ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) - ตอนที่ 12
ตอนที่ 12 ตราผนึกของรอยร้าวแห่งน้ำแข็ง
ยี่สิบนาที่อันยาวนานผ่านไป พวกผมก็ตกลงข้างๆ ช่องแคบของรอยร้าวแห่งน้ำแข็งกับตราผนึกระหว่างทางเข้าออกรอยร้าวแห่งน้ำแข็งอย่างปลอดภัย
ผมใช้ร่มชูชีพที่สร้างจากเวทมนตร์ลงมาตกที่ฝั่งหนึ่ง แล้วพินิจดูรอบๆ
สีน้ำเงินบนพื้นนั้นเข้มจนจวนจะเป็นสีดํา และกําแพงรอบๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
กําแพงรอบด้านหดลงเรื่อยๆ เมื่อใกล้จะถึงส่วนพื้น จนตอนนี้ทั้งพื้นที่ที่มีขนาดประมาณห้องเรียนเท่านั้น
ส่วนตรงกลาง รอยร้าวจุดหนึ่งก็แผ่ไอเย็นเสียดกระดูกออกมาไม่หยุด บนเสาหินต้นหนึ่งที่ด้านข้าง มีลวดลายเวทมนตร์นับไม่ถ้วนสว่างจนแสบตา และตรงกลางเสาก็มีแม่กุญแจแขวนเอาไว้
จะมองยังไงมันก็ดูเป็นสิ่งที่เรียกว่าตราผนึกจํากัดการบินสินะ
“ช่างน่าอัศจรรย์! โครงสร้างเช่นนี้ทําให้ลดความเร็วลงได้ด้วย”
ได้ยินคําพูดนี้ ผมก็หมุนตัวกลับไปมอง
ขณะนี้มิสสโนว์มันสเตอร์กําลังย่อตัวพินิจมองร่มชูชีพที่ผมเพิ่งใช้เวทมนตร์สร้างขึ้นด้วยความสงสัย
“มิสสโนว์มันสเตอร์”
“หืม”
มิสสโนว์มันสเตอร์หมุนตัวกลับมา หลังจากเห็นสายตาของผมก็แลบลิ้นด้วยความเก้อเขิน
“ฮ่าๆๆ ขอโทษที ข้าเพียงแค่สงสัยต่อสิ่งแปลกใหม่เท่านั้น เมื่อก่อนข้าไม่เคยเห็นสิ่งของที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย”
“งั้นคุณก็ดูต่อไปเถอะ มีแค่ผมที่ใช้เวทมนตร์สร้างมันออกมาได้”
“จริงหรือ”
มิสสโนว์มันสเตอร์เบิกตาโพลงทันที
“ดูไม่ออกเลยว่าเจ้ามีพรสวรรค์ของนักเล่นแร่แปรธาตุด้วย”
“มันก็แค่การใช้หลักฟิสิกส์ง่ายๆ เอง…เอาละ ถ้าคุณอยากรู้ก็ออกไปค่อยว่ากัน ตอนนี้พวกเรามาคิดหาทางออกไปก่อนเถอะ”
“จะว่าไปก็ถูก ใช่แล้ว นั่นคือตราผนึกการบิน”
อีกฝายชี้ไปที่เสาประหลาดต้นนั้น
“มันคือสิ่งนั้น ข้า”
เธอยังไม่ทันพูดจบ อาร์ย่าก็ชักดาบออกมา แล้วมันก็กลายเป็นดาบเพลิงขนาดยักษ์ในชั่วพริบตา
“อาร์เคน ผู้แบ่งแยกสีชาด!”
