ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 317 น่าสนใจริง
เมื่อเสียงฆ้องดังขึ้น ก็มักจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงฆ้องก็รีบวางงานที่ทำอยู่ในมือ ต่างพากันทยอยเดินมาที่ศาล
หญิงที่แต่งงานแล้วที่สวมผ้ากันเปื้อน กำลังเลี้ยงหมูอยู่ก็วิ่งออกมา
มีพวกท่านลุงที่รีบร้อนสวมเสื้อกันหนาวออกจากบ้านมา
มีท่านยายที่สองมือซุกในกระเป๋าเสื้อ มีลูกสะใภ้สองคนคล้องแขนนางทั้งสองด้าน
มีคนทุกสภาพ
พวกเขาต่างเดินมาทางศาล คนก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนเดินไปก็สอบถามเรื่องราวไปด้วย “เรื่องอะไรกัน?”
“ได้ยินมาว่า ดูเหมือนหลี่เจิ้งของหมู่บ้านเราถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว มีเจ้าหน้าที่มาติดประกาศ”
พวกชาวบ้านถอนหายใจอย่างโล่งอก
พวกเขาคิดว่าเป็นข่าวเกณฑ์ทหาร เกณฑ์แรงงานคนหรือเก็บส่วยเสบียงอาหาร จึงแอบหวั่นจนใจสั่น
มีทั้งคนที่เพิ่งจะล้มตัวลงนอนที่บ้า และเด็กที่เริ่มหัดเดิน ก็แบกและอุ้มออกมา เพราะคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
พวกเขาโล่งใจที่ไม่เกี่ยวกับพวกเขาและเริ่มพูดคุยสอบถามเรื่องราวกัน
พูดคุยกันมาตลอดทางจนถึงหน้าประตูศาล มองเห็นเจ้าหน้าที่สองคนแต่ก็ไม่อาจหยุดคำพูดสนทนาเหล่านั้นได้
ในเมื่อมาแล้ว ถ้าไม่ได้พูดคุยกันก็เหมือนเสียเวลาเปล่า
“ออกจากตำแหน่งแล้วหรือ?”
“ทำไมเขาถึงปลดออกจากตำแหน่งนะ เป็นเพราะอะไรล่ะ”
“เป็นเพราะเรื่องหมาป่าเข้ามากัดคนในหมู่บ้านของพวกเราใช่หรือไม่ จนมีคนตาย”
“ไม่น่าใช่นะ เขาไม่ได้เป็นคนกัดสักหน่อย โทษเขาไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
มีคนทำเหมือนรู้ดี เขาพูดขึ้นมา “ทำแบบนั้นก็ไม่ได้ เขาเป็นหลี่เจิ้ง เมื่อหมาป่ามาเขาก็ต้องเป็นผู้นำในการจัดการ”
“เขาเป็นคนนำถึงถูกกัด ไม่ใช่ข้าพูดถึงเขาเพียงคนเดียว”
“โอ้ ที่พวกเจ้าพูดมาไม่ถูกต้องหรอก ข้ารู้แล้ว เขาคงโกงเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์แน่”
คำพูดนี้เป็นเสมือนคำพูดที่จุดชนวนให้ทุกคนนินทากัน
แม้ว่าเริ่นกงซิ่นจะช่วยคนในหมู่บ้านให้มีรายได้ พวกเขาจึงไม่กล้านินทาเสียงดัง แต่ก็อดซุบซิบนินทาไม่ได้
“เขาช่างใจกล้ามาก”
“จริงหรือ? บ้านเขาก็ไม่ได้ขาดแคลนอาหาร เขาจะทำไปทำไม?”
“หากประหยัดได้ก็ต้องประหยัด เจ้ายังไม่รู้สินะว่าหลี่เจิ้งในหมู่บ้านเราเป็นคนแบบไหน?”
“ใช่ ขนาดเวลาที่เขารับซื้อไก่ ยังถอนขนไก่หักน้ำหนักไปหลายกิโลเลยนะ”
“แล้วลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้คนโตของเขาไม่สนใจเขาบ้างเหรอ? โชคดีอะไรเช่นนี้ นั่นมีจวนโหวมิใช่หรือ แม้เขาจะโกงกิน แต่เพียงแค่พูดไม่กี่ประโยคก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว ทำไมถึงหลุดออกจากตำแหน่งได้?”
