ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 305
เสี่ยวหงกับต้าจวิ้นอยู่ในคอก
ฟังเสียงหิมะตกพลางกินข้าวร่วมกัน
ต้าจวิ้นมองหิมะที่ปลิวอยู่ด้านนอก ทำเป็นเอาหัวชนหัวของเสี่ยวหงอย่างไม่ตั้งใจ “เอ็งได้กินแค่นี้เหรอ”
เสี่ยวหงเหมือนเด็กที่ไปทำงานข้างนอก บอกแต่เรื่องดีให้ครอบครัวฟัง ไม่พูดเรื่องไม่ดี เอาหัวคลอเคลียต้าจวิ้นอย่างสนิทสนม
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าอยู่ที่นี่ได้กินของดีอยู่”
คำพูดนี้โกหก หลอกลวง
เสี่ยวหง แต่มันไม่บอกหรอก
เพราะมันเชื่อว่า มันจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะได้แอปเปิ้ลแน่นอน อยู่จนถึงวันที่คนพวกนี้ซื้อแอปเปิ้ลให้พวกเด็กๆ ได้ และก็ซื้อแอปเปิ้ลให้มันได้
การก้มหน้า การบ่นเพื่อเรื่องกิน มันหมดท่า มงกุฎที่อยู่บนหัวจะร่วง
อันที่จริงในใจของต้าจวิ้นก็รู้ดีว่าปาจวิ้นพูดโกหก
แต่ว่ามีเพียงการกินอยู่อย่างลำบากเท่านั้น ถึงจะเป็นอาชาในยอดอาชาได้
เมื่อเทียบกับบรรยากาศที่ออกจะเศร้าสร้อยไปเสียหน่อยในคอกวัว ยามนี้ภายใน ‘ห้องชุมนุม’ ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
เสียงสับไส้เกี๊ยวดังอย่างไม่หยุดหย่อน
เดิมทีวันนี้เป็นวันเทศกาลก็เตรียมกินเกี๊ยวกันอยู่แล้ว
แต่นอกจากการกินเกี๊ยวที่ว่า ยังต้องนึ่งปัวปัวกับธัญพืชไม่ขัดสีกินด้วย จะกินเกี๊ยวกันจนอิ่มทุกคนไม่ได้ แบบนั้นต้องใช้แป้งละเอียดจำนวนเท่าไร เปลืองผักดองกับเนื้อสัตว์มากขนาดไหน ทำกินไม่ไหว
หนึ่งคนได้เกี๊ยวแปดเก้าตัว แล้วแบ่งเอาปัวปัวไป แบบนี้ก็พอแล้ว แค่กินตามเทศกาล
แต่พอท่านแม่ทัพเล็กเข้ามาก็บอกว่า เขาจะรอทุกคน ไม่ต้องรีบร้อน จะกินก็กินให้เหมือนกัน กินด้วยกัน
ลุงซ่งจึงตบหน้าตักฉาดใหญ่ ยิ้มหน้าบาน “เยี่ยม”
เมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องเสียดายผักดอง ทุกคนจึงสับไส้ผักกาดขาวกับไส้หัวไชเท้าเพิ่มอีก
วันนี้เอาให้เต็มที่ ฉลองเทศกาลกับท่านแม่ทัพเล็ก กินให้ดีสักมื้อไปเลย
หญิงสาวอายุน้อยที่แรงดีหน่อย ทำหน้าที่รีดแผ่นแป้ง แผ่นเกี๊ยวในมือร่อนไป หลายสิบมือช่วยกันห่อเกี๊ยว
ยังมีเด็กโตหน่อยอีกหลายคนที่คอยวิ่งออกไปส่งเกี๊ยวที่ห่อเสร็จแล้วให้แต่ละบ้าน ถาดแล้วถาดเล่า
เนื่องจากหม้อของโรงอาหารส่วนรวมไม่พอใช้ จึงต้องเอาไปให้แต่ละบ้านต้ม
จากนั้นเกี๊ยวขาวอวบที่สุกได้ที่ ก็จะถูกวางใส่ถาดไม้ยกกลับมา
ม่านประตูเดี๋ยวก็ถูกแหวกออก เดี๋ยวก็ถูกปิดลง
มีทั้งคนที่ตั้งโต๊ะ ย้ายเก้าอี้ หอบฟืน เอาถ้วยชามตะเกียบมาให้
เวลานี้บนโต๊ะกลมตัวใหญ่ที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้ลู่พั่น มีอาหารวางอยู่หลายถาด
