ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 299 ทำให้หัวใจเขากระวนกระวาย
หมาป่าไม่ได้รวมเป็นกลุ่มแล้วลงจากเขา แต่เรียงหน้ากระดานกันลงมา
หมาป่าที่อยู่ด้านหลังจะเหยียบรอยเท้าของหมาป่าด้านหน้า นั่นก็แสดงว่าพวกมันระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ตามนิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
หมาป่าจะทำงานกันเป็นทีม
ใครโจมตีก่อน ใครโจมตีหลัง ตัวไหนรับหน้าที่โอบล้อม ตัวไหนรับหน้าที่กระโจนใส่ หมาป่าแต่ละตัวมีงานของตัวเอง อีกทั้งยังทุ่มเทให้กับหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดตัว
นี่ก็แสดงว่าถ้าฝูงหมาป่าอยากโจมตีใครโอกาสชนะมีสูงมาก
หมาป่ายังมีคุณลักษณะพิเศษอยู่อีกอย่าง
พวกมันโจมตีมนุษย์ไม่บ่อยนัก แต่ถ้าเมื่อใดที่ลงมือก็จะโหดร้ายทารุณเป็นอย่างมาก ไม่มีทางล้มเลิกเพราะเจอการขัดขวาง
หมาป่าเดินทางพันลี้เพื่อกินเนื้อ สุนัขเดินทางพันลี้เพื่อกินอุจจาระ
นั่นก็หมายความว่า หากวิเคราะห์ตามนิสัยของพวกมัน เมื่อพวกมันตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเดินทางไกลลงจากเขาเพื่อกินเนื้อ เมื่อตัดสินใจลงมือกับมนุษย์ เป้าหมายก็มีเพียงหนึ่งเดียว หากไม่ถูกพวกมันกิน พวกมันก็จะถูกกวาดล้าง
ลู่พั่นรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
ตายสี่ เจ็บเจ็ด
ดังนั้นเขาถึงอยากไปดูคนพวกนั้น
เพราะคนพวกนั้นอาศัยอยู่ริมเขา
“ไป!”
ลู่พั่นไม่เคยไปหมู่บ้านเหรินจยา แต่เมื่อเขาเข้าหมู่บ้านไปก็รู้ว่าไม่ได้มาผิด
“จะต้องใช่พวกเขาแน่ ใช่พวกเขาแน่ที่ล่อพวกมันมา”
เวลานี้ชาวบ้านหมู่บ้านเหรินจยาหลายคนมารวมตัวกันอยู่ที่ริมสะพาน
ถึงแม้เหรินหลี่เจิ้งจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เหรินจื่อจิ่วลูกชายคนรองกับลูกชายคนที่สามของเหรินหลี่เจิ้งต่างอยู่ที่นี่
เหรินจื่อจิ่วเข้าไปหาท่านยายไจ๋ที่ถูกสองคนหามออกมา กระซิบเตือน “ท่านป้าไจ๋ ปล่อยวางเสียเถอะ จะเข้าไปในนั้นทำไม ท่านป้าไปหาพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์ ดูสิที่นั่นมีสภาพแบบนั้นแล้ว”
แบบไหน
เหรินจื่อจิ่วทำท่าทางบอกให้ญาติสกุลไจ๋มองไปฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ และบอกให้คนในหมู่บ้านที่เป็นญาติพี่น้องต่างมองไปเช่นกัน ที่นั่นมีควันขึ้นมาอีกแล้ว แสงจากเปลวเพลิงปกคลุมไปทั่ว
หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ หมายความว่าทางนั้นไม่ได้เป็นอะไร ทั้งยังก่อไฟด้วย ก่อไฟทำกับข้าวหุงหาอาหารน่ะสิ