และมีอีกคนที่ชอบทําตัวว่า ตนเองเข้าใจเป็นอย่างดีเดินออกมา เขาใช้ข้อศอกแตะคนข้างกายและกระซิบบอก
“น่าจะบอกมาแล้ว ถึงได้แค่ปลดออกจากตำแหน่งเท่านั้น ไม่ถึงขั้นหัวหลุดจากบ่า ถ้าเป็นคนอื่นละก็…”
คนนี้พูดพลางทำท่าปาดคอ “แค่ลงดาบไป เลือดก็ไหลออกมาจากคอหอย”
ลูกชายคนรองประคองเริ่นกงซิ่นเข้ามา เมื่อได้ยินคําพูดนี้
ทำให้เริ่นกงซิ่นโกรธมาก
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เขาดึงผ้าคาดหน้าผากออก
เมื่อดึงผ้าที่คาดหน้าผากออกมาแล้ว เขาอยากแสดงให้ทุกคนรู้ว่าเขาป่วย
มือหนึ่งกุมคอไว้ “เจ้า? ซูเหล่าซาน เจ้าพูดภาษามนุษย์หรือไม่!”
“อยากโดนชกใช่ไหม?” เริ่นจื่อจิ่วผลักซูเหล่าซานที่กำลังพูด “เลือดไหลออกมาแล้ว”
เจ้าหน้าที่สองคนรีบชักดาบออกมาทันที “ทําอะไรกัน คิดว่าพวกข้าเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร”
เริ่นกงซิ่นโมโหจนเหนื่อยหอบ เขาคว้าแขนของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งไว้ “เรียนถามใต้เท้า ข้าทําผิดอะไรใหญ่หลวง ข้าป่วยอยู่ที่บ้านมาตลอด ข้าไม่ได้ทําอะไรเลย!”
เขากระทืบเท้า ผมเผ้าเริ่มหลุดจนยุ่งรุงรัง
ลูกชายคนโตของเริ่นโยวจินรีบพูดขึ้น “ลุงกงซิ่น อย่าทําให้เจ้าหน้าที่ลำบากใจ ท่านคงไม่ให้ลูกชายคนโตของท่านที่มีอํานาจมากดดันเจ้าหน้าที่หรอกนะ? เพราะอะไรหรือ? ประกาศนี้ก็เขียนไว้อย่างชัดเจนแล้ว เพราะท่านไม่ทําอะไรเลยถึงได้เปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นพ่อของข้า”
“นี่ หมาน้อย” มีชายชราคนหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมา
หมาน้อย?
ซ่งฝูเซิงกับท่านลุงซ่งได้ยินก็มองหน้ากัน
สามีของพี่สะใภ้สี่กระซิบบอก “ได้ยินมาว่าชื่อเล่นของลุงกงซิ่นคือ หมาน้อย”
“เจ้าจะเป็นหลี่เจิ้งหรือไม่ ข้าไม่สน เงินค่าไก่เมื่อปีที่แล้ว เจ้าก็ควรจะคิดเงินแล้วจ่ายเงินให้คนในหมู่บ้านได้แล้ว”
เริ่นกงซิ่นหน้าแดง “ลุงสาม ท่านเป็นลุงสามแท้ๆ ของข้า ประกาศติดแปะไว้ตรงนั้น ข้าลงจากตำแหน่งแล้ว ท่านจะได้ผลดีอะไร? ตอนนี้ทุกคนกําลังมองดูอยู่ ท่านกลับมาถามข้าถึงเรื่องเงิน?”
ชายชราเองก็มีสีหน้าหมดความอดทน หลังของเขาค่อม หนาวจนน้ำมูกไหล เขารีบพูดขึ้น
“หมาน้อย ข้าเป็นลุงสามของเจ้า เจ้าติดหนี้ข้ามาครึ่งปีแล้ว…
…เจ้าอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่โอ่อ่ามีแสงสว่าง ส่วนบ้านของข้า ผนังด้านนอกสร้างได้แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งไม่สามารถสร้างได้…
…เจ้าคิดว่าทุกคนจะไม่หัวเราะเยาะข้าหรือ?…
…หลานชายเป็นหลี่เจิ้ง แต่ลุงแท้ๆ ไม่มีปัญญาซื้ออิฐมาสร้างกําแพงด้านนอกได้…
…เจ้าอย่าดึงเรื่องนั้นมาเกี่ยวข้อง มันไม่เกิดประโยชน์อะไร ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะไปกินข้าวที่บ้านเจ้า…
…ข้าเป็นลุงสามของเจ้าไม่ใช่หรือ พวกเราเป็นญาติพี่น้องกัน เจ้าต้องเลี้ยงดูข้า ก็สมควรแล้ว”
อีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา “หมาน้อย”
ซ่งฝูเซิงลูบหน้าและแสร้งทำเป็นมองที่อื่น เขาอดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ มันช่างน่าขันจริงๆ
ไม่ได้เป็นหลี่เจิ้งแล้ว ก็กลายเป็นหมาน้อยไปทันที
