ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 283 ขายนม
เถาฮวาเป็นคนทำผมให้
ซ่งฝูหลิงเปลี่ยนไปใส่ชุดที่สอดคล้องกับการแต่งตัวของเด็กผู้หญิงสมัยโบราณ
พอหันหน้ามา เฉียนเพ่ยอิงมองบุตรสาวแล้วก็ยิ้ม
มันน่าพอใจจริงเชียว
อายุเท่านี้ ไม่จับแต่งตัวแล้วจะได้แต่งเมื่อไหร่กัน
ไม่ต้องสนว่าจะสมัยโบราณหรือปัจจุบัน ในสายตาของเฉียนเพ่ยอิง รอให้อายุเท่านาง จะแต่งอะไรก็ดูธรรมดาไปแล้ว
วัยสาวของเด็กผู้หญิง เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไป เมื่อยังสาวก็ต้องสวย ถ้าไม่พยายามทำตัวให้สวยประเดี๋ยวจะต้องมานั่งเสียใจ
นางตัดสินใจแล้วว่าจะทำชุดเพิ่มให้มากหน่อย
สมัยโบราณแล้วอย่างไร ก็ต้องให้บุตรสาวของนางมีเสื้อผ้ามากมาย แต่งตัวสวยเหมือนกันต้องเสียเงินเยอะ? นางไม่กลัวเรื่องเงิน มีพ่อของลูกอยู่ทั้งคน
เฉียนหมี่โซ่ววิ่งเข้ามาในบ้าน พอเห็นพี่สาวก็อึ้งไปชั่วขณะ
ในสายตาของเขา พี่สาวไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
ปกติชุดที่พี่สาวสวมใส่มักดูยุ่งเหยิงอยู่เสมอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนลี้ภัย สกปรกมอมแมม แต่พอมาถึงที่นี่ พี่สาวก็สวมใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ทบแล้วทบอีก
“เป็นอะไรไป” ซ่งฝูหลิงถามหมี่โซ่ว
หมี่โซ่วพูดพึมพำออกมาทันที “อิจฉาจัง”
เดิมทีซ่งฝูหลิงคิดว่าน้องชายจะบอกว่าสวยจัง ปากฉีกยิ้มรอคำชม ปรากฏว่าเป็น อิจฉาจัง มันคืออะไร
ซ่งฝูเซิงยิ้มพลางว่าหมี่โซ่ว “เจ้าอิจฉาอะไร อิจฉาที่วันหน้าเจ้าก็อยากแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงบ้างอย่างนั้นรึ”
พอได้ยินบุตรชายคนที่สามพูดแบบนี้ ท่านย่าหม่าก็หันไปยิ้มให้หมี่โซ่ว
พวกเด็กๆ พากันตะโกน “พี่พั่งยาสวยจังเลย พี่พั่งยาดูดีที่สุด”
ซ่งฝูหลิงขึ้นรถม้าท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้
นางเองก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมที่คุมรถม้าคิดอย่างไร
และก็ยิ่งไม่รู้ว่าท่านพ่อของนางคิดอย่างไร “ท่านพ่อขึ้นมาทำไม”
“ข้าไม่วางใจ”
“คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ มีอะไรให้ไม่วางใจ ถ้าท่านพ่อไปก็เหลือท่านแม่ทำงานคนเดียวแล้ว”
“ไม่เป็นไร ยังมีท่านย่าของเจ้าอีก”
ซ่งฝูเซิงไม่ฟัง บอกให้คนคุมรถม้ารีบไป
ถึงแม้เมื่อวานจะคุยกันแล้วว่าเขาจะไม่ตามไปด้วย แต่หลังจากตกลงกันเสร็จ เขากลับนอนไม่ค่อยหลับ
แม้จะพอเดาได้ว่าพี่สาวของแม่ทัพเล็กคงไม่ถึงกับสร้างความลำบากให้ จะสร้างความลำบากให้ชาวบ้านอย่างพวกเขาทำไม แต่ว่า…ไม่ได้
“ข้าจะไม่โผล่หน้าออกไป โผล่หน้าไปก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ธุระและก็ไม่สะดวก ข้าจะไปพบเจ้านายเฉิน เราสองคนจะหลบคุยกันอยู่ข้างล่าง เจ้าก็แสร้งทำเป็นว่าข้าไม่ได้ตามไปด้วย”
ซ่งฝูหลิงหยิบกระดาษ พู่กัน และหนังสือออกมา เหลือบมองท่านพ่อของนางแวบหนึ่ง ช่างเถอะ อยากไปก็ไป
จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์ที่คุมรถก็หูผึ่งตลอดทาง ได้ยินเสียงถามจากในรถอยู่ตลอด “อักษรตัวนี้อ่านว่าอะไร อักษรตัวนั้นอ่านยังไง” เขาไม่ได้ยินข่าววงในอะไรแม้แต่น้อย
เดิมทีก่อนหน้านี้ เจ้านายเฉินเคยได้ประโยชน์ พวกเขากลับไปได้รายงานคำพูดของครอบครัวนี้ตอนอยู่ในรถ
วันนี้เขาเองก็มาพร้อมภารกิจเช่นกัน
แต่ว่า?
