้บัญชาการเกิ่ง ท่านสายตาเฉียบแหลมนัก นั่นเป็นม้าที่ท่านแม่ทัพลู่มอบให้กับลูกชายคนเล็กของบ้านข้า”
“อ้อ พาเขาออกมาให้ข้าดูหน่อย”
“ตอนที่พวกท่านมา ลูกชายคนเล็กยังมอบดอกไม้ให้ หันมาอีกทีก็วิ่งไปไหนแล้วไม่รู้ เด็กคนนั้นซนมาก หมี่โซ่ว หมี่โซ่ว? ออกมาให้พี่ทหารดูตัวเจ้าหน่อยสิ”
หมี่โซ่วที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาตอนอยู่บ้านเดินออกมา
ไม่เหมือนตอนแต่งตัวดีเข้าเมือง
แต่ใบหน้าเล็กขาว หน้าตาหล่อเหลา ท่านป้าของเขาเช็ดจนสะอาด ทุกวันตอนเย็นยังใช้นมทาหน้าแล้วค่อยทาครีมตาม ผิวพรรณย่อมดีกว่าเด็กของครอบครัวอื่น
อาจเป็นเพราะลู่พั่นเอ็นดู เกิ่งเหลียงรู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้ฉลาดหลักแหลมมาก เหล่าทหารก็มองหมี่โซ่วด้วยความสนใจ ม้าชั้นดีถูกชานเจียงมอบให้เด็กคนนี้?
หมี่โซ่วเดินมาอยู่ข้างหน้าเสี่ยวหง เขาลูบขนของเสี่ยวหง “ต้องให้มันไปอาศัยอยู่เบียดเสียดกับวัวไหม?”
เกิ่งเหลียงนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าหมี่โซ่ว เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ให้อยู่ร่วมกับม้าตัวอื่นก็ไม่เบียดกัน เจ้าขี่ม้าเป็นไหม?”
หมี่โซ่วส่ายหน้า “เคยแค่นั่งบนหลังม้าสามสี่ครั้ง ซื่อจ้วงขี่ม้าเป็น แต่เขาพูดไม่ได้”
เกิ่งเหลียงอุ้มหมี่โซ่ว “ข้าจะสอนเจ้าเอง”
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หมี่โซ่วก็คุ้นเคยกับพวกพี่ๆ ทหาร
เขากลายเป็นไกด์ตัวน้อยๆ
และทำให้เหล่าทหารรู้สึกเป็นกันเอง
เพราะถ้าให้ซ่งฝูเซิงกับท่านลุงซ่งคอยมาเป็นเพื่อนและคอยแนะนำสถานที่ แม้พวกทหารจะแสดงท่าทีสนิทสนมบ้าง แต่พวกเขาก็ยังต้องระมัดระวังท่าทางอยู่
แต่กับหมี่โซ่วนั้นไม่เหมือนกัน
“นี่ นี่เรียกว่า อ่างน้ำแข็ง พี่สาวข้าเป็นคนทำ ข้าขอบอกกับพวกท่านเลยว่า พี่สาวข้าฉลาดมาก”
“นี่เอาไว้ใช้เล่นหรือ?”
“พวกเราไม่ได้เล่น พี่สาวบอกว่า ต้องฝึกออกแรงขาจะได้ตัวสูงๆ มีการแบ่งกันเป็นหลายฝ่าย นั่งอยู่บนอ่างน้ำแข็ง โดยมีคนดันอยู่ข้างหลัง ถ้าฝ่ายไหนเข้าเส้นชัยได้อย่างรวดเร็วก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ”
“นี่ นี่เป็นกระท่อมหลังใหม่ ท่านปู่เกาตั้งใจสร้างไว้ให้กับพวกท่าน พวกท่านไม่ต้องกังวลใจ พวกเราไม่มากวนหรอก อย่าได้เกรงใจ”
คำพูดนี้ของหมี่โซ่ว ทำให้เหล่าทหารหัวเราะออกมา
คิดในใจ เรื่องนี้พวกข้าไม่เกรงใจหรอก
“อืม นี่คืออะไร?”
เกิ่งเหลียงอุ้มหมี่โซ่วและบอกกับเขา “นี่คือปืน” เป็นปืนใหญ่ขนาดเล็ก
“อะไร? มันยาวเหมือนท่อของเตาเลย ปืนคืออะไร สามารถยิงไปได้ไกลไหม ขอข้าลูบหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ” เหล่าทหารต่างช่วยกันดึงผ้าที่คลุมอุปกรณ์ทางการทหารออก
ภายใต้ผืนผ้าไม่ได้เพียงมีแค่ปืนใหญ่ขนาดเล็ก แต่ยังมีหอก มีดสั้น มีดดาบ ตาข่ายที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ และของอื่นๆ อีก
นอกจากนี้ บนร่างกายพวกเขายังมีปืนพกติดตัวอีกหลายกระบอก
หมี่โซ่วอ้าปาก ดวงตาเบิกกว้าง “ว้าว!”
