ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 7 การเดินทางและคฤหาสน์
บทที่ 7 การเดินทางและคฤหาสน์
ระยะทางจากหมู่บ้านไปถึงเมืองนั้นค่อนข้างไกล
แทนที่จะเดินเท้า คริชและกาเรนจะนั่งไปกับรถม้าที่จะเข้าเมืองแทน
สินค้าหลักประจำของหมู่บ้านคือหินเกลือและหนังสัตว์
แม้ว่าบางส่วนจะถูกขายให้พ่อค้าเร่ที่ผ่านเข้ามา แต่ส่วนใหญ่แล้วชาวบ้านจะนำมันไปขายที่หมู่บ้านต่างๆและพ่อค้าในเมืองด้วยตัวเองมากกว่า
ด้วยเหตุนี้จึงมีรถม้าที่จะไปกลับระหว่างหมู่บ้านและเมืองเป็นระยะๆ และทั้งสองคนก็ถือโอกาสติดไปด้วย
มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างนานและถนนหนทางก็ไม่ค่อยปลอดภัย
จึงต้องให้ชาวบ้านมีฝีมือสี่คนมาเป็นคนคุ้มกัน แต่เพราะก่อนหน้านี้มีคนตายไปเยอะมาก ทำให้ตอนนี้หมู่บ้านกำลังขาดคน
ลึกๆแล้วพ่อค้าจึงโล่งใจที่ได้ทั้งสองคนมาช่วยเป็นคนคุ้มกัน
ภาพของคริชในคืนนั้นยังทำให้พวกเขาเสียวสันหลังวาบ
แต่ในทางกลับกัน ไม่มีใครคนไหนในหมู่บ้านจะเก่งไปกว่าคริชอีกแล้ว ส่วนฝีมือดาบของกาเรนในฐานะอดีตนายร้อยก็เป็นที่รู้กันดี
การที่พวกเขาติดรถมาด้วยจึงช่วยให้อุ่นใจขึ้นมาก
เหล่าผู้หญิงและเด็กๆที่สนิทกับคริชต่างออกมาเพื่อส่งเธอ
แม้จะมีเด็กบางคนที่กลัวเธออยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วในความคิดของเด็กๆ พวกเขามองเธอเป็น ‘ผู้กล้าที่ลงทัณฑ์โจรป่านิสัยไม่ดีที่ขนาดพวกผู้ใหญ่ยังเอาชนะไม่ได้’
และด้วยความที่คริชคอยดูแลพวกเขามาตลอด เด็กๆจึงค่อนข้างติดเธอมากทีเดียว
บางคนถึงกับร้องไห้ออกมา ส่วนคนอื่นๆต่างกลั้นน้ำตาพลางกำหมัดแน่นขณะที่ส่งเธอไป
พวกผู้หญิงนั้นรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องคริชได้
คริชคงไม่จำเป็นต้องจากหมู่บ้านนี้ไปถ้าพวกเธอปกป้องเธอได้
ไม่ว่าข่าวลือจะว่ายังไง คริชก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงน่าสงสารที่สูญเสียพ่อแม่ไปและถูกผลักไสออกจากหมู่บ้าน
ยิ่งพวกเธอรักคริชมากเท่าไหร่ ความรู้สึกผิดก็เพิ่มมากขึ้นมากเท่านั้น
พวกเธอต่างเข้ามาบอกลาคริชทีละคนและให้ของขวัญอำลากับเธอมากมาย ส่วนมากจะเป็นของหวานไม่ก็ผ้าคลุมขนสัตว์เผื่อว่าเธอจะหนาว
มันเยอะจนคริชถือไว้ไม่หมด และกาเรนต้องมาช่วยรับไว้แทน
หลังจากที่ขนทุกอย่างรวมทั้งสัมภาระขึ้นรถม้า
เมื่อมองคริชที่รับของขวัญต่างๆด้วยรอยยิ้มและกล่าวคำอำลา
เหล่าผู้หญิงก็ได้แต่กัดฟันแน่นด้วยความมุ่งมั่นว่าจะไม่ร้องไห้ออกมาให้เธอเห็น
“….คริช ถ้าไม่ไหวล่ะก็กลับมาได้ทุกเมื่อเลยนะ อย่ากลัวที่จะกลับมาล่ะ”
“ค่ะ คุณป้า”
กาล่าพันผ้าพันคอให้กับคริชและกอดเธอเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเห็นแบบนั้น ผู้หญิงบางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
สำหรับพวกเธอที่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างคริชกับกาล่า มันจึงเป็นภาพที่น่าเจ็บปวด
“…..กาเรน ได้เวลาแล้วนะ”
“อ้า คริช”
“ค่ะ”
คนขับรถม้าส่งเสียงเรียกและคริชก็พยักหน้าให้กับกาเรน
เธอหันไปหาผู้หญิงและเด็กๆก่อนจะก้มหัวลงต่ำ
“ที่คอยดูแลคริชมาตลอด ขอขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ”
คริชพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและกระโดดขึ้นรถม้า
ไม่นานนักรถม้าก็เคลื่อนออกไป แม้คริชจะนั่งหลังตรงในตอนแรก
แต่ยิ่งรถม้าห่างออกไป หัวของเธอก็ค่อยๆก้มต่ำลง
เมื่อเห็นแบบดังนั้น ทั้งผู้หญิงและเด็กๆต่างก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และส่งเสียงร่ำไห้ออกมา
=====================
—— เจ็บปวด เหลือเกิน
ความตื่นเต้นเล็กๆที่จะได้นั่งรถม้าของเธอมลายหายไปภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดจากรถม้าที่สั่นและกระแทกกับก้นของเธอ
แม้เธอจะพยายามนั่งหลังตรง แต่ด้วยความเจ็บ