ทำไมฟังดู ท่าทางของสองคนนี้ไม่เหมือนว่าอีกประเดี๋ยวจะไปพบกับคนมีฐานะ กลับคล้ายจะไปเจออาจารย์สอนหนังสือเสียมากกว่า เหมือนกลัวจะถูกอาจารย์ทดสอบ
ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ซ่งฝูหลิงจะใช้โอกาสที่ซ่งฝูเซิงอยู่ข้างกายเรียนรู้อักษร นางยังได้หาเคล็ดลับในการจดจำตัวอักษรอีกด้วย
คุณหนูสงคุณหนูสาม คุณนายใหญ่จวนฉีอะไรนั่น นางได้ลืมไปหมดแล้วตั้งแต่หยิบหนังสือออกมา
ซ่งฝูหลิงหาอักษรที่เลียนแบบรูปภาพออกมาก่อน ตัวไหนที่เหมือนรูปภาพก็วงเอาไว้
จากนั้นก็ใช้วิธีแยกส่วนประกอบ อักษรตัวไหนที่แยกส่วนออกมาแล้วยังอ่านเป็นอักษรได้นางก็ทำสามเหลี่ยมไว้
จากนั้นก็ใช้วิธีแยกขีดจดจำอักษร
อย่างเช่นการเพิ่มขีด ลดขีด สับเปลี่ยน เพิ่มหนึ่งขีดอ่านว่าอะไร ลดหนึ่งขีดอ่านว่าอะไร เปลี่ยนอักษรด้านข้างเป็นแบบโบราณอ่านว่าอะไร
ขอคำชี้แนะจากซ่งฝูเซิงทีละตัว ให้ท่านพ่อของนางสอนมากหน่อย
สุดท้ายใช้วิธีเปรียบเทียบ อักษรตัวใดที่หน้าตาคล้ายกันก็ใส่เลขลำดับ จัดกลุ่ม แบบนี้ก็จะไม่จำสับสน
อย่าว่าแต่เสี่ยวเอ้อร์ที่คุมรถม้าจะฟังแล้วงงว่าคนข้างในคุยอะไรกัน แม้แต่ซ่งฝูเซิงก็ยังเกือบงงไปกับคำถามของบุตรสาว “เดี๋ยวนะ ลูกจำอักษรพวกนี้ได้ทั้งหมดในเวลาไม่นานนี่เหรอ มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรีบร้อนทำก็ได้นะ”
ซ่งฝูหลิงยื่นหนังสือให้ “ท่านพ่อทดสอบข้าได้”
ซ่งฝูเซิงชะงัก
“อันนี้”
“ตัวชิง”
“อันนี้”
“อ่านว่าจี” จากนั้นซ่งฝูหลิงก็หยิบหนังสือไปเปิดอยู่สักพักทั้งยังบอกท่านพ่อของนาง “คำที่ผสมกับอักษรจีได้ข้าก็จำได้หมดแล้ว มีทั้งไก่ชิ้น ปีกไก่ ไก่เส้น สเต็กไก่ น่องไก่ คอไก่ อกไก่ เท้าไก่ ตูดไก่”
ทันใดนั้น เสี่ยวเอ้อร์ก็ตะโกนว่า ถึงแล้ว ซ่งฝูหลิงถึงได้ปิดหนังสือ
ไม่รู้เพราะเหตุใด ซ่งฝูเซิงรู้สึกโล่งอก
ภายในห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมอีผิ่นเซวียน
สาวใช้ใหญ่ปี้หลัวเปิดประตูห้อง ซ่งฝูหลิงเดินเข้าไป
นางยืนตรงตำแหน่งที่ควรยืน “ข้าน้อยซ่งฝูหลิง น้อมทักทายคุณนายใหญ่”
ลู่จือหว่านได้ยินก็หันหน้ามามอง
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีนางก็จะจำภาพนี้ได้ ตอนนั้นนางน่าจะเลิกคิ้วด้วยความรู้สึกเหนือความคาดหมาย
เวลานี้ลู่จือหว่านเลิกคิ้ว เดิมทีนั่งหันข้างให้อยู่ ทว่ากลับหันมาด้วยความสงสัย
นางสำรวจซ่งฝูหลิงตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
“ปีนี้ข้าอายุสิบสามปีเจ้าค่ะ”
