ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 307 ด่ากราด
ฉีหมิงก็กินเกี๊ยวไส้หัวไชเท้าจากที่นี่ก่อนแล้วถึงไป
กินแค่เกี๊ยวไม่พอ ยังกินขนมเค้กไปหลายชิ้นอีกด้วย ซ่งฝูหลิงเป็นคนเอามาให้
ก็ไม่มีปัวปัวแล้วนี่นะ
มองเกี๊ยวที่อยู่ในจาน กินไม่กี่คำก็หมดแล้ว บนถาดก็ไม่มีเกี๊ยวสดเหลือแล้วด้วย
ซ่งฝูเซิงแหวกม่านออกไปตะโกน “ลูกพ่อ เอาขนมเค้กมาให้หมด”
ซ่งฝูเซิงคิดว่า ในหมู่บ้านยังมีพวกลูกน้องมือปราบอยู่อีก ฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องออกมาทำงานที่นี่แล้ว อีกทั้งยังเป็นเทศกาลตงจื้อ คนโบราณให้ความสำคัญมาก
หมู่บ้านเหรินจยาไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นหมู่บ้าน
เมื่อมาถึงที่เขา ถึงแม้จะทำให้อิ่มกันครบทุกคนไม่ได้ แต่พวกเราก็ต้องมีน้ำใจ พวกเรากับมือปราบจากเมืองถงเหยาพวกนี้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
อย่าให้คนเขาพูดได้ว่า พวกคนที่อยู่ฝั่งนั้นก็ไม่ต่างจากพวกคนในหมู่บ้านเหรินจยา
ซ่งฝูเซิงไม่ได้เรียกแม่ตัวเอง แต่ตะโกนเรียกลูกสาวเพราะกลัวแม่ตระหนี่
ท่านย่าหม่าใจแคบ อย่าคิดมากเรื่องพวกนี้ ต่อให้ขายหน้าแค่ไหนก็คงให้ได้แค่ไม่กี่ชิ้น แถมยังต้องเหนื่อยอธิบายกับนางอีก งกเหลือเกิน
ตอนที่ซ่งฝูหลิงเข้ามา ฉีหมิงที่เป็นชายชาติทหารกำลังเอาหัวหอมจิ้มน้ำจิ้มพริก กัดอย่างเต็มปากเต็มคำ กินจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ยกชามไม้ขึ้นมาซดน้ำแกงอย่างเอร็ดอร่อย
ทันใดนั้นม่านก็ถูกแหวกออก สาวน้อยส่งขนมเค้กที่แสนงดงามปรากฏกาย เขาสำลักทันที ไอไม่หยุด
นี่คือหญิงสาวชาวบ้านรึ ทำไมไม่เหมือน
ซ่งฝู่เซิงเติมน้ำแกงเกี๊ยวให้เขาอีกชาม “ไม่เป็นไร คนกันเอง นี่ลูกสาวของข้า”
ที่แท้ก็เป็นหญิงสาวชาวบ้านจริงๆ
ปากของฉีหมิงมีแต่กลิ่นหัวหอม เขาพูดด้วยความเขินอายเล็กน้อย “แม่นางซ่ง”
แม่นางซ่งไม่ได้พูดอะไร ท่าทางเรียบร้อย วางถาดขนมลงแล้วส่งสายตาบอกท่านพ่อของนาง ในห่อนั่นเป็นขนมทั้งหมด เอาออกมาหมดแล้ว ไม่ต้องขออีก นางจะออกไปแล้วนะ
ต่อมาฉีหมิงก็กลับ
ซ่งฝูหลิงถึงได้รู้จากท่านพ่อของนางว่า เมื่อก่อนฉีหมิงน่าจะเป็นพลม้าธนูที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง และก็น่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในสายตาของเพื่อนทหาร
ในสงครามครั้งหนึ่งที่ลู่พั่นเป็นคนนำทัพ แขนขวาของฉีหมิงถูกธนูอาบยาพิษ ทว่าก็ยังสามารถยิงแม่ทัพฝ่ายศัตรูตกจากหลังม้าได้
