ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) - ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 เรื่องแรกในวันปิดเทอมคือการโดนแกล้ง
“ในฐานะนักเวทอาณาจักรที่บันทึกชื่อไว้ในอาณาจักรเอส ก็อย่าคิดจะสบายในวันหยุดเลยรีบไปรายงานการทํางานที่อาณาจักรเอสเดี๋ยวนี้!”
วันแรกของปิดเทอม ประตูห้องพักผมก็ถูกผู้คุ้มกันดูอัลขององค์หญิงสโนว์ถีบจนแหลก จากนั้นองค์หญิงสโนว์ก็บุกเข้ามาในหอพักของผมอย่างรู่วาม แล้วตะโกนใส่ผม
ตอนนี้ผมกําลังทําอาหารเช้าสําหรับการเริ่มต้นของวันหยุดอย่างมีความสุข ก็ถูกองค์หญิงสโนว์ทําให้ตกใจ จนขนมปังที่เพิ่งปิ้งเสร็จเกือบตกลงพื้น
แน่นอน สิ่งที่ทําผมตกใจไม่ใช่การที่เธอบุกเข้ามาแต่ไก่โห่ และไม่ใช่ประตูที่โดนถีบพัง แต่เป็นวันหยุดที่กําลังจะผ่านไปของผม
และผมก็ต้องรักษามันไว้แน่นอน
“คุณพูดอะไรน่ะ ทําไมต้องไปทํางานวันหยุดด้วย! วันหยุดก็ต้องพักผ่อนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว! นายไม่อยากรับค่าจ้างแล้วหรือไง! ไม่อยากได้วัตถุเวทมนตร์นับไม่ถ้วนแล้วหรือไง!”
“มีค่าจ้างเหรอ งั้นก็เป็นอีกเรื่อง”
ผมกินขนมปังไปสองสามคํา แล้วนั่งลงตรงหน้าองค์หญิงสโนว์
“เท่าไร”
“หนึ่งแสนต่อเดือนเป็นไง”
องค์หญิงสโนว์พูดไปด้วยพลางมองดูอัลที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งขณะนี้กําลังซ่อมประตูอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อรู้ว่าทําฟังก็ต้องซ่อม แล้วทําไมไม่เคาะประตูดีๆ แต่แรกละประตูนั่นไม่ต้องใช้เงินจ่ายหรือไง ประตูก็เสียใจเหมือนกันนะ
“คือ….ที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจเรื่องเงินเหมือนกัน เดือนหนึ่งข้าก็ใช้เงินประมาณสามแสนแล้วนะ คือ…ดังนั้นถ้าไม่มีค่าจ้างข้าก็จ่ายให้เจ้าก็ได้น”
สมกับเป็นองค์หญิง ระดับความร่ํารวยนี้สมชื่อจริงๆ
ผมขโมยเงินจากประเทศเล็กๆ นั่นมาได้แค่ห้าแสนเหรียญทอง แต่คุณกลับใช้สามแสนเหรียญทองในหนึ่งเดือนเชียว คุณรู้สึกยังไงกันนะ
พวกคุณเงินเฟ้อหนักมากเลยเหรอ เงินเยอะงั้นเหรอ
“เอาเถอะ ในเมื่อคุณไม่แน่ใจ งั้นผมขอถามคุณหน่อย ทําไมผมต้องไปอาณาจักรเอสด้วยล่ะ”
การแข่งขันชั้นปีผ่านไปแล้วสองสัปดาห์ เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นเหมือนเรื่องที่ไม่เคยเกิด ชีวิตในสถาบันก็ค่อยๆ กลับสู่ความปกติอีกครั้ง
แม้แต่ห้องสมุดที่โดนผมเผา ก็ถูกซ่อมแซมจนเสร็จอย่างรวดเร็ว จนต้องยอมรับว่าความอัศจรรย์ของเวทมนตร์เป็นสิ่งที่คนทั่วไปอย่างพวกเรายากจะเข้าใจจริงๆ
หลังจากการแข่งขันชั้นปีสิ้นสุดสามวัน ผู้ประกอบการใหญ่ที่มาจากเมืองต่างๆ ก็ค่อยๆ กลับไป แต่มาตรการป้องกันที่นี่กลับยกระดับขึ้นอีกหลายขั้น โดยเฉพาะเมื่อพวกเขารู้ว่าด้านมืดได้กลับคืนมาในแผ่นดินใหญ่แล้ว พวกเขาย่อมต้องระวังความปลอดภัยของลูกๆ เป็นธรรมดา
