ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 304 กินด้วยกันเถอะ
อาทิตย์อัสดงหนทางแลยาวไกล กระท่อมในเหมันต์ยิ่งแลดูขัดสน
เสียงสุนัขเห่านอกบ้านดูชอบกล คนไกลบ้านฝ่าลมฝนหวนกลับยามราตรี
หมี่โซ่วโอบคอลู่พั่น “สายลมแคว้นเหนือ ดน้ำแข็งจับตัวพันลี้ หิมะโปรยปรายหมื่นลี้”
ลู่พั่นมองเด็กในอ้อมกอดยิ้ม ใช่ ยังมีประโยคนี้ นี่ต่างหากที่เหมาะสมที่สุด
เกาถูฮูเปิดประตูไม้ของโรงเพาะปลูกพริกก็เห็นลู่พั่นพอดี ยิ้มจนใบหน้าปรากฏรอยเหี่ยวย่นพลางโค้งตัวทักทาย “ท่านแม่ทัพ ข้าเด็ดพริกไว้ อยากให้ท่านนำกลับไปด้วย”
“ได้” ลู่พั่นพยักหน้าให้เกาถูฮู เล่นเอาเกาถูฮูดีใจมาก
ดูท่าท่านลุงซ่งจะพูดถูก แม่ทัพเล็กไม่ใช่คนที่จะรังเกียจพวกเขา
ซุ่นจื่อเองก็รู้สึกแปลกใจ
คุณชายรับไว้จริงรึ นี่เป็นครั้งแรกที่รับของจากบ้านคนอื่นกลับไปด้วยเลยนะ อีกทั้งพวกเขาสองคนขี่ม้า จะเอากลับไปอย่างไร เวลาคุณชายออกเดินทาง แม้แต่ชุดที่ต้องเอาไปเปลี่ยนก็ยังขี้เกียจเอาไป
ด้านนอกห้องทำขนม หน้าต่างกระดาษบานหนึ่งของห้องทำขนมเพิ่งปะใหม่ อีกบานหนึ่งยังขาดอยู่ ไม่ทันได้ซ่อม
บนขอบหน้าต่าง ข้างล่างหน้าต่างมีน้ำแข็งเกาะอยู่จำนวนมาก บนพื้นก็มีน้ำแข็งก้อนใหญ่หลายก้อนจับตัวกัน
หมี่โซ่วชี้ไปที่น้ำแข็งพลางพูด “พี่แม่ทัพเล็ก เมื่อคืนพวกท่านลุงไม่มีเวลาสนหน้า-หลัง และก็นึกไม่ถึงว่าหมาป่าจะเหยียบร่างของเพื่อนมันข้ามหลุมลึกมาจากทางด้านหลัง จากนั้นพวกท่านย่า และยังมีพวกน้าๆ ป้าๆ ช่วยกันใช้ปูนขาวต้มน้ำร้อน เอาไปสาดหมาป่าพวกนั้น”
ตอนพูดเรื่องสาดน้ำร้อน หมี่โซ่วได้กำหมัดน้อยๆ
ลู่พั่นยังไม่ได้พูดอะไร
ซุ่นจื่อก็พูดขึ้นมาก่อน “นั่นสิ ลืมไปว่าพวกเจ้าใช้น้ำปูนขาวร้อนเป็นด้วย”
ของสิ่งนั้นสามารถทำให้เป็นแผลพุพองได้ในเวลาไม่นาน
คนพวกนี้รู้จักใช้วิธีสารพัดป้องกันตัวเอง
เวลานี้ท่านย่าหม่าก็อยู่ในห้องทำขนม กำลังปัดฝุ่นที่เลอะขนมออก ลอกเอาชั้นนอกสุดออกไป ขายน่ะขายไม่ได้แน่นอนแล้ว แต่เอาให้พวกเด็กๆ ในบ้านกินได้
พอได้ยินเสียงคนคุยกันด้านนอก ท่านย่าหม่าจึงชะโงกหน้าออกไปดู “ไอ๊หยา ท่านแม่ทัพ มาๆ รีบเข้ามาก่อน”
ลู่พั่นพูด “ไม่ดีกว่า ไม่รบกวน ข้าจะไปเดินเล่นสักหน่อย”
ท่านย่าหม่าทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนบนตัว “เอ่อคือ พวกเราร่วมกันเปิดร้านกับพี่สาวคนที่สามของท่านแม่ทัพ ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพทราบเรื่องนี้หรือเปล่า คุณหนูสามเห็นแววพวกเรา ท่านแม่ทัพวางใจได้ พวกเราจะตั้งใจทำให้ดี เพียงแต่วันนี้…”