แคโบกดาบเพลิง เคียวสีแดงก็หมุนวนกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็สับลงบนเสาอย่างรุนแรง
ฟันอยู่นานก็ไม่ยอมขาดเลย…”
เคียวสีแดงหายไปทันที แต่บนเสาหินกลับไม่มีร่องรอยใดๆ เลย
พวกเธอสองคนเป็นความร่วมมือระหว่างภาคทฤษฎีกับภาคปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบจริงๆ เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว อาร์ย่ามีนิสัยที่ชอบทดลองด้วยตัวเองมากกว่า เมื่อเห็นการโจมตีของตัวเองไร้ผล จึงเก็บดาบสั้นอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วหยิบมีดออกมา
“ฉันเคยเห็นกุญแจแบบนี้เป็นครั้งแรก พวกนายรอเดี๋ยวนะ…”
พูดจบ เธอก็ยืนวุ่นอยู่กับแม่กุญแจต่อ
ถ้าพูดกับเธอตอนนี้จะเป็นการรบกวนไหมนะ ผมมองไปยังมิสสโนว์มันสเตอร์ที่กําลังวิเคราะห์ร่มชูชีพ แล้วเดินเข้าไป
“จะว่าไป คุณอยู่ที่นี่มาตั้งหกร้อยกว่าปีแล้ว ปกติคุณทําอะไรเหรอ”
“เดินเล่นไง ทุกสิบสองชั่วโมง รอยร้าวแห่งน้ำแข็งจะมีลมแรงพัดมา พัดจนทําให้คนปลิวไประยะหนึ่ง ด้วยลมที่พัดต่อเนื่อง ทําให้สามารถไปได้ไกลที่สุดถึงดาดฟ้าที่ดูเหมือนกับเขาวงกต ที่นั่นมีสัตว์ประหลาดมากมาย ดังนั้นข้าจึงอาศัยอยู่บนเกาะอันใหญ่โตข้างล่างดีกว่า”
“แบบนี้เอง…แล้วทําไมไม่อาศัยลมบินออกไปล่ะ”
“เพราะบนเขาวงกตไม่มีที่อื่นที่สามารถยืนได้น่ะสิ ทุกครั้งที่เกือบจะเห็นทางออกของรอยร้าวลมก็จะหยุดลง แล้วข้าก็ตกลงมาอีกครั้ง”
“โชคดีที่ตกแล้วไม่ตายนะ…”
“นั่นสิ มีครั้งหนึ่งข้าตกลงมาถึงตรงนี้จากจุดที่สูงที่สุด ตกอยู่นานเลยล่ะ”
เห็นเธอท่าทางดีใจขนาดนี้ ผมก็คิดว่ายัยนี่ตกลงมาหลายครั้งจนเอ๋อไปแล้วหรือเปล่า
“แล้วที่นี่ไม่มีทางออกอื่นเลยเหรอ”
“ไม่มี ข้าเห็นที่อื่นมาหมดแล้ว มันไม่มีทางออกเลย”
“ก็ได้…”
ดูท่าการสะเดาะกุญแจคงเป็นวิธีออกไปเพียงหนึ่งเดียว แต่พอเห็นท่าทางของอาร์ย่าที่ดูยิ่งหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เริ่มสงสัยว่าพวกเราจะออกจากที่นี่ได้ไหม
ยิ่งกว่านั้น ยังไม่รู้ด้วยว่าเหลือเวลาอีกแค่ไหน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปข้างนอกคงปิดทางออกแล้ว พวกเราคงต้องถูกผนึกอยู่ใน…ไม่สิ! เดี๋ยวก่อน!
ผมหมุนตัวมองไปยังรอยร้าวแห่งน้ำแข็ง
“คือว่ามิสสโนว์มันสเตอร์ ผมถามหน่อยสิ คุณเคยลองเข้าไปในรอยร้าวแห่งน้ำแข็งไหม”
“รอยร้าวแห่งน้ำแข็งหรือ”
เธอมองไปทางนั้น แล้วตัวก็สั่น
“อย่าดีกว่า แค่เข้าใกล้ที่นั่นผิวก็จะเริ่มถูกแช่แข็ง ไม่ทันได้เข้าไปก็คงกลายเป็นเสาน้ำแข็งไปแล้ว ใช่แล้ว เห็นรูปปั้นน้ำแข็งประหลาดตรงมุมนั้นไหม พวกนั้นคือศพของคนที่ติดอยู่ในรอยร้าวแห่งน้ำแข็งจนกลายสภาพเป็นเสาน้ำแข็ง และข้าก็แงะพวกมันออกมาเพื่อให้ลมพัดข้าขึ้นไปได้อีกทั้งเพราะเห็นสภาพของพวกมัน ข้าถึงไม่อยากลองเข้าไปไง”
“แบบนี้นี่เอง…”
ดูท่าผืนเข้าไปคงตายสถานเดียว
“งั้นในนั้นคืออะไร”
“แม้ไม่แน่ใจนัก แต่ข้าเคยได้ยินอาจารย์เคยบอกว่า ในนั้นเป็นทางเข้าสู่อาณาเขตของปีศาจน้ำแข็งแห่งนรก”
“ปีศาจเหรอ”
คํานี้กระตุ้นประสาทของผมทันที
โดยทั่วไปแล้ว ปีศาจกับเทพต่างก็อยู่ในกลุ่มที่มีการแข่งขันกันมากที่สุดในโลก และครอบครองเวทสายแสงกับเวทสายมีดเอาไว้ แม้มนุษย์บนโลกจะครอบครองเวทมนตร์อื่นๆ แต่เมื่อเทียบกับเทพและปีศาจเหล่านั้นแล้ว กลับอยู่คนละชั้นกันอย่างสิ้นเชิง
ถ้ามีโอกาสเข้าไปในเขตแดนปีศาจ แล้วแอบขโมยหนังสือเวทมนตร์สักเล่ม ถ้างั้นผมต้องคุ้มครองความสงบสุขบนโลกได้แน่ เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ!
