ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 3 เหล่าโจรป่า
บทที่ 3 เหล่าโจรป่า
ที่ลานฝึกซ้อมนอกหมู่บ้าน ท่อนซุงที่ใช้ฝึกถูกพันด้วยผ้าและปักไว้กับพื้น โดยมีทั้งเด็กๆและผู้ใหญ่อยู่รายล้อม
ที่นี่เป็นที่ฝึกดาบและหอกสำหรับการต่อสู้จริง
แม้ชาวบ้านจะจ่ายภาษีให้กับเจ้าเมือง แต่เวลามีปัญหาขึ้นมา พวกเขาก็ต้องดูแลตัวเอง
จริงอยู่ที่ทางกองทัพพยายามป้องกันและปราบปรามโจรป่า แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีข่าวเรื่องหมู่บ้านถูกบุกโจมตีบ่อยๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีการเตรียมการรับมือกับโจรป่าอยู่เสมอ
ชาวบ้านที่เคยเป็นทหารจะรับหน้าที่ในการเป็นผู้นำและก่อตั้งกลุ่มคนคุ้มกันหมู่บ้านขึ้นมา พวกเขาไม่ใช่แค่อาสาสมัครชั่วคราว แต่ถือเป็นอาชีพหลักในหมู่บ้าน
คนที่กลับมาจากกองทัพ มักจะสมัครเป็นคนคุ้มกันหมู่บ้านมากกว่าที่จะเป็นพรานป่าหรือคนเหมือง
พวกเขาจะใช้เวลาไปกับการฝึกสอนวิธีใช้ดาบให้กับเด็กๆและผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน
การฝึกดาบเป็นการฝึกภาคบังคับสำหรับผู้ชาย แต่ก็เปิดให้ผู้หญิงที่สนใจเข้าร่วมด้วยได้
แน่นอนว่าคริชเองก็ร่วมฝึกด้วย
พอถึงเวลาเข้าตาจน ก็มีแต่ตัวเองนั่นแหละที่จะพึ่งพาได้ คริชมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
แม้ตอนแรกเกรซจะไม่เห็นด้วย ส่วนกอร์คาและกาเรนก็อนุญาตแบบไม่เต็มใจ
เพราะพวกเขามองว่าด้วยรูปร่างหน้าตาของคริชแล้ว คงจะดีกว่าถ้าเธอสามารถป้องกันตัวเองได้บ้าง—-
แต่ในตอนนี้ ไม่มีใครโต้แย้งเรื่องที่เธอเข้าร่วมฝึกอีกแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่าเธอมีพรสวรรค์ในการใช้ดาบมากแค่ไหน
ผู้คนมากมายหลั่งไหลมารวมตัวกันรอบสังเวียน ที่ตรงกลางนั้นมีชายแก่ และเด็กสาวผมเงิน—- คริช ยืนอยู่
แม้จะมีเสียงตัดผ่านอากาศดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีเสียงดาบไม้กระทบกันแต่อย่างใด
ดาบที่ทั้งคู่ถือไม่ได้ปะทะกันเลย ไม่แม้แต่จะสัมผัสกันด้วยซ้ำ เสียงเกิดขึ้นจึงมีเพียงเสียงไม้ที่ตัดผ่านอากาศเท่านั้น
“อึก….! ”
ชายแก่ที่เผชิญหน้ากับคริช—- ซาร์ล เคยทำงานอยู่ในกองทัพมานาน เขารับหน้าที่เป็นครูฝึกจนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตนนั้นอ่อนแรงลง