ถ้าคนที่อยู่ที่นั่นถูกหมาป่าเขมือบหมดแล้ว มีแต่กองซากศพ จะมีควันออกมาได้หรือ
เหรินจื่อจิ่วทำเสียงจึ๊ ในขณะที่ทุกคนกำลังมองไปฝั่งตรงข้าม เขาก็พูดรับส่งกับน้องชายอย่างเข้าขา
“อย่าหาว่าข้างั้นงี้เลยนะ ตอนนี้ข้าเห็นควันจากทางนั้นข้ารู้สึกโมโหจริงๆ…
…ข้าแทบอยากจะจุดไฟเผาบ้านพวกนั้นให้หมด…
…คนพวกนั้นแย่มากจริงๆ พวกเขาล่อหมาป่ามา พวกเขาปลอดภัยดีใช่ไหมล่ะ…
…พอเสร็จแล้วก็ไล่ให้หมาป่ามากินคนหมู่บ้านเรา”
ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ ท่านยายไจ๋ร้องไห้จนเป็นลมไปแล้วสี่รอบ
พอฟื้นขึ้นมา ครอบครัวอารองที่อยู่ทางด้านตะวันตกกับครอบครัวอาเล็กที่อยู่กลางหมู่บ้าน ก็เข้ามาบอกว่า ตัวการของเรื่องนี้คือคนพวกนั้นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พวกคนที่เพิ่งมาใหม่ พวกที่หนีภัยมา เพราะคนในหมู่บ้านลือกันแบบนี้
นั่นสิ จะต้องเป็นฝีมือคนพวกนั้นแน่ๆ ใช่แน่นอน
ถ้าไม่อย่างนั้นทำไมบ้านนางที่อยู่ฝั่งตะวันออก หมาป่าไม่กินพวกคนที่อยู่ริมเขา จงใจวิ่งมากินสามีนางที่บ้านของนาง กินลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้ กินลุงที่เป็นญาติห่างๆ ของข้างบ้าน
เช้ามืดวันนี้บ้านนางเกือบตายยกครัว
ตอนแรกก็เสียงลาร้อง ถูกหมาป่ากินจนเหลือแต่ขาทั้งสี่ สามีของนางกับลูกชายคนโตได้ยินเสียงจึงออกไปดู ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามีหมาป่ามา
คิดดูก็รู้ว่าไม่มีทางได้กลับมาอีก
สะใภ้ใหญ่ก็ตามพวกเขาออกไปติดๆ คงอยากเอาตะเกียงส่องดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ปรากฏว่า…
ตอนที่นางออกไปดูพร้อมลูกชายคนรอง ลูกชายคนที่สาม และลูกสะใภ้ สามีกับลูกชายคนโตก็เหลือเพียงกระดูกที่จมอยู่บนกองเลือด ไม่เหลือสภาพของคนนานแล้ว เครื่องในก็ถูกควักออกมากินจนเกลี้ยง
สะใภ้ใหญ่นอนแน่นิ่งอยู่ในคอกสัตว์ ท้องถูกหมาป่าสี่ตัวควักจนเป็นรูใหญ่และก็ยังคงควักต่อ
พอเห็นภาพนี้พวกนางก็ทั้งตะโกนทั้งจุดไฟ เผาคอกลาทิ้ง หมาป่ากลัวไฟ
เกิดเสียงดังเอะอะขนาดนี้ ครอบครัวลุงที่อยู่ข้างบ้านย่อมออกมาช่วย
ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หมาป่าสี่ตัวตกใจ พุ่งเข้ามาจะกัดพวกนางทุกคนอย่างเอาเป็นเอาตาย
หมาป่าหนึ่งในนั้นวิ่งไปด้านนอก เจอกับลุงข้างบ้านพอดี กระโจนงับเข้าที่คอ เลือดสาดกระเซ็น หมาป่าคาบร่างของลุงวิ่งหนี พวกนางวิ่งตามอยู่ด้านหลัง
