ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 301 อาหารสิบอย่าง
หมี่โซ่วตาบวม ดีอกดีใจอยู่ในอ้อมกอดของเฉียนเพ่ยอิง “เร็วเข้าท่านป้า กางเกงผ้าฝ้ายของข้าล่ะ”
สำหรับหมี่โซ่วแล้ว การมาเยือนของพี่แม่ทัพเล็กเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นดีใจเหลือเกิน ดีใจเสียยิ่งกว่าขึ้นปีใหม่
คราวนี้เขาอยากต้อนรับให้ดี เหมือนตอนพี่แม่ทัพเล็กต้อนรับเขาที่จวนผู้สำเร็จราชการ รีบใส่ชุดสวยๆ ใส่รองเท้า เขาต้องออกไปต้อนรับ
แต่เรื่องนี้ ในสายตาของซ่งฝูหลิง การที่พี่แม่ทัพเล็กมาที่บ้าน กลับเท่ากับผีจะเข้ามาในหมู่บ้านแล้วต่างหาก กะทันหันเสียยิ่งกว่าหมาป่ามา จำเป็นต้องเข้าสู่การป้องกันระดับหนึ่ง
ซ่งฝูหลิงขยิบตาให้เฉียนเพ่ยอิง
หืม?
เฉียนเพ่ยอิงอึ้งไปหลายวินาที จากนั้นก็เหลือบมองภายในบ้านภายใต้การส่งสัญญาณของลูกสาว และแล้วก็รู้สึกตัว
มือข้างหนึ่งอุ้มหมี่โซ่ว แขนอีกข้างหนีบกางเกงเสื้อกันหนาวของหมี่โซ่วแล้วเดินออก “ป้าจะพาเจ้าไปแต่งตัวที่ห้องซื่อจ้วง ให้พี่สาวเจ้ารีบแต่งตัวเหมือนกัน”
เฉียนเพ่ยอิงเพิ่งแหวกม่านเดินไปที่ห้องตะวันตก ซ่งฝูหลิงก็ลุกขึ้นมาจากเตียงทันที
เอาของที่ ‘ผิดแผก’ โยนเข้าไปในพื้นที่พิเศษ
ของอย่าง ผ้าขนหนู กาน้ำร้อน สารพัดอย่างทั้งหลายแหล่ ปากกาที่มีแว่นขยายของนาง หนังสือรวมประวัติศาสตร์โลก (ตอนศาสนาชนเผ่า) ที่วางอยู่ริมหน้าต่าง รวมถึงนิยายประธานนัมเบอร์ทู ที่ก่อนย้อนเวลามายังอ่านไม่จบ โยนเข้าไปในพื้นที่พิเศษให้หมด
รวมถึงแผ่นกันความชื้นที่บ้านของนางเอามาทำเป็นม่านมาตลอด ก็ถูกกระชากโยนเข้าไปด้วยกัน
ก็โชคดีที่ซ่งฝูหลิงเป็นคนวางของเข้าไปในนั้นตลอด ถ้าเป็นท่านพ่อของนางล่ะก็ นางคงต้องเข้าไปตะโกน
พับผ่า “ไอ๊หยา คุณพระช่วย” ซ่งฝูหลิงเกือบเหยียบผมของตัวเอง มือข้างหนึ่งนวดหัว มืออีกข้างควานหาหนังยางที่อยู่ใต้หมอน จับขมวดผมยาวให้ม้วนเป็นมวยไว้บนศีรษะอย่างคล่องแคล่ว
ผมทรงนี้มันไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของเด็กวัยสิบกว่าในยุคนี้หรือเปล่า
ช่างเถอะน่า นี่มันเวลาไหนแล้ว มีเวลาคิดเยอะแบบนั้นที่ไหนกัน
ซ่งฝูหลิงพับผ้าห่ม ใส่รองเท้า ลงจากเตียง ขณะใส่รองเท้านางก็ติดกระดุมเสื้อด้วยความรวดเร็ว