ทำให้คริชค่อยๆถ่ายน้ำหนักและก้มหัวไปด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว
แน่นอนว่าที่นั่งของเธอมีเบาะรองอยู่ แต่ร่างกายของคริชไม่ได้มีเนื้อหนังเยอะพอที่จะรองรับแรงกระแทกไหว
เมื่อเห็นกาเรนที่นั่งอย่างสงบอยู่ข้างๆ เธอจึงคิดว่ามันคงเป็นเรื่องธรรมดาจะทนความเจ็บปวดระดับนี้ได้
ด้วยข้อสรุปนั้นและคำปฏิญาณที่จะต้องทำอะไรให้ดีกว่าคนอื่น
คริชจึงได้แต่อดทนต่อไปอย่างสิ้นหวังและดึงฮู้ดลงมาเพื่อปิดบังหน้าเอาไว้
กาเรนลูบหัวหลานสาวสุดที่รักของเขาและดึงเธอเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน
คริชเป็นเด็กฉลาด มีความสามารถ และกล้าหาญ —— แม้เธอจะไม่ใช่เด็กปกติอย่างแน่นอน
แต่กาเรนเชื่อว่าคริชเองก็มีความรู้สึกเหมือนกับคนอื่นๆ
กอร์คาและเกรซเคยบอกว่าพวกเขาไม่เคยเห็นคริชร้องไห้มาก่อน
แต่เธอคงถึงขีดจำกัดแล้วสินะ กาเรนคิด
ทั้งคนขับที่นั่งอยู่ด้านหน้าและคนคุ้มกันที่กำลังควบม้าอยู่ข้างๆต่างมองเธอด้วยความสงสาร
พวกเขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีกับคริชนัก ความไม่ปกติของเธอเป็นที่รู้กันดีในกลุ่มผู้ชาย
คริชเคยจัดการและล้มคู่ต่อสู้ด้วยสีหน้าว่างเปล่าหลายครั้ง มีข่าวลือโคมลอยว่าเธอเป็นคนสังหารเด็กสองคน
แถมกาโร่ยังหายตัวไปหลังจากที่เขาเริ่มลวนลามเธอด้วยการแตะก้นกับหน้าอกพลางแสร้งว่าเป็นการฝึกดาบ
บางทีคริชอาจจะเป็นคนลงมือฆ่าเขา
คนคุ้มกันทั้งสองคนได้เห็นฉากสังหารหมู่ในวันนั้นกับตาและก็เห็นด้วยกับข่าวลือทั้งหลายว่าเธอคือสัตว์ประหลาด
พวกเขาก็มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข่าวลือเหล่านั้นเช่นกัน
แต่เมื่อเห็นเธอนั่งคอตก ดึงฮูดลงมาปิดหน้า โดยมีกาเรนคอยปลอบอยู่ข้างๆ
ความรู้สึกผิดก็ก่อตัวขึ้นมา
นั่นทำให้พวกเขารู้ตัวว่าพวกเขาเป็นคนที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
แค่เห็นพวกผู้หญิงและเด็กๆที่รวมตัวกันเพื่อมาส่งเธอ ก็ทำให้พวกเขาได้รู้ว่าเธอนั้นเป็นที่รักมากแค่ไหน
ถ้าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์แบบเธอ จะมีคนมาส่งพวกเขามากขนาดนี้รึเปล่านะ?
พอคิดได้แบบนั้น พวกเขาก็เริ่มสงสัยในการกระทำของตัวเองมากขึ้น
รูปร่างหน้าตาที่สวยงามของคริชนั้นเป็นที่น่าจับตามอง จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่ต่อให้เรื่องเล็กๆน้อยๆของเธอก็กลายเป็นประเด็นใหญ่โตได้
ไม่ว่าจะใครก็ตาม ถ้าขุดคุ้ยลึกพอก็จะเจออีกด้านที่ซ่อนอยู่
ถึงคริชจะไม่ปกติ
แต่ในครั้งนี้ สิ่งที่เธอทำคือจับดาบและช่วยหมู่บ้านนี้ไว้
มันคือความจริงที่เธอเป็นผู้กอบกู้ของหมู่บ้าน เป็นผู้กอบกู้ของพวกเขา
เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่มีแม้แต่น้อย
เธอที่เสียพ่อแม่ไป และไม่มีใครให้พึ่งพานอกจากคุณตา
แต่พวกเขากลับทำเรื่องเลวร้ายกับเธอ
พวกเขาหลีกหนีความไร้พลังของตัวเองด้วยการเผยแพร่เรื่องราวของความไม่ปกตินั้นออกไป
ระบายความโกรธและสิ้นหวังใส่เธอ
และตอนนี้ ที่เธอต้องมาอยู่บนรถม้าคันนี้ โดนขับไล่ออกจากหมู่บ้าน
เด็กสาวที่อายุแค่สิบกว่าๆต้องมาเจ็บปวดจากความฉุนเฉียว ข่าวลือและอคติของเหล่าผู้ชายที่ไม่รู้จักเธอดีพอ
พวกเขาสำนึกในการกระทำของตัวเองและมองเธอใหม่อีกครั้ง
ทุกครั้งที่หยุดพัก คริชจะอาสามาช่วยดูแลม้าและเตรียมอาหารอยู่เสมอ
แม้ความจริงแล้วเธอแค่อยากขยับตัวเพราะเธอเจ็บก้น แต่ในมุมมองของคนอื่นๆ การที่เห็นเธอตั้งใจและทุ่มเททำงานทำให้พวกเขารู้สึกผิดมากกว่าเดิม
การเดินทางเป็นเรื่องลำบาก แต่เธอก็ไม่เคยบ่นหรือแสดงท่าทีเหนื่อยล้าให้เห็น
เป็นเด็กขยันเหมือนใน ‘ข่าวลือดีๆ’ ที่พวกเขาได้ยินมาจากเกรซ กอร์คา และผู้หญิงคนอื่นๆ
พวกเขารู้สึกสมเพชตัวเองและพยายามบอกให้เธอไปพัก
แต่คริชก็ปฏิเสธ การที่เธอต้องการหาอะไรทำเพื่อให้ลืมอาการเจ็บก้นนั้นยิ่งทำให้เธอดูเป็นเด็กขยันขึ้นไปอีก