ลู่พั่นพูด “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับเข้าเมืองข้าจะบอกให้ พักผ่อนกันตามสบายเถิด” พูดจบก็พยักหน้าแล้วออกไป
ท่านย่าหม่าอ้าปากได้ครึ่งเดียว มองลู่พั่นที่อุ้มหมี่โซ่วเดินจากไป สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
นางคิดว่าหูตัวเองมีปัญหาเสียอีก
เมื่อครู่แม่ทัพเล็กพูดว่าอะไรนะ คนฐานะสูงส่งแบบนั้นจะช่วยแจ้งข่าวให้พวกนางอย่างนั้นรึ
เดินต่อไปอีก ผ่านห้องทำขนมก็จะเห็นรั้วที่ถูกหมาป่าชนจนล้ม และจะเห็นหลุมลึกที่ขุดไว้รอบๆ น่าตกใจยิ่งกว่าหลุมที่ลุงซ่งชี้ให้ดูก่อนหน้านี้เสียอีก
เพราะตอนนั้นอธิบายให้ฟังตอนเดินผ่านระหว่างทางไปดูกระเทียมเหลืองที่แปลงเพาะปลูกใต้ดิน
“ดึง ดึงขึ้น ออกแรงดึงหน่อย”
ตรงด้านหลัง
หลายคนกำลังถลกหนังหมาป่ากันอย่างสนุกสนาน
บนศีรษะของคนเหล่านี้ถูกหิมะปกคลุม
หิมะบนพื้นแดงฉานไปด้วยเลือดของหมาป่า
ลู่พั่นถามหมี่โซ่ว “กลัวไหม” ถ้าเด็กน้อยกลัว เขาจะพากลับไป
หมี่โซ่วส่ายหน้า
“ไม่กลัว…
…พี่แม่ทัพเล็ก เมื่อคืนซ่วนเหมียวจื่อถูกหมาป่าดุร้ายตัวหนึ่งกระโจนเข้าหาที่หน้าต่างจนตกใจมาก นั่น นั่นก็คือบ้านของเขา บ้านเขาอยู่ใกล้ตรงนี้ที่สุด…
…เขายังจ้องตาหมาป่าตัวนั้นอีกด้วย ข้าเป็นคนช่วยปลอบเขา…
…ยังมีเนียนปาน้อยอีกคน เขาเห็นพ่อของเขาเกือบถูกหมาป่าควักหัวใจ ตกใจร้องไห้เสียงดัง ข้าก็เป็นคนปลอบเขาเหมือนกัน…
…ข้าปลอบพวกเขาจนฟ้าเกือบสว่าง ปลอบจนพวกเขาง่วงกันหมด”
ลู่พั่นยกนิ้วโป้งให้ ถูใบหน้าน้อยๆ ที่เย็นเฉียบของหมี่โซ่ว
ดวงตาของเจ้าก็เลยบวมเป่ง ตาสองชั้นกลายเป็นสามชั้น เจ้าก็ร้องไห้ไปกับพวกเขาใช่หรือไม่
เด็กตัวแค่นี้เห็นหมาป่าเข้ามาในเขตบ้านสิบกว่าตัวด้วยตาตัวเอง มีหรือจะไม่กลัว
เห็นกับตาว่าคนในครอบครัวต่อสู้กับฝูงหมาป่า ทางนี้สู้จนถอยไปแล้ว ทางนั้นก็พุ่งเข้ามาอีก คนที่พวกเขาใกล้ชิดที่สุดพร้อมจะถูกขย้ำได้ตลอดเวลา มีหรือจะไม่ร้อนใจ
ซุ่นจื่อฟังแล้วก็รู้สึกกลัวไปด้วย
ลู่พั่นหยิบป้ายเตือนที่มีรูปคนตัวเล็กพร้อมกากบาทอยู่บนนั้น
สังเกตภาพนี้อย่างละเอียด
คนพวกนี้ลงแรงทาน้ำมันลงบนกระดาษเพื่อป้องกันหิมะตกแล้วละลายเปียกภาพวาด อีกทั้งยังลงแรงทำโครงไม้ติดภาพนี้ไว้ น่าจะเพื่อเป็นการเตือน ถ้ามีชาวบ้านมาจากทางด้านหลังระวังตกลงไปในหลุม