ในถาดมีกระดาษไขแผ่นใหญ่รองอยู่ บนกระดาษมีลูกชิ้นทอดกรอบวางเรียงพะเนิน
ลูกชิ้นมีสีเหลืองทอง แค่ดูก็รู้ว่ากรอบนอกนุ่มใน กัดลงไปน่าจะทั้งกรอบทั้งหอม
อีกถาดหนึ่งเป็นขาหมูป่าน้ำแดง ไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ดูจากหน้าตาก็รู้สึกว่าหอม สีแดงฉ่ำวาว ตอนที่เพิ่งเอามาวางบนโต๊ะเนื้อยังเด้งอยู่ อีกทั้งกลิ่นก็หอมโชยเตะจมูก กลิ่นอบอวลไปทั่ว
ไข่เจียวพริก ในสายตาของลู่พั่นก็คล้ายๆ กับไข่เจียวธรรมดา
แต่ประเด็นคือ ‘ไข่เจียวยักษ์’ นี้ ไม่ได้แยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เป็นแผ่นใหญ่แผ่นเดียวตั้งแต่เอาขึ้นจากกระทะมาใส่จาน
พริกยัดไส้ ก็ไม่รู้ว่านั่นคือพริก เพราะพริกเล็กจนห่อไส้ไม่อยู่หรือเพราะคนทำอาหารจริงใจเกินไป อยากให้เขากินไส้เยอะๆ พริกปริจนแตก ข้างในอัดแน่นไปด้วยไส้
ลู่พั่นอุ้มหมี่โซ่วเพื่อไม่ให้เกะกะ บอกให้ท่านลุงซ่งไปทำงานตามสบาย ไม่ต้องมาคอยดูแล เขาจะนั่งอยู่ตรงมุม
หลังจากนั่งลง อาจเพราะหิวแล้วจริงๆ หลักๆ คือกลิ่นในห้องนี้มันช่างหอมเหลือเกิน สารพัดกลิ่นยั่วยวนเขา สายตาจึงอดมองไปยังซ่งฝูเซิงที่กำลังยุ่งอยู่ไม่ได้
เขามองแล้วก็รู้สึกแปลกใจ
เห็นเพียงเวลานี้ซ่งฝูเซิงกำลังดึงเส้น
มือข้างหนึ่งอยู่ที่กระทะใบใหญ่ ข้างในเป็นน้ำตาลเส้นที่ต้มเสร็จแล้ว มืออีกข้างจับไม้กวาดอันเล็กที่เหมือนใช้สำหรับล้างกระทะ
ใช้ไม้กวาดเกี่ยวน้ำตาลในกระทะแล้วดึงขึ้นมานับสิบเส้นในชั่วพริบตา ราวกับเล่นมายากล จากนั้นก็พันไว้ที่แขน แล้วเอาไปวางบนจานที่มีพุทราแดงกับฟักทองวางเรียงอยู่ก่อนแล้ว
เพียงชั่วพริบตา น้ำตาลเส้นก็ถูกวางซ้อนเป็นชั้นๆ สูงมาก สีของน้ำตาลที่ถูกต้มออกมา อยู่ไกลๆ ยังมองเห็นเป็นประกาย
ซุ่นจื่อตกใจมาก
เขาไม่สนคุณชายแล้ว ไปเดินด้อมๆ มองๆ อยู่แถวซ่งฝูเซิง พลางถามพี่ซ่ง “ทำไมพี่ทำอาหารเป็นล่ะ ฝีมือใช้ได้เลยนะ บรรพบุรุษสืบทอดกันมาเหรอ”
“สืบทอดอะไรล่ะ พูดไปเรื่อย”
ลู่พั่นเองก็กระซิบถามหมี่โซ่ว “ท่านลุงของเจ้าทำอาหารเป็นได้อย่างไร”
หมี่โซ่วหัวเราะฮี่ๆ มองซ่งฝูเซิงอย่างไม่ละสายตา มองจนน้ำลายใกล้ไหลเต็มที “เพราะพี่สาวของข้าช่างกิน นางชอบอ้อนให้ท่านลุงทำเนื้อให้กิน”
ลู่พั่นคลำตรงเอว หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่ง
เช็ดน้ำลายให้เด็กในอ้อมกอดพลางนึกถึงซ่งฝูหลิง เงยหน้ามองหารอบๆ ก็เห็นนางกำลังยิ้มซื่อ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกับท่านแม่ของนางอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนท่าทางตะกละของหมี่โซ่วเมื่อครู่ “นางชอบกินมากกว่าเจ้าอีกรึ”
“อืม ชอบ ชอบมากกว่าข้าเยอะ ชอบมาก…
…ผักกาดขาวลวกนางก็ต้องจิ้มกับน้ำจิ้มงา พี่สาวข้ากินเก่งมาก…