และเมื่อพวกเขามาถึงเมืองในอีกไม่กี่วันให้หลัง
ทัศนคติของพวกผู้ชายที่มีต่อเธอก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“…..อย่างที่กาล่าบอก ถ้าไม่ไหวก็บอกพวกเรานะ ฉันต้องมาที่นี่ทุกเดือนอยู่แล้ว ฉันสามารถพาเธอกลับไปพร้อมกันได้”
“ได้ค่ะ ต้องขอขอบคุณมากๆ”
“พยายามเข้าล่ะ… ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม เธอจะต้องไม่เป็นไรแน่”
พวกเขาไม่สามารถเอ่ยคำขอโทษออกมาได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงมอบคำอวยพรให้เธอเท่านั้น
ไม่ว่าจะพูดยังไงก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว
ด้วยคำสาบานว่าจะแก้ไขข่าวลือของเธอทันทีที่กลับไปถึงหมู่บ้าน พวกเขากล่าวอำลาคริชด้วยความนับถือ
“…..ถ้าพวกเขารู้ว่าจริงๆแล้วคริชเป็นคนยังไง ข่าวลือแบบนั้นก็คงไม่แพร่ออกไปหรอก”
“…..?”
กาเรนพูดขึ้นพลางมองคนเหล่านั้นเดินจากไป
“ข่าวลือน่ะมีทั้งดีและแย่ มันแพร่กระจายไปเร็ว และยิ่งผ่านปากต่อปากก็จะยิ่งถูกใส่สีตีไข่มากขึ้น เมื่อผู้คนเอาเรื่องที่ได้ยินไปเล่าต่อ จากหนึ่งก็กลายเป็นสอง เป็นห้า ขยายออกไปเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับคริชน่ะเป็นผลของความโชคร้าย….. เมื่อพวกเขาได้รู้จักหลาน พวกเขาก็รู้ตัวว่าข่าวลือที่เคยเชื่อมันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น”
“อา-…”
“คริช หลานจะต้องไม่ถูกครอบงำโดยข่าวลือพวกนั้น ไม่ว่าจะพูดคุยกับใคร จงพึงระวังไว้เสมอว่าเรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ มันไม่ได้ทำลายแค่ชื่อเสียงแต่รวมไปถึงจิตใจของผู้คนด้วย”
“…ได้ค่ะ”
เขาคงกำลังบอกคริชถึงข้อผิดพลาดจากเหตุการณ์ครั้งนี้
คริชทำความเข้าใจและเก็บบันทึกพูดของกาเรนไว้ในความทรงจำอย่างดี
จงใช้ข่าวลืออย่างระมัดระวัง
มันจะเป็นประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อผ่านการไตร่ตรองผลลัพธ์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว
คริชจดจำมันไว้ขณะที่เดินตามกาเรนไป
=====================
ไม่เหมือนกับในหมู่บ้านที่บ้านส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากไม้และดินเหนียว
สิ่งก่อสร้างในเมืองนั้นทำมาจากหินสีขาวที่ได้จากการผสมอิฐและเขม่าเข้าด้วยกัน
ถนนหนทางถูกปูด้วยหินและสองข้างทางก็เนืองแน่นไปด้วยบ้านและร้านค้า
เมื่อเดินลึกเข้าไปในตัวเมือง พวกเขาก็มาถึงเขตที่บ้านทุกหลังมีสวนส่วนตัวอยู่ด้วย
เป้าหมายของกาเรนคือหนึ่งในบ้านเหล่านั้น
มันเป็นคฤหาสน์ที่ดูหรูหราและใหญ่กว่าสิ่งก่อสร้างใดๆในหมู่บ้าน
เมื่อได้เห็นกำแพงหินที่สูงตระหง่านนั้นใกล้ๆ ยิ่งทำให้มันดูเหมือนปราสาทขนาดย่อม
ในสวนเต็มไปด้วยไม้ผลและไม้ดอก มีทางเดินหินที่ปูอย่างปราณีตนำไปสู่ทางเข้าคฤหาสน์
พวกเขาเดินมาถึงประตูบานใหญ่ ณ ใจกลางที่ดินที่ถูกออกแบบมาอย่างสมมาตร
ทันทีที่เคาะประตู เด็กสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวดำก็เปิดประตูต้อนรับ
เธอเป็นผู้หญิงที่มีผมยาวประบ่าสีแดง—— ดูเป็นวัยรุ่นตอนปลายหรือประมาณยี่สิบต้นๆ
เธอรู้ทันทีที่เห็นหน้ากาเรนว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร
กาเรนเคยแวะมาเยี่ยมหลายครั้งและพวกเธอก็เป็นคนรู้จักกัน
ระหว่างที่ทั้งสองคนกล่าวทักทายกันคริชก็เปิดฮู้ดออก สาวน้อยผมแดงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“ตายจริง…”
“เบรี่ เด็กคนนี้คือเด็กที่ฉันอยากจะฝากไว้น่ะ”
“…..เธอ เป็นเด็กที่สวยมากเลย สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเบรี่ อาร์แกน”
“สวัสดีค่ะ ชื่อคริชค่ะ”
คริชตอบกลับและจับมือของเด็กสาว— เบรี่ ที่ยื่นเข้ามา
ยินดีที่ได้รับใช้นะคะ เบรี่ที่ยิ้มอย่างมีความสุขพูดออกมาและโค้งคำนับอย่างสุภาพให้กับพวกเขา
“เชิญทางนี้ค่ะ ฉันจะนำทางไปที่ห้องรับแขกเอง”
เมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่ได้เห็นคือบันไดวนขนาดใหญ่ พวกเขาเดินผ่านประตูที่อยู่ถัดจากบันไดนั้นไป
ข้างในเป็นห้องที่มีโซฟาตัวใหญ่และโต๊ะตั้งอยู่
ของประดับมากมายส่องประกายลงมาจากชั้นวาง เคียงคู่ด้วยภาพวาดงานศิลปะบนกำแพง
มีภาพวาดคนภาพหนึ่งห้อยอยู่เหนือเตาผิง
สว่างจังเลย คริชเอียงคอ เธอหันไปมองกระจกหน้าต่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพดาน
บนนั้นมีแสงไฟส่องลงมา ลูกแก้วเรืองแสงจำนวนหนึ่งถูกติดตั้งไว้บนนั้น
เมื่อเห็นท่าทางของคริช เบรี่ก็อธิบายพลางหัวเราะเบาๆ
”นั่นคือตะเกียงเวทย์นิรันดร์กาล แทนที่จะใช้ไฟ พวกมันใช้มานาในการสร้างแสงสว่างค่ะ”
“ตะเกียงเวทย์นิรันดร์กาล…”
“ส่วนใหญ่แล้วบ้านหลายหลังในเมืองจะมีมัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ใช้ที่หมู่บ้านสินะคะ ในคฤหาสน์นี้มีห้องอยู่หลายห้องที่ไม่โดนแสงอาทิตย์โดยตรง เจ้าสิ่งนี้จึงถูกใช้เพื่อให้แสงสว่างแทน คุณคงจะเห็นว่าระหว่างทางอาคารหลังต่างๆถูกสร้างติดๆกันใช่มั้ยคะ? ในบ้านธรรมดาส่วนใหญ่ก็ใช้ตะเกียงเวทย์นี้แทนเทียนเหมือนกัน”
“อย่างนี้นี่เอง พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลย…”
“ฟุฟุ ถ้าอย่างนั้นวันนี้จะมีครั้งแรกรอคุณอยู่อีกหลายเรื่องเลยล่ะค่ะ”
เบรี่ใช้กาน้ำร้อนเวทย์เพื่อต้มชาให้กับพวกเขา
คริชสัมผัสได้ว่าที่นี่มีคลื่นมานาไหลเวียนอยู่เต็มไปหมด ทำให้เธอรู้สึกสนใจ
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป เธอแค่นั่งจ้องแก้วชาที่วางอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
คริชชอบกลิ่นของมันและเธอพอจะเดาได้ว่ามันเป็นเครื่องดื่มเพราะมันถูกเติมน้ำผึ้งลงไป
แต่คริชยังลังเล มันมีไอน้ำลอยขึ้นมาจากแก้ว
และลิ้นของคริชก็ไวต่อความร้อนมากๆ
“มันคือชาดำค่ะ เชิญจิบได้เลย”
“ชาดำ…”
คริชหยิบแก้วขึ้นมา เธอเอามันจ่อใกล้ๆปากอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆเป่า
เห็นแบบนั้น เบรี่ก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริง หน้าของคริชแดงขึ้นด้วยความเขินอาย
“ดูเหมือนมันจะร้อนไปหน่อยสำหรับคุณนะคะ”
“เอ่อ…”
“ขอเวลาซักครู่ค่ะ”
เบรี่เดินออกไปจากห้องและกลับมาอย่างรวดเร็ว
ส่วนคริชก็ยังดื่มชาไม่ได้เลยซักจิบ
“ถึงการดื่มไปทั้งแบบนั้นเลยก็ไม่เลว แต่คุณก็สามารถดื่มแบบเติมนมได้เหมือนกัน มันจะช่วยให้ชาเย็นลงเล็กน้อย แบบนี้น่าจะเหมาะกับท่านคริชมากกว่า”
เบรี่ใส่นมลงไปในชาและผสมให้เข้ากัน
คริชที่แก้มยังแดงระเรื่อ จิบชาจากแก้วที่ถูกยื่นให้เธอ
มันมีรสชาติหวานเจือเปรี้ยวนิดๆ กลิ่นหอมของใบชาและน้ำผึ้งผสมผสานเข้ากับรสที่นุ่มละมุนของนม
มันอร่อยมากค่ะ คริชบอกกับเบรี่และยิ้มออกมาขณะที่เพลิดเพลินกับชาอุ่นๆ
ดีใจที่คุณชอบนะคะ เบรี่ตอบกลับพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฟุฟุ ท่านคริชตอนยิ้มนี่น่ารักจังเลย ฉันตั้งตารอมานานว่าคนที่จะมาที่คฤหาสน์จะเป็นคนแบบไหน พอได้เจอท่านคริชแล้ว ฉันก็มีความสุขขึ้นเป็นเท่าตัวเลยล่ะค่ะ จากนี้ไปก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ”
“…เช่นกันค่ะ”
คริชพูดขณะจ้องมองชาด้วยสายตาเป็นประกาย
จากนั้นเบรี่ก็ยกของหวานออกมาเสิร์ฟต่อ
คริชหยิบมันขึ้นมาและกัดลงไปด้วยคาดหวัง
และเธอก็ได้รับรู้ถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ใหญ่หลวง
แม้ที่หมู่บ้านจะมีของหวานจากเบอร์รี่และน้ำผึ้งอยู่บ้าง
แต่สิ่งสิ่งนี้ได้พลิกนิยามความอร่อยของเธอไปโดยสิ้นเชิง
มันทั้งกรอบและมีรสเค็มอ่อนๆผสมกับความหวานจากน้ำผึ้ง
เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของคริช เบรี่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“มันเป็นขนมที่ฉันลองทำดูตอนว่างๆ แต่พอเห็นคุณชอบมันขนาดนี้ก็คุ้มค่าแล้วค่ะ ฟุฟุ เป็นยังไงบ้างคะ? อร่อยรึเปล่า?”