วิ่งไปที่ห้องครัวด้วยความรีบร้อน จัดการเก็บ ‘ชามข้าวสไตล์เกาหลี’ รวมถึงตะเกียบสี่คู่ที่ไม่เข้ากับ ‘ของปกติ’ หอบเข้าไปในห้องแล้ววางในพื้นที่พิเศษ นอกจากนี้ยังมีถ้วยชา กาน้ำชา เป็นต้น
ซึ่งก็หมายความว่า คนอื่นเวลามีแขกมาบ้าน จะเอาของที่ดีที่สุดในบ้านออกมาใช้
แต่พอเป็นซ่งฝูหลิงกลับเอาของดีๆ ในบ้านไปซ่อนไว้ให้หมด กลัวลู่พั่นจะสังเกตเห็นความพิเศษของบ้านนาง
เก็บเสร็จสรรพ สำรวจให้ทั่ว สุดท้ายสายตาไปหยุดอยู่ที่กระโถนฉี่ ซึ่งก็คือกระโถนที่ดัดแปลงมาจากแกลลอนน้ำแร่หนงฟูซานขนาดห้าลิตร ซ่งฝูหลิงกัดฟัน จัดการโยนเข้าไปในพื้นที่พิเศษเช่นกัน
“พี่แม่ทัพเล็ก”
เด็กตัวน้อยวิ่งออกมาจากในบ้าน ปรากฏว่าเกือบลื่นล้มตอนเพิ่งออกไปได้ เสียการทรงตัว ร่างน้อยๆ โงนเงนไปมา สุดท้ายก็หยุดได้ด้วยขาข้างเดียว
เดิมทีลู่พั่นเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าวแล้ว คิดว่าเด็กน้อยจะล้ม นึกไม่ถึงว่าจะกลับมาทรงตัวได้อีก
เขายืนอยู่ที่เดิม รอเด็กคนนั้นวิ่งมาหา
“พี่ชาย” เฉียนหมี่โซ่ววิ่งพร้อมอ้าแขน
ลู่พั่นเองก็อ้าแขนออกตอนที่หมี่โซ่ววิ่งเข้ามาใกล้ อุ้มหมี่โซ่วขึ้นมา อีกทั้งยังเอาชุดคลุมห่อตัวให้เด็กน้อยที่ไม่ได้สวมหมวกออกมาอย่างเอาใจใส่
เฉียนเพ่ยอิงก็เร่งตามมาอยู่ด้านหลัง พอเผชิญหน้ากับลู่พั่นกลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
เพราะนางไม่มีความทรงจำในสมัยโบราณ ไม่รู้ว่าคนโบราณทักทายกันอย่างไร จึงมีความรู้สึกว่ายิ่งไม่รู้ไม่เข้าใจก็ยิ่งไม่กล้าพูดส่งเดช กลัวคนจะฟังออก รู้สึกเกร็งไปหมด
หากนางออกไปข้างนอกได้ ได้คลุกคลีกับคนบ้าง ค่อยๆ เรียนรู้ไป อันที่จริงก็ไม่มีปัญหา แต่นางอยู่บ้านทำงานตลอด วันๆ ถ้าไม่คอยปรนนิบัติดูแลต้นพริก ก็เย็บเสื้อผ้าทำกับข้าว
เดิมทีนางเป็นคนร่าเริงเปิดเผย แต่อยู่ๆ กลับต้องมาอุดอู้ ใช้ชีวิตพูดคุยกับทุกคนน้อยลง
“นี่ไม่เหมาะหรือไม่” หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายวินาที เฉียนเพ่ยอิงถึงเค้นคำพูดออกมาได้อย่างสุภาพ
ถึงขนาดที่นางไม่ชินเหมือนคนอื่น ที่เรียกลู่พั่นว่าท่านแม่ทัพด้วยความนอบน้อม
เพราะอะไรน่ะเหรอ เฮ้อ ก็ดูสิ เด็กคนนี้เพิ่งอายุสิบเจ็ดสิบแปด อันที่จริงในสายตานางก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ให้เรียกแม่ทัพจะไม่รู้สึกแปลกได้เหรอ
ให้เรียกคุณชายลู่? พอเถอะ แปลกกว่าเรียกท่านแม่ทัพอีก