นึกไม่ถึงว่าทันใดนั้นหมาป่าสามตัวที่เหลือจะหยุดวิ่ง หันกลับมาวิ่งไล่พวกนางอีกครั้ง ราวกับต้องการปกป้องหมาป่าที่วิ่งหนีไปตัวนั้น จะกลับมากัดพวกนาง
พวกนางตกใจมาก…
ไม่ใช่ว่ามีเจตนาจะไม่ช่วยลุง ไม่ได้เจตนาจะไม่ไล่ตามไป
แต่ละคนต่างบาดเจ็บ ตอนนี้ยังมีอีกหลายคนที่นอนเจ็บหนักอยู่ในบ้าน
ส่วนนาง ท่านยายไจ๋ เป็นเพียงคนเดียวในบ้านที่ไม่ถูกหมาป่ากัด เพราะตอนนั้นนางกำลังกอดกระดูกสามีพลางร้องห่มร้องไห้
เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ได้ยินว่าคนพวกนั้นจงใจปล่อยหมาป่าเข้ามาในหมู่บ้านจนมาถึงตรงนี้
สี่ชีวิต นางมีหรือจะไม่แค้น
นางรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ต้องการทวงความยุติธรรมให้สามีและลูกชายของนาง
“จับอาวุธ”
“ถืออาวุธไปถามคนพวกนั้น”
“รื้อบ้านพวกเขาให้หมด จุดไฟเผาคนพวกนั้น”
เหรินจื่อจิ่วเห็นเด็กและคนแก่สกุลไจ๋หลายครอบครัวรวมกันก็เกือบร้อยคน เขายุยงอยู่ข้างๆ “ทุกคน วันนี้เป็นสกุลไจ๋ ครั้งหน้าหมาป่าลงจากเขา ถ้าวิ่งมาที่บ้านพวกเราจะทำยังไง”
“พวกเราก็ไปด้วย” มีบางคนที่ใกล้ชิดกับครอบครัวไจ๋ก็ร่วมตะโกนด้วยความโกรธแค้นด้วย
ยังมีครอบครัวลุงที่เป็นญาติห่างๆ ของท่านยายไจ๋
เสาหลักของครอบครัวพวกเขาเรียกได้ว่าตายอย่างน่าโมโหและอยุติธรรมที่สุด
หญิงชราบ้านนั้นหมดสติไปจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น รับความจริงไม่ได้ที่เสาหลักของบ้านต้องมาถูกหมาป่ากัดตายทั้งเป็น อีกทั้งยังถูกคาบร่างวิ่งหนีไป ไม่เหลือแม้แต่กระดูกไว้ให้พวกเขา
ส่วนลูกชายที่ตามออกไปช่วย ตอนนี้ถูกเกวียนของบ้านเหรินหลี่เจิ้งพาไปส่งโรงหมอที่เมืองถงเหยาแล้ว ถูกกัดหน้าแหว่งไปครึ่งหนึ่ง จะรอดหรือไม่ก็ยังไม่รู้
ครอบครัวนี้ก็เป็นครอบครัวใหญ่เช่นกัน และก็รู้สึกรับไม่ได้หลังจากเกิดเรื่องขึ้น รู้สึกเหมือนฟ้าถล่ม
ไปช่วยแต่กลับถูกกัดตายและเอาร่างวิ่งหนีไปด้วย
อยากเอาเรื่องครอบครัวไจ๋ อยากรื้อบ้านครอบครัวไจ๋ แต่ครอบครัวไจ๋ก็มีคนตายไปถึงสามคน ยามที่ความโกรธแค้นที่อัดอั้นตันใจนี้ยากที่จะควบคุมไว้ พอได้ยินว่าพวกคนที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำเป็นคนล่อพวกหมาป่ามา ในที่สุดก็รู้แล้วว่าจะไประบายความแค้นกับใคร
พวกเขาหยิบจอบขึ้นมา แต่ละคนดวงตาแดงก่ำ
กอปรกับญาติพี่น้องของสองครอบครัวมาช่วย คนอื่นๆ ในหมู่บ้านฟังจบก็กลัวว่าความโชคร้ายแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองในครั้งหน้า ต่างพากันหยิบอาวุธจะไปทวงความยุติธรรม