ในที่นี้ หากไม่มีหัวหน้าเริ่นเข้ามาแทรกแซง ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ นี่เป็นการเยาะเย้ย เมื่อคนเยอะก็ตะโกนเรียกว่า หมาน้อย
“หมาน้อย อย่าคิดว่าพวกข้าอายุมากแล้วจะสติเลอะเลือนไป…
…ขุนนางสามารถเป็นหนี้คนในหมู่บ้านได้ด้วยหรือ? คนอื่นต้องมาเสียเวลาทวง?…
…ถ้าอยากจะเอาของฟรีๆ ก็ไปเอากับคนใกล้ตัว คนในหมู่บ้านมีใครจะกล้าพูดปฏิเสธ?…
…แต่ขุนนางบอกว่าซื้อ…
…เงินนั่นข้าได้ให้เจ้าตั้งไปนานแล้ว เจ้าก็แค่จ่ายเงินออกไปก็ได้แล้ว จ้าวเอ้อร์สี่ใช้ที่นาแลกเงินกับเจ้า ส่วนเจ้า ใช้เงินที่มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของพวกเรา แถมบวกกำไรเข้าไปอีก ก่อนจะให้คนนอกยืม เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่ไม่รู้เรื่องเลยหรือ?…
…ข้าก็เหมือนกับลุงสามของเจ้า เจ้าจะลงจากตำแหน่งหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่ต้องคิดเงินมาให้พวกข้าก่อน”
เริ่นจื่อจิ่วพยุงพ่อของเขาที่โกรธจนตัวสั่น เขาตะโกนเสียงดัง
“หลายปีมานี้ ท่านพ่อของข้าเป็นหลี่เจิ้งของพวกเจ้า ถึงไม่มีความดีความชอบแต่ก็ตั้งใจทำงาน ตอนนี้พวกเจ้าแต่ละคนมาเค้นถามเขาเรื่องเงิน คอยเหยียบย่ำพวกเรา…
…ข้าจะบอกกับพวกเจ้าไว้ ปีหน้าครอบครัวข้าจะไม่รับซื้อไก่ของพวกเจ้าอีกแล้ว…
…วันนี้ใครพูดนินทาท่านพ่อของข้า ท่านพ่อข้าอายุมากแล้ว ความจําไม่ค่อยดี แต่ข้าจด จําได้ เมื่อกลับไปข้าจะบอกกับพี่ชายใหญ่ของข้า”
หลายคนไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว เพราะพวกเขามีจุดอ่อน
แต่หญิงชราคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา
“หลายสิบครัวเรือนเลี้ยงไก่มาปีกว่าแล้ว ไม่เห็นเงินแม้แต่แดงเดียว…
…ไปสอบถามถึงที่บ้าน อย่าไปถามเลย เพราะเวลาถามทีไรก็บอกว่าทางการยังไม่ได้คิดเงิน…
…ข้ามองออกว่าพวกเจ้าไม่มีความน่าเชื่อถือ…
…ขู่ใครกัน? ปีหน้าพวกข้าก็คงไม่ขายได่ให้กับพวกเจ้าแล้ว…
…ข้าจะฆ่า ปล่อยให้เลือดไหลยังได้ยินเสียง กินเนื้อก็ไม่เหนื่อยเปล่า”
เริ่นกงซิ่นพูดอย่างโมโห “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ลูกชายคนโตของข้าเป็นใคร พวกเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร? ไม่สนเงินเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเจ้าแค่นี้หรอก เจ้าหน้าที่ยังไม่จากไป พวกเจ้าก็กล้าทำตัวโอหังเช่นนี้แล้วหรือ พวกเจ้านี่…”
“เจ้าบังอาจนัก”
หัวหน้าเริ่นจับเสื้อคลุมขึ้น เขายืนอยู่ตรงหน้าเริ่นกงซิ่น
วันนี้ซ่งฝูเซิงถือว่าได้เพิ่มพูนความรู้ขึ้นจริงๆ พูดตามเหตุผลยังเทียบไม่ได้กับการด่าทอกันอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
ซิ่วไฉอะไร ทำตัวไม่เหมาะสมกับฐานะ แต่เมื่อถูกกดดันมากๆ ก็ทนไม่ไหว ดูสิ หัวหน้าเริ่นเหมือนเด็กน้อยเลย แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าบอกว่าใครบังอาจ? เจ้าไม่ได้เป็นหลี่เจิ้งแล้วนะ…
…ข้าควรจะพูดว่าเจ้านั่นแหละที่บังอาจมากกว่า…
…อ่านประกาศเลย ไม่ต้องไว้หน้าเขา บอกกับทุกคนว่า เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะอะไร และทำไมถึงได้ขึ้นไปรับตำแหน่งแทน”
……
“ฮะ” ท่านลุงซ่งที่ยังไม่ทันข้ามแม่น้ำไป มือหนึ่งของเขาพยุงไม้ค้ำ อีกมือหนึ่งปิดปาก เขาพยายามกลั้นหัวเราะอยู่
ซ่งฝูเซิงถามเขาว่า “น่าสนใจไหม?”
“น่าสนใจมาก”