กลับเป็นลู่พั่นที่พยักหน้าให้เฉียนเพ่ยอิงอย่างสุขุมเยือกเย็น ถือเป็นการทักทาย แล้วถึงตอบขณะอุ้มหมี่โซ่วอยู่ “ไม่เป็นไร”
ลู่พั่นที่เป็นแบบนี้ แม้แต่เฉียนเพ่ยอิงยังรู้สึกว่าดูแปลกไปอย่างกะทันหัน
อย่างน้อยก็แตกต่างกับหลายครั้งก่อนหน้านี้
เข้าเมืองคราวก่อนที่เรียกหมี่โซ่วไปจวนผู้สำเร็จราชการ ตอนที่ท่านแม่ทัพเล็กนั่งอยู่บนม้ามองนาง ยังไม่มีสีหน้าแบบนี้ หรือเป็นอีกแบบ? อืม ดูหยิ่งพอสมควร
ครั้งนี้ ถ้าพูดแบบไม่เหมาะหน่อยก็คือ ดูแล้วยิ่งไม่เหมือนแม่ทัพ
เหมือนคนรู้จักมาเป็นแขกที่นี่มากกว่า
เวลานี้ซ่งฝูหลิงรู้สึกขอบคุณน้องชายจากใจ เพราะหมี่โซ่วไปรั้งขาของลู่พั่นไว้ นางถึงได้มีเวลาล้างหน้าแปรงฟัน
อันที่จริงเรื่องที่ซ่งฝูหลิงไม่รู้ก็คือ คนที่นางควรขอบคุณไม่ใช่หมี่โซ่ว แต่เป็นท่านลุงซ่ง
ถ้าเป็นน้องชายนาง ป่านนี้แม่ทัพเล็กควรถูกพาเข้าไปที่บ้านนางนานแล้ว หมี่โซ่วย่อมต้องให้พี่แม่ทัพเล็กขึ้นไปอยู่บนเตียงอุ่นๆ
เวลานี้เป็นท่านลุงซ่งที่ดูเหมือนสติปัญญาไม่ได้ฉลาดไปกว่าหมี่โซ่วสักเท่าไร ทำตัวเหมือนเด็กที่อยากอวดไปทั่ว ต้องการพาท่านแม่ทัพเล็กไปเยี่ยมชมก่อนให้ได้
คิดในใจ ในเมื่อแม่ทัพเล็กไม่อยากนั่งในห้องชุมนุม งั้นเขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว
เด็กๆ ของแต่ละบ้านก็ยังไม่ตื่น ต้องให้พวกเขาจัดการแต่งตัวกันอีก ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง ประการแรกดูรูปร่างหน้าตา ประการสองดูการแต่งตัว อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเด็กๆ ใส่เสื้อผ้า ไม่ใช่เดินล่อนจ้อนออกมาเจอแขก และก็จะได้ให้คนอื่นๆ ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เลอะเลือดด้วย จากนั้นถึงค่อยให้ท่านแม่ทัพเล็กเข้าไปดูแต่ละบ้านได้ใช่ไหมล่ะ
ดังนั้นท่านลุงซ่งตัดสินใจแล้วว่าจะพาท่านแม่ทัพเล็กไปดูการทำงานอย่างแรกในแต่ละวันของพวกเขาก่อน
พวกเราเป็นคนใช้แรงงาน ไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้แม่ทัพดู งั้นก็ให้ดูสิ่งที่พวกเราใช้สองมือปลูก เก็บสะสม ปลูกสร้างมันแล้วกัน
“ท่านแม่ทัพ ดูสิ นี่เป็นหินก้อนใหญ่ที่พวกเรานำมาเก็บไว้…
…เอามาจากตีนเขา ใช้แคร่ลากมาทีละรอบ รอเข้าฤดูใบไม้ผลิพวกเราก็จะเอามาสร้างบ้าน…
…ไม่เหมือนตอนนี้ที่หมาป่ามาไม่กี่ตัวก็พังรั้วของพวกเราได้ โชคดีที่ฝูเซิงให้ขุดหลุมไว้ ไม่อย่างนั้นรั้วไม้พวกนี้ทำอะไรไม่ได้เลย”