“อร่อย! อันนี้ทำยังไง?….. อ๊ะ”
ทันทีที่เธอหลุดปากพูดออกไป คริชก็รู้ตัวว่าเธอกำลังทำตัวเสียมารยาทเอามากๆ
เธอเหลือบมองกาเรนและเบรี่ ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความอับอาย
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ได้ยินแบบนี้ฉันก็มีความสุขมากแล้ว คุณสนใจเรื่องการทำขนมเหรอคะ?”
“อะ เอ่อ… ค่ะ คริชเคยทำ ตอนอยู่ที่บ้าน”
“…เด็กคนนี้ชอบทำอาหารน่ะ จากที่ดูๆแล้ว พวกเธอสองคนน่าจะเข้ากันได้ดีนะ”
“นั่นสินะคะ คุณหนูน่ะไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ ฉันดีใจมากเลยที่ได้เจอกับท่านคริช ถ้ามีเรื่องสงสัยตรงไหนโปรดถามฉันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”
“ได้ค่ะ…..”
เบรี่มีฝีมือในการทำอาหารที่เหนือกว่าเธออย่างชัดเจน
คริชตื่นเต้นมากที่ได้เจอคนแบบเธอ
คริชนั้นแสวงหาหนทางในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เธอจึงดีใจที่ได้เจอกับเบรี่ ผู้ที่สามารถสอนเคล็ดลับใหม่ๆในการทำอาหารให้เธอได้
คริชฟังเบรี่ที่กำลังอธิบายวิธีอบคุกกี้อย่างตั้งใจ
กาเรนมองดูหลานสาวแล้วยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
ดูเหมือนว่าเธอจะเข้ากับที่นี่ได้ดีนะ
หลังจากที่พูดคุยกันอยู่ซักพัก ประตูที่เชื่อมกับห้องโถงหน้าก็เปิดออกและชายที่มีร่างกายกำยำก็เดินเข้ามา
ผมสีบลอนด์แซมขาวถูกหวีเสยไปข้างหลัง หนวดรอบๆปากถูกตัดแต่งเป็นอย่างดี
เขาสวมเสื้อคลุมสีดำทับเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงขายาว
ชุดของเขาดูเรียบง่ายและมีเพียงตราสีทองรูปนกอินทรีย์และสายฟ้าปักอยู่บนหน้าอก
ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขาบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องยศใดๆ
เมื่อบวกกับรอยแผลเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนและริ้วรอยที่ฝังลึกบนใบหน้าทำให้เขาดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
แววตาที่เฉียบคมของเขาอ่อนโยนลงเมื่อเขาผละสายตาจากกาเรนมาหาคริช
แม้ปกติแล้วใบหน้าของเขาจะทำให้เด็กผู้หญิงทั่วไปขวัญผวา แต่มันไม่มีผลอะไรกับคริช
กาเรนลุกขึ้นยืน คริชก็ลุกตามก่อนจะโค้งคำนับอย่างงดงาม
“…..ยินดีที่ได้รู้จัก หนูชื่อคริชค่ะ”
“อา ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ฉัน โบแกน คริสแตนด์…… คุณตาของเธอเคยช่วยดูแลฉันไว้เยอะ ทำตัวตามสบายแล้วนั่งลงก่อนเถอะ”
“ได้ค่ะ”
คริชเหลือบมองกาเรนเพื่อขออนุญาตและนั่งลงเมื่อเขาพยักหน้า
โซฟานี่นั่งสบายเอามากๆหลังจากการทนทุกข์ทรมานบนรถม้ามานาน
“เป็นเด็กที่มีมารยาทดีทีเดียว ตอนแรกก็คิดว่าเธอจะกลัวรึเปล่า… แต่เธอเป็นเด็กที่กล้าหาญเหมือนกับที่คุณบอกไว้เลย”
“…ต้องขอขอบคุณที่ตอบรับคำขอของฉันล่ะนะ”
กาเรนพูดก่อนจะก้มศีรษะลง โบแกนเดินเข้ามา เขาวางมือบนบ่าของกาเรนแล้วส่ายหน้า
“เงยหน้าขึ้นเถอะกัปตัน มาก้มหัวให้แบบนี้ผมก็ทำตัวลำบากนะ ผมแค่อยากจะตอบแทนหนี้ที่เคยติดค้างคุณไว้เท่านั้นเอง”
“หนี้เรอะ? ฉันแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น….. แต่ก็ถือเป็นเกียรติล่ะนะ”
โบแกนพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพวกเขา
กาเรนก็กลับลงไปนั่งเช่นกัน
“แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเด็กที่สวยขนาดนี้ แถมเธอยังดูฉลาดด้วย”
“…เธอเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่เธอเชียวล่ะ เป็นลูกสาวที่สมบูรณ์แบบ และนั่นยิ่งทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องน่าเศร้าขึ้นอีก”
“…ผมเสียใจด้วย ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากว่าผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่มันเหมือนกับตอนที่ผมเสียภรรยาไป ความตายที่ไม่คาดคิดเป็นเรื่องทำใจได้ยากเสมอ”
โบแกนพูดขณะจิบชา
เบรี่ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ที่โบแกนเข้ามาในห้อง
เธอแค่ยืนอยู่ข้างๆ มือของเธอกุมไว้ด้านหน้าด้วยท่วงท่าที่สง่าผ่าเผย
ดูเป็นหญิงสาวที่สง่างาม แต่เมื่อคริชมองไปทางเธอ เบรี่ก็จะแอบเผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมา
“…งั้น เธอชื่อคริชสินะ ดูเหมือนว่าจะเจอเรื่องลำบากมาเยอะน่าดูเลยสิ”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ”
คริชตอบกลับอย่างสงบนิ่ง
เธอไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ผ่านมาเท่าไหร่ แม้จะมีช่วงแย่ๆอยู่บ้างก็ตาม
ตอนที่ฟักทองโดนทุบเละก็ลำบากอยู่ล่ะนะ คริชคิด
“เป็นเด็กที่เข้มแข็งจังนะ ว่าแต่… จริงเหรอที่เด็กคนนี้ เอ่อ กับพวกโจรป่า…?”