เขาตะโกนเรียก “ซ่วนเหมียวจื่อ เสี่ยวเนียนปา พี่จินเปา รีบมาดูสิ จะได้เปิดหูเปิดตา”
อย่าว่าแต่พวกเด็กๆ เลย แม้แต่ซื่อจ้วง ซ่งฝูกุ้ย เถียนสี่ฟาที่เป็นผู้ใหญ่ รวมถึงพวกเด็กหนุ่มเกาเถี่ยโถวหลายสิบคน ก็ทำทีเป็นเดินผ่านและเหลือบมอง
เกิ่งเหลียงกวักมือเรียก “มาๆ เดินมาดูกันให้หมด”
ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งบอก “ใช่แล้ว ไหนๆ ใครที่เกือบโดนหมาป่าควักหัวใจ?”
ซ่งฝูกุ้ยเอามือกุมหัวใจ “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยเอง”
“มานี่ๆ ของพวกนี้เป็นของเจ้า ท่านซุ่นจื่อให้ขนมาให้” ทหารหลายนายชี้ไปที่ห่อผ้าสัมภาระห้าห่อใหญ่ที่อยู่บนรถม้าคันหนึ่ง
ซ่งฝูกุ้ยถึงกับตาโต “ให้? ให้ข้า? ท่าน ท่านซุ่นจื่อ?”
ไม่อยากจะเชื่อเลย
แม้แต่ผู้สูงศักดิ์ก็ยังจดจำเขาได้?
นี่หมายความว่าอะไร หมายถึงว่า เขากับหมี่โซ่วมีหน้าตาหล่อเหลาเหมือนกันแน่ๆ
อาจเป็นเพราะดีใจมากไป เขาอยากไปดูห่อผ้าใหญ่ทั้งห้าห่อและไม่ได้สนใจปืนใหญ่อีกต่อไป ซ่งฝูกุ้ยรีบเดินจนลื่นล้มก้นกระแทกพื้น
คนโตลื่นล้ม
พวกเด็กๆ ตบมือหัวเราะชอบใจ พวกเขาพูด “น่าขายหน้า”
เหล่าทหารก็หัวเราะตาม
คนของพวกเขาเองก็หัวเราะตาม แต่ละคนส่งเสียง “ฮ่าๆ”
ยังไม่มีใครไปช่วยพยุงขึ้นมาอีก
บรรยากาศเปลี่ยนมาคึกคักขึ้นทันที
มีทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งพูดขึ้น “มีสถานที่ให้ม้าอยู่แล้ว อาหารและหญ้าก็ใส่ไว้ให้เรียบร้อย พวกเรามาช่วยชาวบ้านกวาดทำความสะอาดเรือนเถอะ ข้าเห็นถนนสายนั้นมีหิมะทับถมเต็มไปหมด เดินทางไป-กลับคงลำบาก”
รีบมีน้ำเสียงตอบรับ
ท่านลุงซ่งรีบโบกมือปฏิเสธ ไม่ต้อง ไม่ต้อง เพราะสองวันนี้พวกข้ายุ่งมาก เลยไม่มีเวลาว่างกวาดหิมะ พวกเจ้าไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวพวกข้าลงมือทำเอง
เหล่าทหารต่างไม่ฟัง
เป็นทหารมักจะพูดน้อย
พวกเขาถือไม้กวาดเริ่มทำงานกันทันที
ซ่งฝูเซิงก็เกรงใจ เขาพูดอย่างสุภาพ “มาเป็นแขก จะให้พวกท่านกวาดพื้นได้อย่างไร สองวันมานี้ยุ่งจริงๆ ขนย้ายถ่าน นำถ่านไปขายก็ต้องใส่ถุง ไปขายที่อำเภอถงเหยา หลังจากนั้น…”
หลังจากนั้นก็พูดกับเหล่าทหารว่า “ทำเสร็จแล้วหรือยัง? มา พวกเรามาช่วยกัน”
ซ่งจินเป่ารีบเข้ามา “ใต้เท้า ท่านเคยสวมอันนี้ไหม? นี่เป็นรองเท้าสเก็ตของลุงสามข้า”
ซ่งฝูเซิงได้ฟังก็รีบหันหน้าไปมอง “เจ้าเด็กแสบ ไปแอบเอารองเท้ามาให้เขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มาให้เขาดูทำไม”
เกิ่งเหลียงมองรองเท้าสเก็ตด้วยความสนใจ เขาเหลือบมองซ่งฝูเซิง และพาพวกเด็กๆ ไปยังริมแม่น้ำ
ท่านย่าหม่ารีบกลับมาบ้าน ยังไม่ทันข้ามสะพานก็พบว่าวันนี้หมู่บ้านดูคึกคักมาก
ตอนเย็นมีคนยืนอยู่ริมแม่น้ำ ทุกคนต่างถือคบไฟ ไม่รู้ว่ากำลังดูอะไรกัน