ลู่พั่นอุ้มหมี่โซ่ว เวลานี้สายตาไม่ได้อยู่ที่กองหินพะเนิน แต่สังเกตหลุมอย่างละเอียด
ถึงแม้จะเห็นไม่ชัดนัก หิมะตกลงไปไม่หยุด แต่ก็พอมองออกว่าข้างในมีท่อนไม้ปลายแหลมที่คนพวกนี้ทำเอง วางกันอยู่หนาแน่น น่าจะเยอะมากทีเดียว บางอันด้านบนเลอะเลือด
ลู่พั่นถาม “นี่เป็นร่องรอยของฝูงหมาป่าเมื่อคืนหรือ”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ท่านลุงซ่งก็ตอบก่อน “ไม่ใช่ นี่เป็นร่องรอยของหมูป่าเมื่อคราวก่อน”
หมี่โซ่วที่ถูกลู่พั่นอุ้มอยู่ “ใช่แล้วพี่แม่ทัพเล็ก พวกเราเคยสู้กับหมูป่าด้วย” พอพูดจบก็ขมวดคิ้วยื่นหน้าไปถามท่านลุงซ่ง “ปู่ทวด หุงข้าวหรือยัง ต้มเนื้อให้พี่แม่ทัพเล็กกินหน่อย”
ท่านลุงซ่งยิ้มพลางพยักหน้า
ลุงของเจ้าไปจัดการเรียบร้อยแล้ว
วันนี้ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้ทำงาน ก็ต้องให้แม่ทัพเล็กอยู่กินข้าวที่นี่สักมื้อให้ได้
กลับกลายเป็นลู่พั่นที่หลังจากฟังจบ “…” คนพวกนี้ยังฆ่าหมูป่าได้ด้วย
ระหว่างทางที่เดินไป พอใครเห็นลู่พั่นก็ไม่กล้าเข้ามาพูดจาส่งเดช แต่ละคนกลับยิ้มให้จากใจ
ลงไปแปลงเพาะปลูกใต้ดิน
ลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิง พอได้ยินเสียงก็รีบจุดไฟ จุดคบเพลิงมาหนึ่งอัน
ขณะที่ลู่พั่นลงไป ก็ย่อตัวตามอยู่ด้านหลัง ยกคบเพลิงสองอันส่องสว่าง
ท่านลุงซ่งชี้ให้ลู่พั่นดู
“ท่านแม่ทัพ นี่ก็คือกระเทียมเหลืองของพวกเรา…
…ปลูกอยู่สี่แปลงใต้ดิน…
…ซ่งฝูเซิงเป็นคนสอนให้พวกเราทำ…
…ปีนี้เอาแค่นี้ก่อน…
…ไว้รอหลังเข้าฤดูใบไม้ผลิ หากท่านแม่ทัพยังผ่านมาทางนี้ค่อยมาดูอีกครั้ง อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็สามารถขุดเพิ่มได้อีกยี่สิบสามสิบแปลงใต้ดิน…
…ฤดูหนาวปีหน้าถ้าปลูกยี่สิบสามสิบแปลงพร้อมกันล่ะก็ ทำเงินได้ไม่น้อยทีเดียว ขายหกสิบเหวินเชียวนะ”
หมี่โซ่วน้อยโอบคอลู่พั่นพร้อมพูดเสริม “พี่แม่ทัพเล็ก ปกติที่นี่ห้ามจุดไฟ แม้แต่ข้าก็ฝึกคลำทางเดินทางตรงได้แล้ว”
“เดินทางตรงรึ”
เฉียนหมี่โซ่วทำตาโต “ถูกต้อง ถ้าเดินเบี้ยวในนี้ จะเหยียบต้นกล้า”
เอาเถอะ เรื่องเพาะปลูกลู่พั่นไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ที่เขาเข้าใจคือ เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิ ขุดแปลงเพาะปลูกใต้ดินมากขนาดนั้น ต้องระวังเรื่องระยะห่าง