สำหรับคนที่ต้องฝึกทหารราบ ที่ให้ความสำคัญในทักษะส่วนบุคคลอย่างมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซาร์ลเป็นคนมีความสามารถแค่ไหน
แม้เขาจะอาจเทียบกับผู้กล้าอย่างกาเรนที่ไต่เต้าจากพลทหารขึ้นไปเป็นนายร้อยได้ แต่เขาก็มียศและทักษะเป็นอันดับสองของหมู่บ้าน
และชายแบบเขากำลังหวั่นเกรงจากความผิดปกติของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า
ซาร์ลเรียนรู้วิชาดาบจากสนามรบ
มันเป็นเทคนิคที่บางครั้งดาบก็อาจถูกใช้แทนโล่ เพื่อออกแรงผลักศัตรูให้เสียการทรงตัว และปลิดชีวิตอีกฝ่าย
เป็นศาสตร์แห่งความโหดร้ายที่มีเป้าหมายเพียงเพื่อการเอาชนะ
เทคนิคของเขาถูกขัดเกลาจากการสังหารผู้คนมามากมายและแบกรับบาปนั้นไว้ข้างหลัง
มันไม่ใช่สิ่งที่จะถูกไล่ตามได้ง่ายๆจากการฝึกฝนธรรมดา
แม้ร่างกายเชาจะอ่อนแอลง แต่ทักษะของเขายังอยู่ —- แต่ถึงอย่างนั้น คริชก็ยังสามารถหลบหลีกการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย
คริชนั้นถือว่าตัวเล็กและเบาในหมู่เด็กรุ่นเดียวกัน ดังนั้นซาร์ลไม่จำเป็นต้องฟันให้โดนเธอตรงๆ
สิ่งที่เขาต้องทำเพียงแค่ฟันไปที่ดาบของเธอ
ด้วยน้ำหนักตัวที่เบาของคริช ร่างของเธอจะกระเด็นไปข้างหลัง ทำให้สูญเสียการทรงตัว
มันเป็นวิธีที่ได้ผลดีกว่าการเล็งโจมตีบริเวณลำตัว ที่ถูกป้องกันได้ด้วยคมดาบของเธอ
วิชาดาบที่ซาร์ลเรียนรู้ จะมุ่งเป้าไปที่การทำให้ศัตรูล้มก่อนจะปิดบัญชี
และทหารแก่กรำศึกคนนี้กำลังใช้ทุกทักษะที่เขามีในการต่อสู้กับเด็กสาวตรงหน้า
——แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน เขาก็แตะต้องดาบของเธอไม่ได้
มันเหมือนกับเขากำลังประลองกับครูฝึกในตอนที่เขายังเป็นมือใหม่—— ไม่ว่าฟันเท่าไหร่ก็โดนแต่อากาศ
มันไม่ใช่สิ่งที่น่าหงุดหงิด แต่มันเป็นสิ่งที่น่ากลัว
ซาร์ลเคยฝึกกับเธอมาหลายต่อหลายครั้ง และรู้ว่าเธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงทั่วไป
แต่การที่ทหารมากประสบการณ์เช่นเขา ถูกเด็กสาววัยสิบสอง-สิบสามปี ปฏิบัติราวกับเป็นของเล่น
สิ่งที่เขารู้สึกคือความหวาดกลัว มากกว่าความชื่นชม
จากมุมมองของคนอื่นอาจดูเหมือนว่าเขากำลังออมมือ
คริชเป็นแค่เด็ก แค่ระยะการโจมตีกับระยะของคมดาบก็แตกต่างกันแล้ว
นั่นจึงก่อให้เกิดช่องโหว่ในบางจุดที่คริชไม่สามารถหลบการโจมตีของซาร์ลได้
แต่ในวินาทีนั้นเอง คริชจะหยุดเขาด้วยการโจมตีที่แม่นยำ
เมื่อใดที่ซาร์ลเริ่มตั้งท่า คริชจะจู่โจมเพื่อบังคับให้ซาร์ลหลบ