และเพราะแบบนี้ โรงเรียนทหารโทโกและสถาบันเวทมนตร์เกรย์จึงกลายเป็นพันธมิตรกันอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เลยสามารถเห็นเหตุการณ์ที่อัศวินสวมชุดเกราะกับนักเวทเดินด้วยกันภายในสถาบัน
ส่วนลงจอร์จก็ได้ออกไปจากสถาบันเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน เพราะใช้ไม้อ่อนกับผมไม่สําเร็จ และก่อนไปเขายังให้ยุบริลทําหน้าที่ข่มเหงผมต่อ มันทําให้ผมต้องพยายามหลีกหนียูบริลอย่างเต็มความสามารถ
เมื่อหลายวันก่อน การสอบปลายภาคของเทอมนี้ก็สิ้นสุดลง กับมีเหตุการณ์ตุ๊กกิ๊กของผมกับอาจารย์แมรี่ และผมรู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง เพราะหลายวันนี้ผมมักรู้สึกเหมือนมีคนจับจ้องผมจนผมอกสั่นขวัญแขวนทุกวัน
แล้ววันหยุดก็มาถึง แต่ว่า ตอนนี้องค์หญิงสโนว์ก็ไม่อาจปล่อยผมไปง่ายๆ
แต่ว่า ถ้าไม่มีเหตุผล องค์หญิงสโนว์คงไม่รีบร้อนให้ผมไปเยี่ยมชมบ้านเกิดของเธอหรอก
“เรื่องนั้นเหรอ…คือว่าอย่างไรซะเจ้าแค่ไปก็พอ ใช่แล้วข้าชวนญารินกับอารย่าให้ไป ด้วยกันในฐานะผู้คุ้มกันด้วย ดังนั้นข้าขอร้องให้เจ้าไปด้วยนะ พรุ่งนี้เช้าเราจะคอยเจ้าที่ที่ทําการไปรษณีย์ตรงประตูสถาบันฝั่งตะวันออก!”
“เรื่องนั้น…”
ยัยนี้คิดอะไรอยู่กันแน่นะ
อีกทั้งญารินกับอาร์ย่าเป็นเพื่อนสนิทขององค์หญิงสโนว์ตั้งแต่เมื่อไร ทําไมผมไม่รู้เรื่องนี้เลย
แต่เธอไม่คิดจะอธิบายอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองคนจึงวิ่งออกไปจากห้องพักผมอย่างรวดเร็ว
“ขอร้อง…ก่อนไปก็ทิ้งกุญแจสําหรับประตูใหม่ไว้หน่อยสิ…”
ผมส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เดินไปหน้าประตูคิดจะใช้น้ําแข็งทําแม่พิมพ์กุญแจ แล้วค่อยเอาไปให้ร้านต่อเติม
แต่สกิล ‘นักสืบนามกระฉ่อน’ ของผมกลับสว่างขึ้นมา
สกิลนี้น่าหงุดหงิดจัง ถึงมันจะมีประโยชน์ก็เถอะ แต่แค่เผลอทําของอะไรตกแบบไม่ทันระวัง สกิล ‘นักสืบนามกระฉ่อน’ ก็จะแจ้งเตือนทันที
และตอนนี้….บางอย่างบนพื้นที่กําลังสว่างอยู่
ผมหยิบขึ้นมา ก็พบว่ามันคือคริสตัลความทรงจํา!
“นี่มัน…”
ด้วยแรงกระตุ้นของความอยากรู้อยากเห็น ผมจึงกดปุ่มบนนั้น
“หรือว่าเจ้า ‘ตั้งแล้ว’ ”
“ถ้าผมไม่ตั้ง งั้นผมก็ต้องสนใจเรื่องความแข็งแรงของร่างกายผมแล้วล่ะ แต่กลิ่นเหล้าบนตัวอาจารย์ดูจะแรงไปหน่อย คุณไม่รู้สึกเหรอ”
“งั้นเหรอ”
“ไม่มีนี่”
“เอาละ เลิกก่อกวนได้แล้ว พวกเราจะใช้วิธีพูดคุยตามปกติไม่ได้เหรอ แบบครูกับนักเรียนทั่วไป ติดต่อกันแบบทางการสักหน่อย”
“เจ้าไม่ชอบแบบนี้เหรอ”
“ก็ไม่ชอบไง!”