ไม่อย่างนั้นอาจจะถล่มได้
แปลงเพาะปลูกพริกลูกรัก ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเปิดให้คนนอกดู แทบไม่อยากให้ใครรู้สักนิดว่าพวกเขาปลูกพริกกันอย่างไร ถ้าเด็กลาดตระเวนส่งสัญญาณจากด้านนั้นมา ทางนี้ก็จะเอาผ้าห่มคลุมปิดทันที แต่วันนี้กลับต้อนรับแขกกิตติมศักดิ์
อีกทั้งทุกคนต่างคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านแม่ทัพเล็กจะเข้าไปเดินดูสักหน่อย
แสดงให้เห็นว่า ความจริงใจที่ทุกคนมีต่อลู่พั่น ก็เหมือนกับพริกที่ปลูกอยู่ในโรงเพาะ หัวใจที่ร้อนแรง ความจริงใจที่ร้อนแรง พริกเม็ดน้อยที่เผ็ดซาบซ่าน มันแดงมาจากแก่นแท้
ท่านลุงซ่งยิ้มพลางชี้ไปยังต้นพริกที่เรียงกันเป็นแถว “นี่เรียกว่าพริก ท่านแม่ทัพดูสิ พบเจอได้ยากใช่หรือไม่”
หนิวจั่งกุ้ยกำลังก่อกำแพงไฟ ซ่งฝูเซิงกำลังเด็ดพริก
พอเห็นท่านลุงซ่งพาคุณชายลู่มาถึงที่นี่ ซ่งฝูเซิงก็ยิ้มพลางลุกขึ้น “ท่านลุงซ่ง ดูทำเข้า พาท่านแม่ทัพมาถึงที่นี่ทำไม รีบให้เข้าไปพักในบ้านได้แล้ว”
หลังจากรีบเด็ดพริกอีกนิดหน่อย ก็ถือกะละมังพลางหันมามองลู่พั่นเป็นเชิงขอโทษ “ข้าน้อยต้อนรับไม่ดี วันนี้ท่านแม่ทัพต้องลองชิมฝีมือของข้าให้ได้นะขอรับ อาหารทำใกล้เสร็จแล้ว หวังว่าจะอยู่กินข้าวสักมื้อ”
ลู่พั่นมองพริกที่เขาไม่รู้จัก ไม่ได้ถามมาก แค่พยักหน้า
พอเขาพยักหน้า ซ่งฝูเซิงก็รีบเดินถือพริกออกจากท้องร่อง มืออีกข้างนำทางลู่พั่นออกมา เพื่อให้ตามเขาไปที่บ้าน
เช้านี้ นับตั้งแต่ลู่พั่นมา ทำเอาซ่งฝูเซิงยุ่งจนหัวหมุน
ยุ่งจนไม่มีเวลามาอยู่คุยด้วย
สั่งให้ภรรยาของเขาไปเตรียมทำกับข้าวแล้ว
เฉียนเพ่ยอิงเป็นเหมือนน็อต ที่ไหนจำเป็น ก็ไปขันใส่ที่นั่น
เพราะต้องสั่งให้ทุกคนเอาผักดองมาห่อเกี๊ยว เตรียมเลือดกับไส้ให้เขา อีกประเดี๋ยวเขาจะทอด ทอดเสร็จเอามาจิ้มน้ำจิ้มกระเทียมกิน
หั่นแครอทเป็นฝอย หั่นหัวไชเท้าเป็นฝอย สับเนื้อสำหรับทำเป็นไส้ อีกเดี๋ยวทอดเป็นลูกชิ้น
ผัดกระเทียมเหลืองกับไข่ ผัดผักกาดขาว
เอาเม็ดออกจากพุทราแดง หั่นฟักทองเป็นชิ้นเล็ก กลีบดอกลิลลี่แห้งเอามาแช่น้ำ จัดใส่จาน
กับข้าวกี่อย่างแล้ว
ทำไข่เจียวพริกอีกสักหน่อย ทำผัดเปรี้ยวหวานพริก และก็ทำอาหารที่เขาถนัด พริกยัดไส้ เอาหมูสับยัดเข้าไปในพริกแล้วเอาไปทอด
อาหารจานใหญ่สองอย่างสุดท้ายคือ ขาหมูป่าน้ำแดง ผัดเผ็ดหมูป่า อาหารสิบอย่าง