แทนที่จะป้องกัน เธอกลับลบล้างมันด้วยการโจมตีสวนกลับ
ทุกการโจมตีที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ของซาร์ล จะถูกลบล้างโดยคริช และนั่นทำให้เขาหมดทางสู้
ในมุมมองของคนนอก สิ่งที่เห็นมีเพียงคริชที่กำลังกวัดแกว่งดาบ และซาร์ลที่หลบมันได้อย่างง่ายดาย
เป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไประหว่างครูฝึกและเด็กฝึกหัด
แต่ในความจริงนั้นตรงกันข้าม ซาร์ลกำลังพ่ายแพ้
ถ้าคริชต้องการ เธอสามารถจบการต่อสู้นี้ได้ในทันที
คริชเปลี่ยนมือข้างที่ถือดาบและท่วงท่าของเธออยู่ตลอด
ราวกับเป็นการเต้นรำที่งดงาม
แม้จะเป็นเพลงดาบที่แปลกประหลาด แต่ก็ดูไหลลื่นและไร้จุดสิ้นสุด
แต่ความไร้จุดสิ้นสุดนั้น สามารถเปลี่ยนเป็นการโจมตีที่จะโค่นซาร์ลได้ทุกเมื่อ
มีประสิทธิภาพและเยือกเย็น ราวกับว่าเธอกำลังเล่นกับชีวิตของศัตรูด้วยปลายดาบ
แม้ในแวบแรก ท่วงท่าของเธอจะดูยุ่งเหยิง แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในวิชาดาบของเธอ
เป็นรูปแบบที่มุ่งเน้นแต่ประสิทธิภาพ ซาร์ลเฝ้ามองมันมาตั้งแต่แรกเริ่ม จนพัฒนามาถึงจุดนี้
ตอนที่เธอจับดาบครั้งแรกท่าทีของเธอดูงุ่นง่าน แต่เมื่อผ่านไปไม่นาน แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังไม่อยากมาประมือกับเธอ
เพราะพวกเขากลัวว่าจะแพ้
แพ้ให้กับเด็กที่ในตอนนั้นอายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ
แทนที่จะเรียกว่าพรสวรรค์ คำว่าแปลกประหลาดนั้นเหมาะกับเธอมากกว่า ทักษะของเธอเหนือกว่าที่ซาร์ลจะรับมือไหว
ยิ่งไปกว่านั้น ซาร์ลยังหวาดกลัวนัยน์ตาผิดมนุษย์สีม่วงที่จ้องมองมาที่เขา
ราวกับมองเห็นทุกความเคลื่อนไหวของซาร์ลอย่างทะลุปรุโปร่ง ทุกการขยับของกล้ามเนื้อ ทุกความคิดที่อยู่ในหัว
เหมือนกบที่ถูกงูจ้อง มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไร้พลัง
เหมือนกำลังสู้กับศัตรูที่ไม่มีวันชนะ
——จบเท่านี้สินะ
ซาร์ลก้าวถอยหลังแล้วลดดาบลง
“…..พอแค่นี้แหละ ฉันสู้ต่อไม่ไหวแล้ว”
ซาร์ลพูดพลางหายใจหอบ
คริชก้มหัวโค้งคำนับด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แก้มของเธอมีเลือดฝาดเล็กน้อย
ท่วงท่าการโค้งของเธอนั้นงดงามและน่าดึงดูดมากกว่าระบำดาบเมื่อสักครู่เสียอีก
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
“ถ้าอยากได้คู่ซ้อมอีกเมื่อไหร่ก็บอกได้ล่ะ เข้าใจมั้ยคริช?”