อย่าคิดไม่ดีกระโดดข้ามรั้วมา กระโดดเข้ามาจะมีอันตราย
คนพวกนี้ยังมีจิตใจดีต่อคนที่คิดร้ายจะปีนรั้วเข้ามา
ซุ่นจื่อพับแขนเสื้อขึ้น ยิ้มพลางเดินเข้าไปหาพวกเถียนสี่ฟา “มา ให้ข้าช่วยอีกคนนะ”
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคนพวกนี้รีบร้อนถลกหนังหมาป่าก็เพื่อให้คุณชายของเขานำกลับไปอย่างแน่นอน
อันที่จริงจวนผู้สำเร็จราชการขาดแคลนของพวกนี้หรือ
อย่าว่าแต่หนังหมาป่าเลย หนังเสือทั้งผืนที่อยู่ในกล่องเลี่ยมทอง ล้วนถูกวางให้ฝุ่นจับอยู่ในห้องเก็บของ มีตั้งหลายชิ้น และก็ไม่ได้มองเป็นของดี
แต่ซุ่นจื่อรู้ว่าคุณชายของเขาจะต้องรับหนังหมาป่าที่คนพวกนี้ตั้งใจถลกให้อย่างแน่นอน
เถียนสี่ฟาตกใจ “ไม่ต้องๆ พวกเราจะเสร็จแล้ว ดึงอีกไม่กี่ทีก็เสร็จ ไม่ต้องรบกวนท่านจริงๆ ขอรับ” พอหันไปเห็นลู่พั่นก็ยกมือที่เปื้อนเลือดทั้งสองข้าง พลางเข้าไปทักทาย ตัวเองเนื้อตัวสกปรก จะไม่เข้าไปทักทายก็ไม่ดี
ผู้ชายคนอื่นๆ ที่อยู่หลังบ้านก็เช่นเดียวกัน ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มจริงใจ ทว่าก็เจือไปด้วยความเคารพ ยำเกรง รวมถึงกระอักกระอ่วนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร
หมี่โซ่วกลับแนะนำอย่างมีความสุข
“คนนั้นคือท่านลุง”
“คนนั้นก็คือซื่อจ้วง”
“คนนั้นคือลุงกัว”
“พี่แม่ทัพเล็ก คนนั้นก็คือพ่อของซ่วนเหมียวจื่อ เมื่อคืนฟ้ามืด ก้นของท่านอาหวังสามถูกหมาป่าข่วนเป็นรอยเลือด ท่านอาหวังสามทำไมไม่นอนพักล่ะ”
หวังจงอวี้ทำสีหน้าไม่ถูก เด็กคนนี้นี่ จะพูดแบบนั้นทำไม
ในสายตาของลู่พั่น เขามองไม่เห็นบาดแผลของหวังจงอวี้ และเขาก็ไม่เห็นแผลของทุกคน
แต่เขาเห็นเสื้อกันหนาวที่ขาดของซ่งฝูกุ้ย
เสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายถูกหมาป่าข่วนขาด ผ้าที่ขาดรุ่งริ่งตรงหน้าอก พอลมพัดก็พลิ้วไปมา แต่กลับไม่มีเสื้อตัวอื่นให้เปลี่ยน
ซุ่นจื่อก็เดินเข้าไป เห็นทุกคนยิ้ม ปากบอกว่าพวกเราแค่มาเดินเล่น แท้จริงแล้วในใจกลับรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคนในหมู่บ้านเหรินจยา
ทางนั้นมีหมาป่าสี่ตัวเข้าไปในหมู่บ้าน ตายสี่เจ็บเจ็ด
ทางนี้หมาป่าสิบหกตัว เผชิญหน้ากับฝูงหมาป่า
ทางนั้นร้องห่มร้องไห้ ยกมีดชูจอบ หลังเกิดเรื่องก็โวยวายจะมาเอาเรื่องคนทางนี้ ต้องชดใช้ด้วยชีวิต