ต่อมาก็ต้องสูญเสียแขนขวาไปครึ่งหนึ่ง
ออกจากค่ายทหารเสินจี
ค่ายทหารเสินจีก็คือค่ายพิเศษที่ดูแลจัดการเกี่ยวกับอาวุธเพลิง หน่วยปืนใหญ่ที่เป็นเอกเทศ
ตอนนี้ตำแหน่งของลู่พั่นก็คือเป็นหัวหน้าของที่นั่น
ลู่พั่นเสียดายฉีหมิง จัดการหาตำแหน่งลงให้ฉีหมิง ไม่ให้เขากลับไปทำไร่ทำนาที่บ้านเกิด
เรื่องนี้อันที่จริงก็จัดการยากอยู่พอสมควร คนที่ร่างกายมีความพิการแบบนี้ อย่าว่าแต่หางานยากในสมัยโบราณ ต่อให้เป็นยุคปัจจุบันตำแหน่งงานก็มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งก็จัดการยากเช่นกัน โดยเฉพาะตำแหน่งมือปราบ มือปราบที่สูญเสียแขนขวาครึ่งหนึ่งจะจับคนได้หรือ
แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ลู่พั่นไม่เคยทำเรื่องไร้สาระ
ฉีหมิงที่ปลดระวางจากสนามรบ สูญเสียแขนขวาครึ่งหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นคนถนัดซ้าย
บังคับตัวเองให้ฝึกจับดาบจับกระบี่ด้วยมือซ้าย แม้จะมีแขนอยู่ข้างเดียว ทว่าคนทั่วไปก็สู้เขาไม่ได้ อยู่ข้างนอกไม่เคยทำให้ลู่พั่นขายหน้า
หลายอำเภอแถบนี้ต่างรู้ว่ามือปราบของเมืองถงเหยาแขนด้วนหนึ่งข้าง
ซ่งฝูหลิงฟังเรื่องพวกนี้จบ สิ่งแรกที่คิดได้คือ แม่ทัพเล็กไม่น่าใช่คนที่จะเอาแบบร่างของนางไปศึกษาอย่างสูญเปล่า ดูจากนิสัยของเขา ดูจากตัวตน การปฏิบัติตัว
แม้อายุยังน้อย แต่ก็น่าเชื่อถือมาก
ถ้าอย่างนั้น ที่เขาเอาแบบร่างของนางไปอย่างไม่มีสาเหตุคงไม่ใช่ว่าจะเอาไปช่วยนางทำออกมาหรอกนะ
เช่นนั้นถ้าช่วยนางทำออกมาได้ นางจะรับมาฟรีๆ ไม่ได้ ต้องให้เงิน
แต่มันควรให้เท่าไรล่ะ นางยังไม่ได้เก็บเงินเลยนะ
อีกทั้ง ถ้าเป็นคุณชายลู่ลงมือ เครื่องคั้นน้ำกับเครื่องตีไข่ก็น่าจะทำเสร็จเร็วหรือเปล่า อย่างเขาต้องการช่างก็มีช่าง ต้องการอะไรก็มีหมด
ซึ่งก็หมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่แค่ไม่กี่วันก็เอามาส่งให้แล้ว
ซ่งฝูหลิงไม่มีความง่วง
แม่จ๋า นางต้องรีบหาเงินแล้ว
จะทำแบบว่า พอเขาเอามาให้นางก็บอกว่าอีกสองสามวันค่อยให้เงิน แบบนี้ก็ไม่ได้
นางอายที่จะเอาเปรียบ ยอมให้เงินเยอะดีกว่าให้น้อยเกินไป
“ไปไหนน่ะ” เฉียนเพ่ยอิงเพิ่งห่มผ้าเสร็จ
งงใจ ลูกสาวนางบ่นว่าง่วงไม่ใช่เหรอ อยากนอนให้เต็มอิ่ม อีกทั้งยังบอกย่าหม่าด้วยว่าห้ามรบกวน
แล้วนี่ใส่รองเท้าจะออกไปไหนอีก
หมี่โซ่วเองก็หาวอยู่ในผ้าห่ม ยื่นแขนออกมา “พี่สาว เข้ามาอยู่ในผ้าห่มสิ”
“ข้าเหรอ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะมาจากด้านนอก