หญิงชาวบ้านอายุสิบสามปี พอเจอนางกลับไม่มีอาการทำตัวไม่ถูก ไม่ลนลาน ไม่มีพูดจาเงอะงะ
ดวงตากลมโต ตาดำเปล่งประกายเหลือเกิน
ทำให้ลู่จือหว่านยิ่งทวีความสงสัย อาจเป็นเพราะอยู่ใกล้มาก นางสามารถมองเห็นเงาของตัวเองได้จากในดวงตาดำขลับของเด็กผู้หญิงคนนี้ ดวงตาคู่งามมีชีวิตชีวา ภายในเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ผอมไปหน่อย หากอ้วนกว่านี้อีกสักนิดก็พอจินตนาการได้เลยว่า หากอยู่กับคนที่คุ้นเคยกัน มีความทะเล้นสักหน่อย คงยิ่งดูซุกซนมากกว่าในเวลานี้
ลู่จือหว่านเคยเห็นสตรีที่งดงามมามาก
สตรีรูปงามที่แสร้งทำเป็นสุขุมก็พบเจอมาไม่น้อย
ไปเป็นแขกบ้านอื่น บุตรสาวของขุนนางที่พอเชิดหน้าชูตาได้บ้างจะถูกเจ้าของบ้านพามาพบนาง ทำความเคารพนาง
นางมองออกว่า บางคนวิตกกังวลจริง บางคนแสร้งทำเป็นวิตก แสร้งทำเป็นสุขุม แท้จริงแล้วเมื่อเทียบกับแบบแรก แบบหลังที่แสร้งทำนั้นนางเห็นแล้วหงุดหงิดใจยิ่งกว่า
ทว่าเด็กผู้หญิงตรงหน้านางคนนี้ สมมติว่าก็แสร้งทำเป็นสุขุมเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นก็เป็นคนที่แสร้งทำเป็นวางมาดสุขุมได้เหมือนที่สุด ดีที่สุด ในบรรดาสตรีที่นางเคยเจอมา
ทั้งที่เป็นเพียงหญิงชาวบ้าน
“เจ้ากังวลหรือไม่” ลู่จือหว่านพูดจบถึงตระหนักได้ว่า ทำไมตัวเองถึงได้ถามออกไป
ซ่งฝูหลิงตอบว่านางไม่กังวล
ดูสิ สีหน้าแบบนั้นสมจริงเหลือเกิน
จุดที่สองที่ทำให้ลู่จือหว่านสงสัยมากก็คือ “เจ้าเข้ามาใกล้ๆ ยื่นมือออกมาให้ข้าดูหน่อย”
นางไม่เชื่อว่า ผิวพรรณของเด็กสาวชาวบ้านจะนวลเนียน ขาวสะอาด ใบหน้าอย่าว่าแต่ถูกลมพัดจนแดงก่ำ แม้แต่จุดด่างดำก็ไม่มี ไฝก็ไม่มีอย่างนั้นรึ
บนใบหน้าปกปิดได้ แต่บนมือปกปิดกันไม่ได้หรือเปล่า
ซ่งฝูหลิงยื่นสองมือออกไป
ลู่จือหว่าน “…”
สาวใช้ใหญ่ทั้งสี่ของลู่จือหว่าน บางคนยังแอบก้มหน้ามองมือของตัวเอง
ในที่สุดซ่งฝูหลิงก็เข้าใจว่าสตรีรูปงามคนนี้หมายความเช่นไร “อาจเป็นเพราะข้าทำขนมเค้กบ่อย ใช้นม สองมือแช่อยู่ในน้ำนมกับไข่อยู่บ่อยครั้งกระมัง”
ลู่จือหว่าน เอ๊ะ พอมาดูใกล้ๆ สามารถมองเห็นเงาของนางในดวงตาของเด็กคนนี้ได้จริงๆ ตาดำของเด็กคนนี้ดูเหมือนจะใหญ่กว่าคนทั่วไป
อีกทั้งพอดูใกล้ๆ ก็พบว่า ปากก็ดูอ่อนละมุนกว่าคนอื่น
ซ่งฝูหลิงมองลู่จือหว่านที่อยู่ตรงหน้า เข้าใจอะไรขึ้นมาอีกครั้งจากสายตา นางเป็นฝ่ายพูดก่อน “อาจเพราะข้าดื่มนมพุทราผสมเมล็ดซิ่งเป็นประจำเจ้าค่ะ”
สาวใช้ใหญ่ทั้งสี่กุมขมับ ไปกันใหญ่แล้ว
คนหนึ่งเหมือนแม่ค้าขายนม
อีกคนเหมือนคนมาสอบถามว่าดื่มนมมีประโยชน์อะไร