“ใช่ ฉันรู้ว่าเธอมีทักษะในการใช้ดาบ… แต่คิดไม่ถึงว่าจะเก่งขนาดนั้น คงเรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์โดยธรรมชาติล่ะนะ เธอจัดการโจรป่าที่เคยเป็นทหารเก่าได้… ดูเหมือนว่าเธอจะใช้สิ่งที่นายเรียกว่า การเสริมกำลังกาย ด้วย”
“…เวทย์มนตร์งั้นเหรอ?”
โบแกนหันมองคริชแล้วหรี่ตาลง
มีออร่าสีฟ้าจางๆห่อหุ้มตัวเธออยู่——มันคือมานาที่ถูกควบคุมอย่างละเอียดอ่อน
สายตาของโบแกนที่กำลังขมวดคิ้วเผยแววของความประหลาดใจออกมา
“อย่างนี้นี่เอง….. ไม่สิ เดี๋ยวก่อน”
โบแกนจมอยู่ในห้วงความคิดซักพักก่อนจะถามออกมา
“คริช เธอไปเรียนเวทย์มนตร์มาจากไหน”
“…..? เวทย์มนตร์?”
“ทำได้โดยไม่รู้ตัวสินะ? ….มันเป็นคำที่เราใช้เรียกเทคนิคในการควบคุมมานา มานาที่กำลังห่อหุ้มตัวเธออยู่ตอนนี้ เธอกำลังใช้มันอยู่ใช่รึเปล่า?”
“อ๊ะ….. ใช่ค่ะ เจ้าปุกปุยนี่เอง”
ในที่สุดคริชก็เข้าใจ
มันคือเทคนิคในการควบคุมร่างกายของเธอผ่าน ‘เจ้าปุกปุย’ แทนการใช้กล้ามเนื้อ
ตั้งแต่ที่คริชเรียนรู้ที่จะใช้มัน เธอก็พึ่งพามันมาตลอดจนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติที่เธอทำไปโดยไม่รู้ตัว
ทำให้เธอตอบคำถามของโบแกนได้ช้ากว่าที่ควร
แม้ในตอนแรกมันจะทำให้เหนื่อยอยู่บ้าง แต่พอเริ่มชินแล้ว การที่ไม่ต้องขยับกล้ามเนื้อนั้นทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า
เธอไม่มีปัญหาในการทำงานที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องยาก
และหนึ่งในสาเหตุที่คริชเป็นคนขยันทำงานเพราะเธอสามารถควบคุมร่างกายผ่านมานาได้
“…..เป็นเทคนิคการเสริมกำลังกายที่วิเศษมาก แวบแรกมองแทบไม่ออกเลย เธอใช้มันมานานแค่ไหนแล้ว”
“…..ประมาณ เก้าปีที่แล้ว?”
คริชที่พยายามรื้อฟื้นความทรงจำอันเลือนลางตอบกลับไป และนั่นทำให้โบแกนประหลาดใจขึ้นไปอีก
มันเป็นการตอบสนองที่เข้าใจได้ เพราะเด็กสาวตรงหน้าอายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น
“อย่างนี้นี่เอง เข้าใจล่ะ….. ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสายตาของคนที่ไม่รู้เรื่องนี้จะมองว่าเธอแปลก”
“ฉันเองก็แอบสงสัยนิดหน่อยแต่เธอก็ใช้ชีวิตประจำวันไปตามปกติ เพราะฉันมองไม่เห็นมานาเลยฟันธงไม่ได้ แต่พอเห็นเธอสู้กับโจรป่าแล้วถึงได้มั่นใจ… ว่าแต่ มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่… ขนาดผมยังใช้การเสริมกำลังกายที่มีประสิทธิภาพขนาดนั้นไม่ได้ แล้วก็ไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้ได้มาก่อนด้วย คงเป็นเพราะเธอใช้มันมาตลอดตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนแรกผมก็ตกใจที่รับจดหมายขอให้ช่วยดูแลหลานสาวของคุณ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว”
โบแกนตอบพลางพยักหน้า
“โอกาสของเธอจะถูกจำกัดในหมู่บ้านที่ห่างไกลแบบนั้น ฉันคิดว่าจะมีอนาคตมากมายรอเธออยู่ถ้าเธอได้มาอยู่ภายใต้การดูแลของนาย พอได้เห็นเธอแล้วนายคิดว่ายังไงบ้าง?”
“…..ตามที่คุณพูดเลย ถ้าเธอชำนาญในการใช้มานาตั้งแต่อายุแค่นี้ แน่นอนว่าความเป็นไปได้มากมายกำลังรอเธออยู่ ผมยินดีมากที่จะได้ดูแลเธอ….. แต่เธอจะโอเคกับมันรึเปล่า คริช?”