ท่านลุงซ่งพูด “ทุกคน หยิบอาวุธแล้วตามข้ามา”
พอถูกขัดจังหวะ เฉียนเพ่ยอิงก็ไม่สนใจว่าลูกสาวจะทำอะไรแล้ว ฟังเสียงนี้ดูเหมือนจะไปรบกัน
นับตั้งแต่ท่านลุงซ่งมาอยู่ที่นี่ อย่าว่าแต่ออกจากหมู่บ้านเลย แม้แต่สะพานที่สร้างใหม่นั่นก็ไม่เคยไปเหยียบ
เป็นครั้งแรกที่บอกว่าจะเข้าไปในหมู่บ้าน และก็เป็นครั้งแรกที่แสดงออกว่าจะต้องคุยกับคนในหมู่บ้านให้ได้
เห็นคนอื่นไม่เคยเป็นหลี่เจิ้งหรือยังไง
ซ่งฝูเซิงห้ามเขา เมื่อครู่ฉีหมิงกินข้าวพลางพูดกับเขาเป็นการส่วนตัว เขายังไม่ทันได้บอกท่านลุงซ่ง นี่ก็จะตามไปลุยกันแล้ว
“ฟังข้าพูดก่อน ไม่จำเป็นจริงๆ
ถึงแม้คุณชายลู่จะไม่พูดอะไร แต่การที่เขามาที่นี่ก็เป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่ง
คนบางคน เมื่อมีฐานะที่สูงในระดับหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ไม่ต้องแสดงออก ไม่ต้องแอบสื่อความนัย คนระดับล่างก็รู้ว่าต้องไปจัดการอย่างไร ยื้อแย่งกันไปจัดการให้
แล้วจะลำบากไปทะเลาะกับคนในหมู่บ้านทำไม
หลี่เจิ้งคนนั้นอวดดีได้อีกไม่กี่วันหรอก เชื่อข้าสิ มือปราบฉีก็บอกแล้ว
งานพวกเรามีเป็นกองพะเนิน อะไรที่ต้องจัดเก็บก็ไปทำให้เรียบร้อย ไม่ต้องไปหรอก”
ท่านลุงซ่งไม่ฟัง นี่มันคนละเรื่องกัน
ถลึงตาใส่พลางพูด
“ฝูเซิง เจ้าเป็นคนในเมือง เจ้าไม่เข้าใจเรื่องในหมู่บ้าน
เรื่องบางอย่างเจ้าไม่พูด ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขา พวกเขาไม่เข้าใจก็จะถูกคนหลอกได้ง่ายๆ
พวกเราอยู่ในหมู่บ้านต้องไปอธิบายต่อหน้า
เจ้าไม่ต้องสนใจข้า เจ้าห้ามตามไป เดี๋ยวจะส่งผลต่อชื่อเสียงของเจ้า
ข้าไม่กลัว ข้าไม่มีอะไรต้องเสีย”
ท่านลุงซ่งโมโห เดินถือไม้เท้านำทุกคนไป
ใครเตือนก็ไม่ฟัง แสดงให้เห็นว่าโมโหมากทีเดียว
ก็มันน่าโมโหนี่
คิดจะมารื้อบ้านของพวกเขา ต้องการให้พวกเขาชดใช้ด้วยสี่ชีวิต ดูถูกกันมากเกินไปแล้ว
อย่าคิดว่าเห็นไม่เป็นอะไรก็จะมารังแกกันได้
ทำไมไม่ลองคิดดูบ้างว่า เพราะแม่ทัพเล็กมา ถ้าไม่มาล่ะ
และที่น่าโมโหกว่าคือ พวกเขาอยู่กันอย่างสงบมาตลอด ไม่หาเรื่องไม่สร้างความเดือดร้อน แทบจะเดินหลบคนในหมู่บ้านเหรินจยา แต่กลับถูกด่าครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งพวกเขาไม่เคยออกหน้า คิดแค่ว่าไม่อยากเพิ่มปัญหา แต่แค่นี้ก็คิดว่าจะรังแกพวกเขาได้ง่ายๆ อย่างนั้นรึ
“ใครต้องการเผาบ้านพวกเรา หา? ใครกล้าก็ก้าวออกมาเลย ข้าจะอัดให้คลานหาฟันทั่วพื้น!”