“ค่ะ”
คริชพยักหน้า
สำหรับคริชแล้วชายแก่คนนี้เป็นคู่ซ้อมที่ดี
ในการซ้อมครั้งที่แล้ว 17 ครั้ง
ครั้งก่อนหน้านั้นอีก คือ 12 ครั้ง
ส่วนในวันนี้คือ 23 ครั้ง
มันเป็นการฝึกของคริช ว่าเธอจะสามารถฆ่าซาร์ลได้กี่ครั้งในระยะเวลาจำกัด
เป็นไปตามที่ซาร์ลคาดเดาไว้ ว่าเธอสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย
แต่เธอได้เรียนรู้ว่า ถ้าเธอทำให้คู่ต่อสู้อับอายโดยการเอาชนะอยู่ฝ่ายเดียว พวกเขาจะไม่อยากมาเป็นคู่ซ้อมกับเธออีก
คริชจึงเลือกฝึกดาบกับซาร์ล ฝีมือดาบของเขาเก่งเป็นอันดับสองของหมู่บ้าน
และเธอจะปล่อยให้การประลองยืดเยื้อให้นานที่สุดเพื่อใช้เป็นการฝึก
จริงอยู่ที่ฝีมือดาบของกาเรนนั้นเหนือกว่า แต่เขามักจะยุ่งกับการล่าสัตว์ในฐานะพรานป่า
ที่สำคัญ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากใช้ดาบซักเท่าไหร่
ดังนั้นซาร์ลจึงเป็นคนเดียวที่เหมาะจะเป็นคู่ฝึกกับเธอ
การฝึกดาบนั้นไม่อาจทำได้หากไม่มีคู่ต่อสู้
การเหวี่ยงดาบซ้ำๆไม่มีประโยชน์อะไรนอกเสียจากเพิ่มความเร็วทางกายภาพ
และถ้าการประลองดาบอาศัยแค่ความเร็วอย่างเดียวแล้วล่ะก็
สิ่งที่ต้องทำก็คงมีแค่ยกดาบขึ้นสูงๆและฟาดลงมาให้เต็มแรงเท่านั้น
แต่เธอรู้ดีว่าในการต่อสู้ระยะประชิดทุกแขนง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไหวพริบ
แทนที่จะเลือกวิธีที่เร็วที่สุด เธอกลับเลือกใช้วิธีที่ง่ายที่สุด
ไม่ว่าจะเหวี่ยงดาบได้ช้าหรือเร็ว ผู้ที่เอาดาบจ่อคอศัตรูได้ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ
สิ่งที่ต้องใช้คือไหวพริบในการอ่านความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย เพื่อมองหาเส้นทางที่ง่ายที่สุด
กับแรงที่มากพอที่จะแทงดาบผ่านเส้นทางนั้น และเจาะทะลวงการป้องกันของศัตรู
แล้วเราจะฝึกหาเส้นทางที่ง่ายที่สุดในสถานการณ์ต่างๆกันได้ยังไง—— คำตอบนั้นเป็นอย่างที่รู้ๆกัน
ว่าคู่ซ้อมเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้
ซาร์ลที่รู้ถึงความตั้งใจของคริชและหวาดกลัวเธอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยอมมาฝึกด้วยโดยไม่ปริปากบ่น
นั่นทำให้เขาเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับคริช
ฉันต้องทำตัวดีๆกับเขา คริชคิดเช่นนั้น และยื่นกระติกน้ำที่ทำจากหนังสัตว์ให้
“ดื่มน้ำหน่อยมั้ยคะ”
ซาร์ลลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า และขอบคุณเธอสำหรับน้ำดื่ม
ในหัวของคริช เธอจะจำแนกคนออกเป็นสองกลุ่ม
คือคนที่มีประโยชน์กับเธอ และคนที่ไม่
พ่อแม่และคุณตาของเธอเป็นตัวอย่างที่ดีของกลุ่มคนที่มีประโยชน์ เธอจะคอยปกป้องพวกเขาตราบใดที่ผลเสียไม่มากเกินผลรับที่ได้มา
เมื่อเธอได้รับสิ่งใดมา เธอก็จะตอบแทนแบบเต็มจำนวน
การแสดงไมตรีจิตเป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้จากการใช้ชีวิตที่นี่ว่ามันเป็นหนึ่งในกลไกของสังคม
ต้องขอบคุณแม่ของเธอ
ความพยายามของเกรซทำให้คริช ที่มีจริยธรรมอันบิดเบี้ยว สามารถอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้โดยไม่มีปัญหามากนัก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เกรซเติมเต็มความไม่ปกติของคริชด้วยความรักอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่แลกมากับความอัจฉริยะของเธอ คือคริชไม่สามารถเข้าใจในเรื่องทั่วๆไป ผ่านมุมมองของคนทั่วๆไปได้
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ยอมแพ้ เกรซคอยสอนคริชอย่างระมัดระวัง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
จนกระทั้งคริชเริ่มเข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์และกลไกของสังคม
ต้องขอบคุณเกรซ ที่แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ช่วยให้คริชปรับตัวเข้ากับชีวิตแบบคนปกติได้มากขึ้น
“พี่คริช ต่อไปมาซ้อมกับผมนะ!”
