ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 293 คาเฟ่ยุคโบราณ
แต่ไหนแต่ไรมา ท่านย่าหม่ารู้สึกว่าตัวเองหน้าตาดี
ใครไม่เคยเป็นสาวน้อยบ้าง
จริงๆ นะ เคยมองจากผืนน้ำ
สมัยสาวๆ เวลาไปซักเสื้อผ้าที่ริมแม่น้ำก็จะส่องผิวน้ำ มองตัวเอง
ใบหน้านี้เคยถูกพ่อของลูกหลงหัวปักหัวปำ ก่อนตายยังลูบใบหน้าของนางพลางพูดว่า เขายังอยู่กับนางไม่มากพอ แค่นี้ก็รู้แล้ว
ก็แน่ล่ะ ตาโต จมูกโด่ง ปากเป็นรูปอิงเถา ลูกสาวคนโตของนางก็ได้นางมาทั้งนั้น ใครเห็นเป็นชอบมอง
พอดูอีกที ภาพนี้มันช่างทำร้ายจิตใจนางเหลือเกิน
จริงๆ เลย บนหน้าผากมีรอยย่นสามเส้น ร่องข้างปากสองเส้นเหมือนแม่น้ำสองสาย เปลือกตาหย่อนคล้อย หางตาก็มีแต่รอยตีนกา
ใช้ชีวิต วันๆ ก็ไม่รู้ว่ามีร่องบนหน้าผากก่อน หรือมีแม่น้ำตรงข้างปากก่อน
รู้แค่ว่าสี่ฤดูงานยุ่งเหลือเกิน บดข้าวโม่ข้าว ยังไม่ทันได้คิดอะไรอย่างละเอียดก็กลายสภาพเป็นยายแก่เสียแล้ว นางช่างรีบแก่เสียเหลือเกิน
ยุง แมลงวันตะกายมาบนหน้านาง ทิ้งรอยเท้าเอาไว้ หนักบ้างเบาบ้าง
หลังจากสะใภ้เล็กสกุลสวี่ฟังจบว่าเรื่องอะไร ก็เอ่ยปากห้าม “แม่นางซ่งบอกไว้ว่า เอาให้ดูเป็นสัญลักษณ์เก่าแก่” ทันใดนั้นก็คิดได้ “ไม่แก่จะดูไม่สมจริง บุคลิกไม่ได้ นางบอกมาเป็นพิเศษว่า ขอสมจริง”
เจ้าหลานคนนี้นี่ ท่านย่าหม่าหันไปโบกมือให้สะใภ้เล็กสกุลสวี่กับจิตรกร “ไม่ต้องสมจริงนักหรอก สมจริงกว่านี้ก็ไม่มีคนเข้าร้านแล้ว พวกเจ้าเชื่อข้าเถอะ คำพูดข้าถือเป็นคำตัดสิน เจ้าวาดข้าให้ดูขาวหน่อย ส่วนปากก็เอาแดงๆ หน่อย”
ต่อมาต่างฝ่ายต่างก็ถอยกันคนละก้าว วาดแค่หน้าเหมือน อีกทั้งยังเป็นใบหน้าด้านข้าง เป็นภาพท่านย่าหม่าโพกผ้าสีชมพูหันข้าง
อย่ามองว่าหญิงชราคนนี้แก่แล้ว แต่สายตาเมื่อทอดยาวไปไกลกลับเต็มไปด้วยความหลักแหลมและแน่วแน่
อืม ท่านย่าหม่ากลัวตัวเองเดินเพ่นพ่าน นั่งไม่ติด จิตรกรน่าจะวาดได้ที่แล้ว เช่นนั้นเมื่อไรถึงจะกลับบ้านได้ล่ะ นางยังต้องกลับไปกินยาอีกนะ
นางจงใจเอาเงินจำนวนหนึ่งออกมาวางในที่ที่ตามองเห็น เป็นเงินที่ควักออกมาจากเอวกางเกง
นางกลัวว่าวางไว้จะหาย แบบนี้ต้องคอยจับตาดูก็จะเดินไปไหนไม่ได้แล้ว
ขณะเดียวกัน
ในห้องวาดภาพกำลังยุ่งกันอยู่ ไม่เพียงแต่ต้องวาดภาพขนมหลายชนิด วาดภาพเหมือนท่านย่าหม่า วาดภาพดอกเหมยแดงบานสะพรั่งบนร่มกระดาษไขคันใหญ่ จิตรกรทั้งหกลงมือวาดพร้อมกัน
ซ่งฝูเซิงไม่ใช่แค่ตามพวกพ่อบ้านไปดูทำเลตั้งร้าน วันนี้ยังต้องจ่ายเงิน ไปที่ศาลาว่าการเพื่อทำเรื่องย้ายเข้า วิ่งวุ่นไปๆ กลับๆ ในแต่ละอำเภอ ไปกับพ่อบ้านพวกนี้ก็ทำให้เขาได้รู้จักคนมากขึ้น ยังไม่ต้องพูดอื่นไกล เอาแค่อยู่ข้างหลังพ่อบ้าน พอพวกพ่อบ้านแสดงป้ายคล้องเอว เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ลงทะเบียนย้าย รวมถึงขุนนางใหญ่ พอได้ทราบข่าวก็ออกมาส่งที่หน้าประตูด้วยตัวเอง เกรงอกเกรงใจสุดๆ ทั้งยังเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองก่อนด้วย