ท่านลุงซ่งพาพวกผู้ชายไปยืนอยู่ตรงริมน้ำ โมโหโทโส กระทุ้งไม้เท้าในมือพลางตะโกนด่า
เพียงแต่ไม้เท้าออกจะน่าสมเพชไปสักหน่อย เป็นเพียงกระบองไม้
พวกคนที่บ้านอยู่ริมน้ำ พอได้ยินเสียงด่าก็พากันออกมา บางคนถึงจะไม่ออกมาก็ชะโงกหัวอยู่ที่ประตู
อีกทั้งพอได้ยินเสียงด่า พวกเขาก็ไม่ส่งเสียง
เพราะก่อนหน้านี้ มือปราบพวกนั้นได้ยุให้พวกเขาไปเผาบ้านที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ
เอามือผลักคนที่โวยวายให้รีบไปเผาไปฆ่าคนเสีย พลางบอกพวกเขาว่า คนลี้ภัยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพวกนั้นกำลังรับรองบุคคลท่านหนึ่งที่พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด นายอำเภอเห็นยังต้องคุกเข่าอยู่ไกลๆ
พวกเจ้าเป็นชาวบ้านเก่งกว่านายอำเภอ
รีบไปสิ
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังขนาดนี้ อย่ามัวแต่โวยวายกันอยู่ตรงสะพานนี่เลย เดี๋ยวพวกเราจะช่วยนับหัวให้ ฆ่าไม่ครบสี่ ไม่จุดไฟเผาบ้าน ก็อย่ากลับมา
แค่คิดดูก็รู้ว่า คนที่มาร่วมโวยวายต่างพยายามหาวิธีเลี่ยงมือของพวกมือปราบที่ผลักพวกเขา หาจังหวะวิ่งหนีกลับบ้าน กลัวจะถูกจับไป
คนที่หนีไม่รอดก็อ้อนวอน ‘ใต้เท้า พวกเราผิดไปแล้ว พวกเราก็แค่โวยวายส่งเดช ไม่ได้คิดจะเอาจริง’
มือที่จับไม้เท้าของท่านลุงซ่งสั่นเทา
“หลี่เจิ้ง หลี่เจิ้ง อย่าคิดว่าพวกเรามาจากข้างนอกแล้วจะไม่รู้นะ เมื่อก่อนข้าก็เป็นหลี่เจิ้ง
ตรวจนับลูกบ้าน สนับสนุนเพาะปลูก จัดเก็บภาษี ร่วมเคาะตามบ้าน สำรวจประชากร และข้อที่สำคัญที่สุดคือ สืบเสาะเรื่องผิดกฎ
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สืบเสาะ ยังไม่รู้จักทำตัวสงบเสงี่ยมอีกด้วย ยุยงพวกเจ้าให้มารังแกพวกข้า ข้ารอเขาโผล่หน้ามา
ตอนนี้เขายังแอบมองอยู่เลยใช่ไหมล่ะ ข้ารอดูว่าเขาจะหลบหน้าไปถึงเมื่อไร
ส่วนพวกเจ้า ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร ไม่ได้แตกต่างไปจากสัตว์ที่พวกเจ้าเลี้ยง รู้จักแต่หดหัว จิตใจหยาบกระด้าง พวกเส็งเคร็งที่เอาแต่ปลุกระดมก่อความวุ่นวาย
พวกเราขับไล่หมาป่าดุร้ายไปได้สิบกว่าตัว ผู้ชายสามสิบกว่าคน ร่างกายมีบาดแผลน้อยใหญ่
พวกเจ้ากลับอ่อนหัดเรื่องไล่หมาป่า ปล่อยให้หมาป่าสี่ตัวกัด ร้องไห้คร่ำครวญทำอย่างกับมีคนตายไปครึ่งหมู่บ้าน แต่เรื่องรังแกคนพวกเจ้ากลับยกพวกมารุม
เป็นแต่เรื่องรังแกคนอื่นใช่หรือไม่
รู้แบบนี้พวกเราไม่ควรแบกรับแทนพวกเจ้า น่าจะปล่อยให้หมาป่าดุร้ายพวกนั้นข้ามสะพานมากัดคนใจดำอย่างพวกเจ้าให้ตาย พวกเจ้ายังสู้หมาป่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
หัวหน้าตระกูลเริ่นรีบร้อนเดินมา ตลอดทั้งคืนรวมถึงช่วงเช้า เขาเองก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับท่านลุงซ่งใครอายุมากกว่ากัน จำต้องเข้าไปกำมือคารวะก่อน “อยู่หมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น”
ท่านลุงซ่งถลึงตาใส่หัวหน้าตระกูลเริ่น