ทางนี้ อย่าเห็นว่าไม่มีคนตายไม่บาดเจ็บ พูดเหมือนสบายๆ แต่บาดแผลน้อยใหญ่ เมื่อรวมกันก็ไม่น้อยเลยทีเดียว เด็กๆ กับพวกผู้หญิงต่างก็อกสั่นขวัญแขวน แต่กลับปิดประตู อยู่ในพื้นที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ ทำแผลตามลำพัง ในหมู่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้พวกเขากลับไม่พูดอะไร
หลังจากเขากับคุณชายมาถึง แต่ละคนกลับยิ้มแย้มต้อนรับ ไม่มีบ่น ไม่มีบอกว่า ดูสิบ้านพวกเราพังขนาดไหน พวกเราซวยจริงๆ อาศัยอยู่ริมเขา หมาป่าลงมาพวกเราก็ซวยก่อน
พูดเพียงว่า ตอนนี้ชีวิตของพวกเขาดีขนาดไหน ริมเขาก็มีดีแบบริมเขา พวกเขาหาเงินได้เท่าไร
ถูกหมาป่าทำร้ายบาดเจ็บก็ไม่เป็นไร พวกเขามีเงิน ไปหาหมอได้ พวกเขาซาบซึ้งที่มีชีวิตรอด นั่นเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุด
แต่ละคนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากคุณชายฟังชีวิตชาวสวนของพวกเขาจบ จะดีใจไปกับพวกเขาด้วย
ราวกับลืมไปแล้วว่า เมื่อก่อนฟ้าสว่างเพิ่งสู้กับฝูงหมาป่ามา
ซุ่นจื่อรู้สึกว่าเขาคิดไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว คิดเยอะไปก็ปวดใจ
เพราะคนที่ใช้ชีวิตอย่างซื่อๆ ตรงไปตรงมาเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขากับคุณชายมา เวลานี้คงถูกชาวบ้านประสงค์ร้ายในหมู่บ้านเหรินจยามาล้อมแล้วหรือเปล่า ชาวบ้านหลายร้อยรุมล้อมคนกลุ่มนี้ พลางโหวกเหวกโวยวายให้พวกเขาชดใช้ด้วยสี่ชีวิต ต้องการจุดไฟเผาบ้านพวกเขา
แต่ในความเป็นจริงคือ หากไม่ได้คนพวกนี้สู้กับฝูงหมาป่าที่ริมเขาจนเกือบถูกหมาป่าฆ่ายกครัว ฝูงหมาป่าก็จะเข้าไปในหมู่บ้าน หมู่บ้านเหรินจยานั่นคงไม่ได้ตายแค่สี่ชีวิต
ลุงซ่ง “ไอ๊หยา ท่านแม่ทัพ มาตรงนี้ทำไม ไปๆๆ ข้าวเสร็จแล้ว” ลุงซ่งเพิ่งล้างมือเสร็จก็ตามหาท่านแม่ทัพเล็กจนทั่ว
พอไปถึงหน้าบ้านซ่งฝูเซิง ซุ่นจื่อแหวกม่านให้ลู่พั่นเพื่อให้คุณชายเข้าไปกินข้าว
ลู่พั่นกลับหยุดเท้า “พวกท่านกินกันที่ไหน”
ลุงซ่งชี้ไปที่ห้องชุมนุม
“กินด้วยกันเถิด ข้าจะไปที่นั่นด้วย”
ลุงซ่ง “หา?”
ซุ่นจื่อ “หา?”
ซ่งฝูหลิงได้ยินคำพูดนี้พอดี “หา?” นางเพิ่งทำหน้าที่สาวเสิร์ฟเสร็จ เพิ่งยกอาหารเข้ามาวาง ยังต้องยกกลับไปอีกเหรอ
ลู่พั่นเหลือบมองนาง สาวเท้าเดินไปทางห้องชุมนุมก่อน “ปกติทุกคนกินกันอย่างไร วันนี้ก็กินแบบนั้น กินด้วยกัน”