แต่ว่า การตั้งค่าให้แข็งตายนี่ก็น่ากลัวเกินไปจริงๆ แม้แต่นักธนูสายน้ำแข็งเลเวล 45 ยังพูดแบบนี้ แล้วถ้าคนที่ไร้อาชีพเลเวล 19 อย่างผมเข้าไป จะไม่เป็นการรนหาที่ตายเหรอ
“ใช่แล้ว ปีศาจเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ข้าถึงไม่อยากเข้าไปไง”
“อ่า…อ่า นั่นสิ”
ผมรีบตอบ
“อ ฉันไม่ทําแล้ว! พวกนายสองคนอย่ามัวแต่ยืนคุยกันสิ! มาช่วยที่!”
เคร้ง!
มีดเล่มหนึ่งปักลงที่ข้างเท้าของผม
หันหน้ามองไป ก็เห็นอาร์ย่ากําลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ไม่ได้เหรอ เมื่อกี้ไหนใครบอกว่าสะเดาะกุญแจได้ทุกอย่างไง”
“กุญแจนี้มันน่ากลัวเกินไป! ในนั้นมีล็อคตั้งสิบกว่าชั้น ให้ฉันจัดการที่ละชั้นไม่ได้หรอก!”
ผมมองไปที่กุญแจนั้น ภายนอกมีร่องรอยการถูกเผามากมาย ดูแล้วมันคงทําให้อาร์ย่าเป็นบ้าจริงๆ
“ได้ ฉันจะใช้น้ำแข็งจําลองกุญแจออกมาตามรูปร่างที่เธอพูด เมื่อเธอไขไปแล้วบางส่วนใช่ไหม”
“อืม…งั้นก็รีบเข้า!”
ดูท่าอาร์ย่าคงอยากรีบชําระแค้นนี้ จึงหยิบมีดบนพื้นขึ้น แล้วเหน็บไว้ที่หลังเอวเธอ
“เร็วสิ!”
“ก็ได้ๆ! อย่ารีบสิ”
เมื่อมาถึงตรงหน้ากุญแจ อาร์ย่าก็หยิบมีดเสียบเข้าไป ไขดูเล็กน้อย
“ชั้นแรก 0.3 เซนติเมตร ห่างไปอีก 0.06 เซนติเมตรก็เป็นชั้นที่สอง…”
“เดี๋ยวๆๆ! ถึงเธอพูดแบบนี้ แต่ฉันจะรู้ได้ไงว่า 0.06 เซนติเมตรมันยาวแค่ไหนล่ะ!”
“ยาวประมาณนี้”
อาร์ย่าพูดพลางชูนิ้วขึ้นแสดงท่าทาง
พระเจ้า ถึงเธอใช้สองนิ้วมาทําท่าให้ฉันดู ฉันก็มองไม่ออกหรอกนะ!
เธอคิดว่าในตาฉันมีไม้บรรทัดหรือไง!
“เอางี้ เธอเอามีดเสียบไปที่ตําแหน่งปลดล็อค แล้วฉันจะแช่แข็งมัน จากนั้นเธอค่อยทําอันต่อไป เป็นไง”
“ก็ได้!”
พูดจบเธอก็ดึงล็อคชั้นแรกที่ฟังแล้วออกมา ผมร่ายเวทลงไปทันที แล้วบนนั้นก็มีชั้นน้ำแข็งก่อตัวขึ้นชั้นหนึ่ง
ดูท่าจะเวิร์ค
“ระวัง!”
พวกผมยังไม่ทันได้ดีใจ ก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้น แล้วลูกศรขนนกที่ยิงผ่านไหล่ขวาผมไป จากนั้น ก็เกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้นข้างหลังผม
หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นสิ่งที่เหมือนกับงูกําลังลอยอยู่กลางอากาศ และส่วนหัวก็มีลูกศรปักอยู่
พระเจ้า!
ได้เวลาหาค่าประสบการณ์แล้ว!