“ตอนนี้มาพูดว่าอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพิ่งจะโวยวายหาเรื่องไป ทำไมพวกเจ้าไม่คิดว่าอยู่หมู่บ้านเดียวกันบ้างล่ะ”
“วันหน้า ข้าขอพูดไว้ก่อนเลยนะ ถ้าใครหน้าไหนกล้ามาหาเรื่องพวกข้าอย่างไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี เด็กๆ”
พวกผู้ชายที่อยู่ด้านหลังท่านลุงซ่งตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอรับ”
“ลุยถึงบ้านเหมือนที่สู้กับหมาป่า จัดการพวกเขา! จัดการเลยไม่ต้องกลัว พวกเรามีคนคุ้มกะลาหัว กลัวพวกเขาทำไม”
ท่านลุงซ่งพูดจบก็ตวัดมือ พาพวกผู้ชายที่กำลังฮึกเหิมข้ามสะพานกลับ
คิดในใจ
ไม่ได้เรื่องสักคน
น่าโมโหที่สุด
ถ้าไม่มีท่านแม่ทัพเล็ก แบบนี้ที่เรียกว่าแม่น้ำย่อมมีต้นสาย ต้นไม้ย่อมมีราก การที่แม่ทัพเล็กแวะมากินน้ำเพราะมีสาเหตุ
หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีความเก่งในตัวกันอยู่บ้าง ในมือก็มีเงินอยู่บ้าง พอซื้อเครื่องมือเหล็กพวกนั้นมาสู้กับหมาป่าได้ พวกเขาคงต้องตายอยู่ทางนั้นแน่นอน ไม่มีใครเก็บศพแจ้งทางการ
หากพวกเขาไม่ออกมาเอาเรื่อง ปล่อยให้ถูกปรักปรำไปแบบนี้ คราวหน้าคนพวกนั้นคงมาขี่คอขี้รดหัวแล้ว คิดดูสิ หมาป่าสองกลุ่มนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาด้วย
เกิดวันหน้ามาเด็ดพริกพวกเขากิน สงสัยคงคิดว่าพวกเขาอัธยาศัยดีเหลือเกินสินะ
ในเวลาเดียวกัน
ทหารเฝ้าประตูเมืองหลายคนที่เมืองเฟิ่งเทียนกำลังขยี้ตา คนที่สะพายตะกร้ามานั่นใครน่ะ
พวกเขาคิดว่าตาฝาด
ขุนนางที่ประจำประตูเมืองสาวเท้าเข้ามาด่าพวกเขา พวกทหารถึงได้รู้ตัว พากันเดินตามขุนนางประจำประตูเมืองรีบเข้าไปหาลู่พั่นด้วยกัน “ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ ลงจากม้าก่อน ข้าสะพายตะกร้าให้เอง”
ณ ร้านขนมเค้กแห่งความสุขของท่านย่าหม่า
คราวนี้กลายเป็นลู่พั่นที่คิดว่าตัวเองมาผิดที่
แค่ยืนอยู่ตรงประตูเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘เขียวๆ’ ที่ล้อมอยู่นี่ใช่ต้นสนหรือไม่ แล้วทำไมถึงถูกตัดแต่งจนเหลือสูงแค่เอวล่ะ อีกทั้งด้านบนยังถูกตัดให้เสมอกันด้วย
ต้าเต๋อจื่อออกมา พอเห็นลู่พั่นก็ตกใจมาก รีบคุกเข่าลงทันที “คุณชาย”
“วันนี้ปิดร้าน” ลู่พั่นเหลือบมองป้ายร้านที่มี ‘รูปวาด’ วันหน้าค่อยมาดูใหม่
หา? พอม้าเดินออกไปแล้วต้าเต๋อจื่อถึงได้สติกลับมา คุณชายช่วยมาส่งข่าวให้อย่างนั้นรึ
ณ ประตูรองทางเข้าจวนผู้สำเร็จราชการ นับตั้งแต่ลู่พั่นเข้ามา คนในจวนก็ยืนเรียงทำความเคารพเขา
และข่าวที่เขากลับมาก็ถูกส่งไปแต่ละเรือน
“หมินหรุ่ยคารวะท่านย่า”
“เข้ามาใกล้ๆ สบายดีหรือไม่”
ลู่พั่นยังไม่ทันตอบก็มีเสียงตะโกนมาจากข้างนอกว่าท่านกั๋วกงมาแล้ว
แสดงให้เห็นว่า พอท่านปู่ได้ยินว่าหลานชายกลับมาแล้วก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือไม่ติดอีกต่อไป
ลู่พั่นหาจังหวะบอกซุ่นจื่อ “ไปทำน้ำจิ้มพริกมา”
หา? คุณชาย ข้าเหรอ
ข้ากินเป็นอย่างเดียวนะ