“งั้นคราวหน้าข้าแขวนเจ้าไว้ไหม”
บทสนทนาถูกเล่นซ้ําตลอดทั้งวิดีโอ
เสียงดัง ‘เพล้ง’ จนคริสตัลความทรงจําตกลงบนพื้นผมถึงตอบสนอง
พระเจ้า…
ไม่จริงมั้ง
มัน…
“คงไม่ได้โดนเอาไปขายหรอกนะ…”
“เธอดูสิ ฟีลยังไม่มาเลยนี่ ฉันบอกแล้ว หมอนั่นไม่มาเช้าหรอก”
อาร์ย่าผลักประตูมองในที่ทําการไปรษณีย์ จากนั้นก็หมุนตัวไปพูดกับเด็กสาวสามคนข้างหลัง
“อาจยังไม่ตื่นด้วยซ้ํา…”
ญารินจัดแจงชุดคลุมบนตัวพลางพูดขึ้น
ชุดเกราะของเธอดึงดูดสายตาจริงๆ ถึงชุดเกราะของอาร์ย่าจะสวย แต่รูปร่างของญารินกลับเป็นคนละเรื่องกับอาร์ย่าเลย
ส่วนดูอัลที่ยืนอยู่ข้างๆ…เอาเถอะ ยัยนั่นก็ใส่ชุดแบบนี้ตลอดอยู่แล้ว ผมคิดว่าเธอคงไม่เปลี่ยนชุดตัวเองเพราะสายตาคนอื่นแน่
“ดูอัล เมื่อวานเธอได้จับตาดูหอพักของหมอนั่นนี่ ตั้งแต่หมอนั่นแยกกับเราก็ไม่ได้ออกจากห้องพักไปนัดเจอกับอาจารย์โรคจิตนั่นเลยใช่ไหม”
“อืม เปล่า”
“งั้นก็ดี!”
องค์หญิงสโนว์พูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“ข้าคิดว่าอาจารย์นั่นจะเป็นคนดีซะอีก นึกไม่ถึงว่าจะโรคจิตขนาดนี้! น่ารังเกียจชะมัด! ถ้าไม่ลากฟิลออกจากสถาบันอีกไม่ช้าก็เร็วคงโดนยัยนั่นลงมืออย่างโหดเหี้ยมแน่”
“ผมจะโดนใครลงมืออย่างโหดเหี้ยมเหรอ”
ผมโดดออกมาจากข้างต้นไม้ แล้วถาม
หลังจากพวกเธอออกไปเมื่อคืน ผมก็ ‘บลิงค์’ ไปบอกที่อยู่ของผมกับฟาลัน แล้ววิ่งไปขอยาเพิ่มจากลาน่า จากนั้นก็มาที่ที่ทําการไปรษณีย์ ซ่อนอยู่แถวนี้รอจนพวกเธอปรากฏตัว
เมื่อวานคริสตัลนั่นได้บอกผม ว่าการอยู่ในสถาบันอันตรายเกินไป หลบไปสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จะดีกว่า
“เจ้ามาก่อนพวกเราได้อย่างไร…”
องค์หญิงสโนว์มองผมด้วยความแปลกใจ แล้วมองดูอัลอีกครั้ง
“อย่าไปสนเลย ไปกันเถอะ”
ผมชี้ไปข้างหน้า
“จะไปอาณาจักรเอสไม่ใช่เหรอ ผมจําได้ว่ามันไกลมากนี่”
“เจ้าคิดว่าเราจะขี่ม้าไปเหรอ”
“หืม ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว”
ขณะที่องค์หญิงสโนว์พูดแบบนี้ จู่ๆ เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นที่ท้องฟ้า!
ถ้าจําไม่ผิด…
นี่เป็นเสียงของกลไกเวทมนตร์ และกลไกเวทมนตร์ที่ก่อให้เกิดเสียงดังขนาดนี้ ผมนึกออกแค่อย่างเดียว นั่นคือเรือเหาะ!
ไม่นาน เรือเหาะลําเล็กกว่าที่เคยเห็น แต่กลับดูมีพลังได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเรา มันออกแบบโค้งเว้าอย่างสมบูรณ์ พ่นสีฟ้าและเหลืองที่ภายนอก แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นสินค้าระดับสูงไม่เหมือนกับเรือเหาะก่อนหน้านี้
“เอาละ พวกเราไปกันเถอะ!”