คริชหันไปทางโบแกนเมื่อเขาเอ่ยปากถาม
“ฉันพร้อมจะรับเธอเข้ามาถ้าเธออยากจะอยู่ที่นี่ แต่ที่นี่มีหลายอย่างแตกต่างจากหมู่บ้านที่เธอโตมา เธออาจจะรู้สึกถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบหรือต้องใช้ชีวิตอย่างเข้มงวดขึ้น แถมเธอจะไม่ได้กลับไปเจอคนที่หมู่บ้านบ่อยๆด้วย….. เธอแน่ใจแล้วนะ?”
“ค่ะ คริชอยากอยู่ที่นี่”
คริชตอบอย่างไม่ลังเล
โบแกนถึงกับผงะกับการตอบรับในทันทีนั้น แต่เขาก็มองในแง่ดีว่าเธอคงจะเตรียมใจมาไว้นานแล้ว
ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริงๆ แต่เธอทำใจกับการสูญเสียพ่อแม่และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าแล้วสินะ
“ตกลง ถ้าอย่างนั้น ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะคริช จะเรียกฉันว่าโบแกนก็ได้”
“ได้ค่ะ”
“แล้วก็ ฉันฝากเธอช่วยดูแล——“
“ค่ะ นายท่าน! เบรี่คนนี้จะทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ค่ะ!”
เบรี่พูดแทรกขึ้นมาทำให้โบแกนได้แต่ยิ้มแหยๆ
“…เบรี่จะรับหน้าที่ดูแลเรื่องจำเป็นต่างๆถ้าสงสัยอะไรก็ถามเธอได้นะ”
“ได้ค่ะ”
“เอาล่ะเบรี่ พาคริชไปเดินดูรอบๆทีสิ”
“รับทราบค่ะ เชิญทางนี้ค่ะท่านคริช”
คริชเหลือบมองชากับคุกกี้ที่ยังกินไม่หมด แต่ก็ต้องอดใจไว้ก่อน
เธอพยักหน้าและลุกขึ้นยืน
เมื่อเห็นท่าทีแบบนั้น เบรี่ก็หัวเราะออกมาเบาๆและกระซิบบอกเธอว่า “ไว้เราไปดื่มชากันต่อที่ห้องนะคะ”
คริชหน้าแดงที่ถูกมองออก แต่ก็ยังผงกหัวเบาๆ
=====================
หลังจากที่ทั้งสองคนออกจากห้องไป โบแกนก็เอื่อมไปหยิบขวดบนชั้นวาง
เขาเตรียมแก้วมาสองใบ แล้วยื่นใบหนึ่งให้กาเรนด้วยรอยยิ้ม
“…เดี๋ยวนี้ฉันไม่ดื่มแล้วล่ะ”
“นานๆทีก็ไม่เป็นไรหรอกน่า คุณลืมไปแล้วเหรอกัปตัน? คุณนั่นแหละที่เป็นคนสอนผมดื่มน่ะ”
“หึหึ ฉันไม่ได้เลอะเลือนขนาดนั้นหรอกน่า”
“เยี่ยมเลย….บางครั้งการปล่อยใจสบายไปกับการดื่มบ้างก็ไม่เลวหรอกนะครับ”
โบแกนเทของเหลวสีน้ำตาลลงในแก้ว กลิ่นของแอลกอฮอล์ที่กระจายออกมาทำให้กาเรนเอียงคอ
“ของใหม่นี่นา”
“ได้มาจากทางใต้น่ะ เขาเรียกมันว่าเหล้ากลั่น ลองดื่มดูสิ”
กาเรนดื่มเข้าไปอึกหนึ่งและถึงกับต้องกลั้นไอ
เขาไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแสบร้อนในคอแบบนี้มาก่อน
มันมีเอกลักษณ์ กลิ่นเตะจมูก และทำให้อุ่นวาบไปถึงท้อง
“ไม่เลว แต่แรงไปหน่อยนะ”
“ดูเหมือนว่ามันมีไว้ให้เจือจางในน้ำก่อน แต่ผมชอบดื่มทั้งๆแบบนี้มากกว่า ผมคิดว่ากัปตันก็น่าจะชอบเหมือนกัน”
“อา นายพูดถูก… ดูแล้วน่าจะแพงนะ”
“ใช่ แต่ก็นะ มันไม่ได้แพงขนาดนั้นหรอก”
โบแกนเองก็ดื่มด้วยและถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“ที่ผมติดเหล้านี่เป็นความผิดของกัปตันล้วนๆเลย”
“ต่อให้ฉันไม่พานายดื่ม ซักวันนายก็ต้องดื่มอยู่ดีนั่นแหละ”
หึหึ กาเรนหัวเราะออกมาและโบแกนก็ยิ้มตอบ
“….มันชวนให้นึกถึงตอนที่มีคุณเป็นหัวหน้าเลย ตอนนั้นก็ไม่เลวนะ”
“แค่คุณภาพชีวิตก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว….. แทนที่จะไปอยู่ในสมรภูมิเปื้อนโคลนแบบนั้น ฐานะของนายในตอนนี้ดูเหมาะกว่าเยอะ”
“นายพล(General)… สินะ สมัยก่อนก็เคยวาดฝันอยากจะเป็นอยู่หรอก แต่พอเจอความรับผิดชอบท่วมหัวแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับไปเป็นผู้ติดตามของคุณมากกว่าล่ะนะ”
โบแกนถอนหายใจอีกครั้งและเอนตัวพิงกับโซฟา
“บางทีผมน่าจะเกษียณตัวเองแบบคุณ แล้วไปพักผ่อนในที่สงบๆบ้าง…”
“มันก็ไม่แย่นักหรอก… พูดตามตรงมันเป็นชีวิตที่ดีทีเดียว แต่บางครั้งความสงบสุขก็สามารถพังทลายหายไปในพริบตา… ฉันเองก็ลืมเรื่องนั้นไป”
“…..กัปตัน จากนี้ไปคุณจะทำยังไงต่อ?”