“ได้สิ”
คริชพยักหน้าให้เพลและตั้งดาบขึ้น
เทียบกับซาร์ลแล้ว การเคลื่อนไหวของเขาทั้งเชื่องช้าและเต็มไปด้วยช่องโหว่
เพื่อที่จะสอนการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องให้เขา คริชทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเมื่อสักครู่—— เธอเปลี่ยนรูปแบบเป็นการตั้งรับ
เธอจงใจเคลื่อนไหวให้ช้าลงเพื่อเปิดช่องโหว่ให้เขาโจมตี แล้วเธอก็จะหลบ
เทียบกับครั้งที่แล้ว ฝีมือเขาพัฒนาขึ้น แต่การเคลื่อนไหวยังทื่อเกินไป
ด้วยทักษะของเขาในตอนนี้ ยังนับเป็นกำลังพลในการป้องกันหมู่บ้านไม่ได้
เมื่อเธอมองเขาเล่นฟันดาบ มันทำให้คริชนึกถึงเด็กสองคนที่เธอเคยฆ่า
เธอเคยรู้สึกยินดีที่ได้ถอนรากถอนโคนต้นเหตุของเรื่องน่าหงุดหงิดทิ้งไป
แต่ในตอนนี้เธอมองว่ามันคือความผิดพลาด
——เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน
ทั้งคู่เป็นเด็กผู้ชายที่อายุพอๆกับคริช
ในตอนนั้น คริชถูกพวกเขากลั่นแกล้งบ่อยๆ เธอเลยเอาคืนด้วยการซัดทั้งสองจนราบคาบในการฝึกซ้อม
เมื่อถูกเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าทำให้อับอายกลางสาธารณะ แทนที่พวกเขาจะหยุดแกล้งเธอ มันกลับทำให้ความเกลียดชังทวีความรุนแรงขึ้น
พวกเขาเริ่มปล่อยข่าวลือแย่ๆเกี่ยวกับคริช เรียกเธอว่าตัวประหลาด ปีศาจ และทำให้ภาพลักษณ์ของเธอป่นปี้
ตอนแรกคริชก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ไม่นาน เธอก็เริ่มกังวลถึงสายตาของคนรอบข้าง
เมื่อสถานการณ์แย่ลงในทุกๆวัน เธอจึงตัดสินใจที่จะฆ่า
เธอฆ่าพวกเขาทั้งคู่ด้วยการล่อหมูป่าให้โจมตีพวกเขาที่ริมหน้าผา
เป็นการฆาตกรรมอันสมบูรณ์แบบที่ไร้ซึ่งหลักฐาน แต่ตอนนี้เธอรู้ตัวแล้วว่านั่นเป็นการกระทำที่ผลีผลามเกินไป
ในตอนนั้น คริชมองโลกในมุมมองที่แคบกว่านี้มาก เธอสนใจแค่ในเรื่องของตัวเองเท่านั้น แต่ปัจจุบันเธอเข้าใจในกลไกของสังคมมากขึ้นเล็กน้อย
เธอได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นที่ทำให้หมู่บ้านดำรงอยู่ได้
ซึ่งถ้ามองในแง่นั้น ทุกคนที่ใช้ดาบเป็นรวมถึงทั้งสองคนนั้น คือกำลังพลในการปกป้องหมู่บ้านในอนาคต
เทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน พวกเขาถือว่ามีความสามารถทีเดียว แทนที่จะฆ่า เธอน่าจะพยายามให้มากขึ้นในการลดความเกลียดชังของพวกเขา
แม้จะเป็นแค่ความรู้สึกผิดเล็กๆน้อยๆที่เธอไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เธอไม่ทำพลาดซ้ำสอง