ณ ถนนเส้นกลางของเมืองเฟิ่งเทียน ร้านขายเครื่องกระเบื้องเดิม วันนี้ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
แรงงานหลายสิบคนแบกหามเข้าออกร้านหลายรอบภายใต้คำสั่งของช่าง
ต้องตกแต่งร้าน อีกทั้งต้องทำโดยเร็วที่สุดด้วย
ลูกน้องคนหนึ่งของช่างได้ถามขึ้น “ปูพื้นไม้ให้หมด ข้าเข้าใจได้ ปูบันไดด้วยก็พอเข้าใจ แต่ทำไมเพดานก็ต้องใช้แผ่นไม้ที่ลงขี้ผึ้งด้วย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
หัวหน้าของเขามองภาพในมือแล้วอธิบายให้ฟัง “เห็นใต้เพดานไม้นี่ไหม นางวาดโคมแขวนเต็มไปหมด นี่ก็เพื่อแขวนโคมเล็กๆ เยอะๆ ห้อยลงมายังไงล่ะ…
…เมื่อถึงเวลา แผ่นไม้ที่พื้นกับบนเพดานสะท้อนหากัน ตรงกลางมีโคมแขวนอยู่เยอะแยะ แผ่นไม้ที่ลงขี้ผึ้งจะมีเงา ทำให้สว่างกว่าห้องธรรมดาทั่วไป”
หัวหน้างานคนนี้เดาจุดประสงค์ของซ่งฝูหลิงออก
ส่วนของเพดานที่อยู่เหนือตู้โชว์เป็นไม้ที่ลงขี้ผึ้ง ทำเหมือนเพดานต่ำ
จากนั้นก็จะห้อยโคมเล็กๆ ด้านบนเรียงเป็นแถว หรืออาจเป็นตะเกียง เอาเป็นว่าจะมีจำนวนเยอะมาก แบบนี้ก็จะสะท้อนลงมาที่ตู้โชว์ได้แล้ว
รวมถึงตรงเค้าน์เตอร์ที่ออกแบบเป็นแบบนี้ ยังมีอีกหลายจุดที่ก็ออกแบบเช่นนี้
แผ่นไม้มีจำนวนเพียงพอ ช่างไม้สิบกว่าคนในร้านรีบทำงานพร้อมกับลูกน้องทันที
นี่เป็นส่วนภายในร้าน
บริเวณด้านหลังอาคาร คนคุมงานที่ลู่จือหว่านส่งมาเวลานี้ในมือก็มีแบบภาพเช่นกัน กำลังสั่งคนอีกกลุ่มหนึ่งให้สร้าง ‘โรงรถ’
ถนนกลางด้านหน้าร้านห้ามจอดรถทิ้งไว้นาน
ไม่ว่าเจ้านายคนไหนหลังลงจากรถ คนคุมรถก็ต้องเอารถไปจอดไว้ที่หลังร้าน
เพื่อให้ดูเป็นระเบียบยิ่งกว่าเดิม และก็เพื่อเลี่ยงคำวิจารณ์ที่ไม่จำเป็นในอนาคต ซ่งฝูหลิงแนะนำลู่จือ หว่านว่า ด้านหลังให้ทำเป็น ‘โรงรถ’ รถม้าของแต่ละบ้านจะได้ไม่ต้องจอดส่งเดช แบ่งเบอร์ชัดเจน หนึ่ง สอง
เวลานี้ที่ด้านหน้าประตู คนคุมงานอีกคนหนึ่งกำลังตะโกน “รีบเอาของลงจากรถ เร็วเข้า ตรงนี้จอดนานไม่ได้”
เห็นชายใช้แรงงานหลายคนอยู่ตรงหน้าประตู พวกเขากำลังขนกล้าต้นสนลงมา
กล้าต้นสนที่ว่า แท้จริงแล้วก็คือต้นสนขนาดเล็กที่สูงประมาณหนึ่งเมตร
ต้นไม้ชนิดนี้ แม้ในหน้าหนาวก็เขียวชอุ่ม
ซ่งฝูหลิงอยากให้หน้าร้านมีสีเขียวๆ
ด้วยเหตุนี้ รูปที่นางออกแบบก็คือ เอาไม้ทำเป็นรั้วล้อมต้นสนพวกนี้ไว้ วางให้รอบร้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบนี้ก็จะเป็นระเบียบขึ้นมาก
อีกทั้งส่วนหน้าร้านที่ล้อมเอาไว้ ก็จะกลายเป็นของพวกนางด้วย
ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ก็จะสามารถเอาร่มกระดาษไขขนาดใหญ่กางออกสองด้านซ้ายขวาในอาณาเขตที่ต้นสนนี้ล้อมไว้ ข้างใต้วางเก้าอี้หวาย โต๊ะกลม บนโต๊ะมีแจกันกระเบื้องปักดอกไม้สักดอกวางประดับ
เมื่อถึงยามนั้น สายลมพัดมาอ่อนๆ นั่งอยู่ด้านนอก จะกินขนมก็ได้ โบกพัดพลางจิบชาก็ดี ทั้งยังสามารถนั่งดูผู้คนที่สัญจรพลุกพล่านที่สุดบนถนนเส้นนี้ได้อีกด้วย รั้วกำแพงด้านนอกสองฝั่งที่ล้อมไว้ เอาภาพวาดไปแขวนไว้ได้ แขวนภาพขนมเค้กนานาชนิด
ไม่เพียงแค่ที่หน้าร้าน ตรงระเบียงด้านข้างชั้นสองที่ติดถนน ซ่งฝูหลิงยังได้ออกแบบเป็นร่มกระดาษไขคันใหญ่สองคันที่ด้านบนเป็นรูปดอกเหมยเหลือง
เพียงแต่ข้างใต้ร่มของชั้นสองมีเก้าอี้เอนสี่ตัว บนเก้าอี้มีหมอนอิงดอกฝ้ายที่แยกส่วนได้
หลังจากที่คุณหนูลู่จือหว่านดูแบบทั้งหมดเสร็จนางก็กวักมือเรียก เปิดคลังเก็บของ หมอนอิงของเก้าอี้นั่ง หมอนอิงของเก้าอี้เอน ทั้งหมดใช้ผ้าทอสีน้ำตาลและสีดำ ก็พอดีที่นางใส่ผ้าทอพวกนั้นไม่ได้ เก็บไว้ก็มีแต่จะฝุ่นจับหรือเอาไว้ตกรางวัล
นางยังขมวดคิ้ว เอาหนังกระต่ายขาวผืนใหญ่สี่ผืนมาต่อกัน วางไว้ในร้าน
นางคิดว่ากลางฤดูหนาว ถ้าจะนั่งเอนบนเก้าอี้ชั้นสองให้ได้ ถึงแม้จะมีอ่างฟืนสี่ชั้นสูงหนึ่งเมตร บนร่างกายก็ต้องมีอะไรห่มสักหน่อยอยู่ดี
จุดนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ อ่างฟืนที่ว่านี้ซ่งฝูหลิงก็เป็นคนคิดออกแบบ
เตาย่างยาวๆ ที่ใช้ย่างเนื้อแพะเสียบไม้รู้จักใช่ไหมล่ะ ซ่งฝูหลิงออกแบบให้มีสี่ชั้น แต่ละชั้นมีระยะห่าง สุดท้ายเอาตาข่ายลวดล้อมเข้าไว้ด้วยกันจากด้านนอก แบบนี้สะเก็ดไฟก็จะไม่กระเด็นออก และยังดูสะอาดอีกด้วย
และที่สำคัญที่สุดคือ ‘เตาถ่าน’ แบบนี้ข้างใต้มีล้อใช้เข็นได้ ใครต้องการก็ลากไปให้คนนั้น
สารพัดที่กล่าวมา ตั้งแต่กระถางต้นสนที่อยู่หน้าร้านไปจนถึงบันได ตะเกียงที่วางอยู่แต่ละขั้นบันได ห้องครัว เค้าน์เตอร์ ตู้โชว์ เก้าอี้นั่ง ใช้ชั้นวางเครื่องกระเบื้องก่อนหน้านี้เป็นฉากกั้น หรือแม้กระทั่งห้องน้ำกับโรงรถด้านหลัง หลังจากที่ดูการออกแบบทั้งหมดแล้ว พูดตามตรง ลู่จือหว่านรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
นางไม่กล้าจินตนาการเลยว่าเมื่อตกแต่งเสร็จทั้งหมดแล้วจะเป็นอย่างไร
และนางก็ไม่ได้คิด ฟังซ่งฝูหลิงทุกอย่าง ครั้งนี้ลงทุนไปมากขนาดนี้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะคืนทุน
ในใจนางเต็มไปด้วยความคิดที่ว่า สมมติว่าทำออกมาแล้วเป็นอย่างที่นางวาดฝันไว้ ร้านของนางก็จะเป็นร้านที่มีเอกลักษณ์และสวยที่สุดในเมืองเฟิ่งเทียน
นางพูดกับปี้เอ๋อว่า
“ไปตามหาสตรีที่ดีดกู่เจิงได้ไพเราะที่สุด วันเปิดร้านข้าจะให้นางเล่นเพลงใต้ร่มดอกเหมยเหลืองชั้นสอง…
…ปี้เอ๋อ เจ้าว่าวันนั้นหิมะจะตกได้ไหม…
…ถ้าข้างนอกมีหิมะโปรยปรายล่ะก็ จะยิ่งสวยเข้าไปใหญ่”