…พี่แม่ทัพเล็ก หนึ่งมื้อพี่ข้ากินได้สองชามเลยนะ”
หมี่โซ่วชูสองนิ้ว
ลู่พั่นคิดในใจ แล้วทำไมนางยังผอมอยู่แบบนั้น
“ซ่วนเหมียวจื่อ? ซ่วนเหมียวจื่อดูสิ พี่แม่ทัพเล็ก พี่อยากเจอไม่ใช่เหรอ เนียนปาน้อยก็มาด้วยเหรอ ดีขึ้นหรือยัง” หมี่โซ่วเป็นห่วง
เห็นม่านประตูถูกเปิดออก พวกเด็กๆ เข้ามากันแล้ว หมี่โซ่วนั่งอยู่บนตักของลู่พั่น หันไปทักทาย
พร้อมทั้งแนะนำโดยไม่สนว่าลู่พั่นจะรู้จักหรือไม่ “พี่แม่ทัพเล็ก คนนั้นพี่จินเป่า เขาเป็นคนลาดตระเวน”
เมื่อเทียบกับพวกเนียนปาน้อยที่ไม่กล้าเข้าไป มองลู่พั่นด้วยความหวาดกลัว เด็กผู้หญิงอย่างพวกยายา วิ่งเข้าไปกอดขาแม่ตัวเอง หลบอยู่หลังแม่ เดี๋ยวก็ชะโงกหน้าออกมาแอบมองลู่พั่น เดี๋ยวก็เขินอายหันไปหลบหลังแม่ ซ่งจินเป่ากลับเป็นประเภทที่กล้าแสดงออก
ซ่งจินเป่ายืนห่างจากลู่พั่นไปหนึ่งเมตรกว่า อ้ำอึ้งอยู่หลายวินาที “พี่แม่ทัพ ข้าได้ส่วนแบ่งแล้ว มีส่วนแบ่งแล้ว”
ลู่พั่นไม่เข้าใจว่าส่วนแบ่งหมายถึงอะไร หมายถึงเงินรึ
ทันใดนั้นซ่งฝูเซิงที่ล้างมือเสร็จก็เดินเข้ามาบอกให้แม่ทัพเล็กไปนั่งที่โต๊ะเตรียมกินข้าว
วันนี้เล่นเอาซ่งฝูเซิงรู้สึกร้อนมาก ทำงานวันนี้ วันที่อากาศหนาวขนาดนี้ แต่เขากลับยุ่งเสียจนเหงื่อท่วมหัว หลังเสื้อเปียกชื้นไปหมด
แค่กลัวว่ายังไม่ทันจะทำกับข้าวเสร็จ คุณชายลู่ก็กลับก่อน
พวกเราจะเอากับข้าวขึ้นโต๊ะแค่อย่างสองอย่างก็ไม่ได้ มันไม่น่ามอง
“ท่านแม่ทัพ เชิญนั่ง…
…คนเราพูดกันว่า สุราฤทธิ์บาง อาหารเรียบง่าย…
…แต่ของพวกเราที่นี่น่ะหรือ”
ซ่งฝูเซิงนั่งลงข้างลู่พั่น ยิ้มซื่อพลางพูด “ขอพูดอย่างไม่กลัวท่านแม่ทัพหัวเราะเยาะเลยนะ พวกเราไม่มีแม้แต่สุราฤทธิ์บาง ที่กำลังหมักอยู่ก็เพิ่งลงมือหมัก”
ลุงซ่งก็พูดด้วย “ใช่ ในบ้านไม่มีอย่างอื่น มีแค่หมูป่าไม่กี่ตัว ไม่รู้ว่าอาหารของบ้านเราท่านแม่ทัพจะกินได้หรือเปล่า”
ลู่พั่นกลัวทุกคนจะทำตัวเกรงใจกันต่อจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อน
“ข้าเป็นทหาร นอนกลางดินกินกลางทราย เคยลำบากมาแล้วทั้งนั้น…
…ไม่มีสุรา ใช้น้ำแกงแทนได้…
…วันนี้ ข้าว่าก็ดีมากแล้ว…
…ทั้งยังได้กินพริกที่ทุกคนปลูกมากับมือ เรียกว่าพริกใช่หรือไม่…
…นี่เป็นของหายากที่ทุกคนบอกเชียวนะ”
พูดจบลู่พั่นก็ยกชามเกี๊ยวดื่มน้ำแกงพร้อมกับซ่งฝูเซิง จากนั้นก็วางชามลง ทันใดนั้นได้มองไปรอบๆ พร้อมพูดกับทุกคน
“ในโต๊ะนี้ยังมีที่ว่างอยู่ อย่ามัวนั่งยองกินกันอยู่เลย ล้อมเข้ามานั่งด้วยกัน…
…วันนี้ไม่ต้องเคร่งครัดธรรมเนียมอะไรให้มากมาย…
…ข้าบอกแล้วว่าให้กินด้วยกัน ปกติพวกท่านเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น…
…คิดเสียว่าข้าแค่มาขอฉลองเทศกาลด้วย”