และก็มีบางคนประเภทที่เพราะถูกเหรินจื่อจิ่วยุยงเท่านั้น แทบไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น ประหนึ่งเฮไหนเฮนั่น พอหัวร้อนขึ้นมาก็จับอาวุธ จะตามทุกคนไปเอาเรื่องพวกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย
แต่ละคนเอาแต่พูดว่าชีวิตแลกด้วยชีวิต ไม่สนว่าคนพวกนั้น ยามนี้อยู่ในสถานการณ์ไหนก็ต้องเอาสี่ชีวิตมาแลก
เหรินโหยวจินหัวหน้าตระกูล ถือไม้เท้าออกมาห้ามก็ยังห้ามไม่อยู่
เขาตะโกนบอกให้ทุกคนหยุด แต่ท่ามกลางเสียงตะโกนของคนพวกนั้น ไม่มีใครฟังเขาแม้แต่คนเดียว
หัวหน้าตระกูลกลัวจริงๆ ว่าวันนี้จะต้องสูญเสียอีกหลายชีวิต ทั้งยังเป็นเพราะฝีมือมนุษย์
และก็เป็นเขาที่เรียกให้คนรีบไปแจ้งมือปราบที่เมืองถงเหยา
เพราะหวังพึ่งเหรินหลี่เจิ้งไม่ได้ ประตูบ้านเหรินหลี่เจิ้งปิดสนิท ไม่ได้ออกมาแม้แต่น้อย พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าป่วยลุกไม่ขึ้น
“ฟังข้าหน่อยได้ไหม ข้ายังเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเจ้าอยู่หรือเปล่า!” เหรินโหยวจินใช้ไม้เท้าขวางกลุ่มชาวบ้านที่พากันชูจอบชูมีด
สะใภ้สี่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับซ่งฝูกุ้ยก็กระซิบอยู่ริมน้ำให้ความยุติธรรม “ไม่รู้ว่าทางนั้นเป็นไงบ้าง พวกเขาอยู่ริมเขา ไม่มีคนไปถามดูยังไม่เท่าไร อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ใครจะอยากให้หมาป่าเข้ามาในหมู่บ้านกัน”
ถูกพวกผู้ชายถลึงตาใส่จนนางเดินกลับบ้านไป
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ หากสะใภ้สี่พูดมากไปกว่านี้คงได้ถูกลงไม้ลงมือ
สามีของสะใภ้สี่ก็จนปัญญา
ในสถานการณ์แบบนี้ เจ้าก็ต้องให้ทางนั้นมีคนตายบ้างถึงจะหายโมโห
พวกผู้หญิงก้าวออกมาพูดจะเป็นการหยามเกียรติ แม้ในใจของพวกเขาจะเห็นด้วยก็ตาม
พูดตามตรง นี่ไม่ใช่การรังแกคนหรอกรึ
เหล่าสตรีร่างอวบพูดกันโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองจากสมอง
“ไม่แน่ว่าฝั่งตรงข้ามจะตายเยอะกว่าอีก ข้าว่านะ ให้หัวหน้าตระกูลพาคนไปดูก่อนดีกว่า…
…ไอ๊หยา ยังไงเสียข้าไม่ไปหรอก เห็นทางนั้นควันโขมง ข้ากลัวว่าศพจะเกลื่อนกลาด…
…อีกอย่าง พวกเจ้าจะไปเอาเรื่องพวกเขาทำไม เอาจอบจามพวกเขาตายก็ต้องตกนรก แถมยังจะเอาถึงสี่ชีวิต เพื่อชดใช้ให้พวกเจ้า…
…เท่าที่ข้าดู พวกเจ้าอย่าไปฆ่าพวกเขาเลย ควรจะไปช่วยไล่หมาป่ามากกว่า หมาป่าสี่ตัวที่กัดคนตายไม่ใช่เหรอ”
ถูกตบปากฉาดใหญ่ แม่สามีของพวกสตรีร่างอวบหันมาตบพร้อมด่า “ไสหัวกลับบ้านไป!”
แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว คำพูดนี้เหมือนเป็นการแหย่รังแตน
ท่านยายไจ๋พร้อมผู้หญิงสิบกว่าคนร้องห่มร้องไห้ ตบขาฉาดใหญ่พลางด่า
“คนพวกนั้นสมควรตาย!…
…พวกเขาต้องชดใช้ให้สามีข้าด้วยชีวิต!…
…ถ้าพวกเขาไม่ปล่อยหมาป่าเข้ามาในหมู่บ้าน…
…ถ้าหมาป่าพวกนั้นกินที่พวกเขาจนอิ่มแล้วก็ไม่มีทางเข้ามาทำร้ายในหมู่บ้าน…
…พวกเขามีกันสองร้อยกว่าคนไม่พอให้หมาป่ากินหรือไง!”
ไม่พอให้หมาป่ากินอย่างนั้นหรือ
ทันใดนั้น ม้ารูปงามสีแดงพุทราตัวหนึ่งได้ยกเท้าหน้าขึ้นฟ้า บังเหียนถูกดึงจนส่งเสียงร้อง ฮี้ ยาว ลู่พั่นนั่งอยู่บนม้า มองกลุ่มคนพวกนั้นที่ชูมีดชูคบเพลิงด้วยความโมโห
ซุ่นจื่อเองก็โมโหจนดึงผ้าปิดปากออก รีบพลิกตัวลงจากม้า เดินขึ้นหน้าไปบอก “คุณชาย ดูท่าคนพวกนั้นจะอาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามของสะพาน คุณชายข้ามสะพานไปก่อน ตรงนี้มีข้าอยู่ และยังมีมือปราบฉี มือปราบฉีคงใกล้ถึงเต็มที คุณชายอย่ามัวโมโหชาวบ้านกลุ่มนี้เลยขอรับ”
ลำคอของลู่พั่นถึงได้ขยับ ข่มอารมณ์โกรธไว้แล้วตะโกน “ไป”
ต้าจวิ้นสีแดงพุทราขึ้นสะพาน วิ่งไปบนหิมะขาวโพลน
หลังจากลู่พั่นขึ้นสะพานไปก็รู้สึกสับสนยากจะบรรยายยิ่งกว่าเดิม
เพราะเขาพบว่าบนสะพานนี้ไม่มีร่องรอยของฝูงหมาป่าแม้แต่น้อย ไม่มีรอยเลือดที่กัดคนด้านนั้นแล้ววิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน บนผิวน้ำใกล้ๆ ก็ไม่มี
นี่ก็แสดงว่า อาจมีหมาป่าสองกลุ่มลงจากเขาพร้อมกัน กลุ่มหนึ่งเข้าหมู่บ้านจากเส้นทางอื่น อีกกลุ่มหนึ่ง…
นี่ก็หมายความว่าตายสี่เจ็บเจ็ดที่มือปราบฉีหมิงทราบข่าว เป็นแค่สถานการณ์คนเจ็บคนตายในหมู่บ้าน
ส่วนพวกคนที่อยู่ริมเขา ต่อให้ยามนี้มีคนตายไปไม่น้อยก็ไม่มีใครไปแจ้งให้พวกเขาทราบ
หิมะโปรยปรายไปทั่ว อยู่ๆ ยิ่งตกก็ยิ่งหนัก หนักถึงขั้นที่บดบังสายตา
ท่านลุงซ่งหลังค่อม พอได้ยินเสียงลุยหิมะก็หันไปดู
ตอนที่เห็นคนกับม้า ชายชราก็รีบเอามือขยี้ตา
วุ่นวายมาทั้งคืน น่าจะเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมถึงเห็นแม่ทัพเล็กได้ล่ะ
อืม รูปร่างลักษณะของแม่ทัพเล็ก ต่อให้ไม่ใส่ชุดเกราะก็จำได้ เพราะเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขา
ลู่พั่นที่อยู่ในชุดคลุมหนังจิ้งจอกสีดำ ยืนอยู่หน้าบ้านเก่าๆ ขณะเดียวกันก็ได้มองท่านลุงซ่งที่กำลังกวาดคราบเลือด