“ฉันเรอะ?”
กาเรนจมอยู่ในห้วงความคิด เขาหมุนเครื่องดื่มในมืออย่างเหม่อลอยจนโบแกนพูดขึ้น
“คุณอยากกลับมาทำงานกับผมในฐานะที่ปรึกษารึเปล่า ผมช่วยคุณได้นะ แน่นอนว่าถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการ กัปตัน”
“นายจะบอกให้ฉันกลับไปที่สนามรบงั้นเหรอ”
“ผมจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว… ตอนนี้ผมเป็นนายพลแล้ว”
มันเป็นเรื่องราวในตอนที่กาเรนยังเป็นทหาร เขาเคยถูกสั่งให้เผาหมู่บ้านเพื่อเป็นตัวอย่างว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ให้ที่หลบภัยกับศัตรู
แน่นอนว่ากาเรนปฏิเสธ
เขายืนยันว่ามีเพียงผู้กระทำผิดเท่านั้นที่สมควรได้รับโทษ
ผู้ติดตามของเขา รวมถึงโบแกน ก็เห็นด้วย——ซึ่งนั่นมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
หัวหน้าของพวกเขาในตอนนั้น ขู่ว่าไม่เพียงแต่กาเรนและผู้ช่วยของเขา โบแกน ที่จะถูกลงโทษข้อหาขัดคำสั่ง แต่ทหารทั้งกองจะต้องถูกลงโทษด้วย
ทหารส่วนมากมาจากหมู่บ้านที่ยากจน พวกเขามาทำงานในกองทัพเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
การขัดคำสั่งกองทัพนั้นมีโทษหนัก——และมันจะไม่จบแค่การถูกไล่ออกแน่ ในบางสถานการณ์ พวกเขาอาจต้องโทษประหาร
——ชีวิตทหารหรือหมู่บ้าน
เมื่อชั่งน้ำหนักทั้งสองสิ่งแล้ว ท้ายที่สุด กาเรนก็เลือกที่จะทำตามคำสั่ง
ก่อนจะลาออกจากกองทัพไม่นานหลังจากนั้น
“…..มันแย่มาก เป็นความทรงจำที่แย่มากๆ ทั้งเสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้ในวันนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวฉันอยู่เลย”
แม้เขาจะปล่อยให้ชาวบ้านหลายคนหนีรอดไปได้ แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตอยู่ดี
หลังจากนั้นพวกเขาจะมีชีวิตอยู่กันยังไง เมื่อบ้านเกิดและอาหารถูกเผาจนวอดวาย
แค่จินตนาการเรื่องนั้นก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด
“ฉันอ่อนแอ โบแกน”
“….. กัปตัน คุณแข็งแกร่ง แม้ในตอนที่คุณออกจากกองทัพ คุณก็ทำมันเพื่อรับผิดชอบแทนและปกป้องพวกเรา”
“มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ฉันต้องเป็นคนรับผิดชอบ แต่… มันไม่ใช่แค่นั้น ฉันแค่ ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
กาเรนถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“… เหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นผลกรรมที่ไม่อาจเลี่ยงจากตอนนั้นสินะ”
“กัปตัน…..”
โบแกนส่ายหน้าและลุกขึ้นยืน
เขาตบบ่ากาเรนแล้วพูดขึ้น
“เธออาจจะเหงาถ้าคุณปล่อยให้เธออยู่ตัวคนเดียว เรื่องกลับมาทำงานในกองทัพมันเป็นแค่ข้อเสนอ ถึงคุณไม่ทำ คุณก็สามารถอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้”
“…ขอบใจ ขอเวลาฉันคิดอีกซักหน่อยนะ”
“แน่นอน นานเท่าที่คุณต้องการเลย แล้วพรุ่งนี้คุณจะกลับไปที่หมู่บ้านรึเปล่า”
“ใช่”
“งั้นวันนี้ก็พักผ่อนให้สบายนะ คุณใช้ห้องเดิมได้เลย”
“…..ขอบใจนะ”
กาเรนยิ้มออกมาบางๆ ด้วยรอยย่นบนใบหน้าที่ดูลึกขึ้นกว่าเดิม
=====================
ความปวดตับผ่านไปแล้ว ตอนต่อไปจะอัพระดับความนุ่มฟูให้ได้เยียวยาจิตใจกันบ้าง
ตอนนี้มีบทพูดเยอะมาก แต่รู้สึกว่าแปลสนุกกว่าพาร์ทบรรยายเยอะเลยแฮะ
มีตัวละครใหม่อย่างโบแกนกับเบรี่เพิ่มขึ้นมาด้วย ทั้งสองคนจะเป็นตัวละครสำคัญในฐานะครอบครัวใหม่ของคริชอย่างแน่นอน
ประกาศนิดนึง ตอนนี้เปิดช่องทางโดเนทแล้วนะครับ ข้างล่างนี้เลย
——————————————
พร้อมเพย์: 0943075995
——————————————
ขอเตือนไว้ก่อนว่าโดเนทไปก็ไม่ได้ทำให้แปลเร็วขึ้นหรอกนะ5555 ขอเป็นตามกำลังทรัพย์และความสมัครใจแล้วกันครับ
แล้วก็ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและให้กำลังใจด้วยนะครับ