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่คริชตั้งใจสอนวิชาดาบให้เด็กๆในหมู่บ้านอย่างใจเย็น
คริชได้เรียนรู้ สำนึก และแก้ไข ในมุมมองของเธอทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี
แต่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าคนอื่นๆนั้นมองกลับกัน
ซาร์ล และคนอื่นๆที่รู้เรื่องนั้นต่างหวาดระแวงในตัวคริช
แม้จะไร้ซึ่งหลักฐานใดๆที่จะเชื่อมโยงว่าเป็นคริชเป็นคนลงมือ และการสงสัยเธอดูจะเป็นเรื่องไร้สาระ
มีเพียงแรงจูงใจจากการที่เด็กทั้งสองคนนั้นเกลียดเธอเท่านั้น
แต่ข้อสงสัยว่าคริชอาจเป็นคนลงมือฆ่าพวกเขา เมื่อคิดขึ้นมาแล้วก็ยากที่จะลบออกจากหัวได้
คริชนั้นสมบูรณ์แบบเกินกว่าที่จะเรียกว่าเด็กปกติ
และเพราะความคิดของเธอที่มองว่าความสมบูรณ์แบบนั้นคือที่สุด เธอจึงไม่รู้สึกถึงความหวาดระแวงที่ก่อตัวขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“จะว่าไป…. วันนี้กาโรมันไม่มาอีกแล้วเหรอวะ”
“อ้า… คงไปเมาหลับอยู่ที่ไหนซักที่ล่ะม้าง”
ชายที่คริชฆ่าไปเมื่อวาน กาโร จะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
คริชมั่นใจว่าจะไม่มีใครหาศพเขาเจอ จึงไม่ได้ใส่ใจกับบทสนทนานั้น
แต่พวกผู้ใหญ่ที่สงสัยในตัวเธอตั้งแต่แรก ต่างมองไปทางเธอ ก่อนจะหันกลับมามองหน้ากัน
พวกเขารู้ดีว่ากาโรชอบลวนลามคริช
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา และพวกเขาก็ละสายตาจากคริชอย่างรวดเร็ว
แม้จะน่าสงสัย แต่ก็ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกอย่างกาโรก็เป็นพวกขี้เกียจอยู่แล้ว
มีโอกาสสูงที่เขาอาจจะแค่ตื่นสาย
และเหนือสิ่งอื่นใด แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยเธอ แต่ความคิดที่ว่า ‘เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคงไม่ทำเรื่องแบบนั้น’ ก็เป็นฝ่ายชนะ
พวกเขาเคยเห็นการแสดงออกของเธอตอนอยู่กับเกรซและกอร์คา และทั้งคู่รวมถึงกลุ่มผู้หญิงในหมู่บ้านต่างชื่นชมถึงเธอว่าเธอเป็นเด็กที่จริงจังและขยันทำงานแค่ไหน
เมื่อได้ยินเรื่องราวเหลือนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจว่าคงจะคิดมากไปเอง
สถานะทางสังคมของคริชในตอนนี้ กำลังตั้งอยู่บนสมดุลที่แสนจะเปราะบาง
“เฮ้ยย พ่อค้าเร่มาแล้ว!!!”
มีเสียงตะโกนมาจากลานกลางหมู่บ้าน—- และคริชเป็นคนแรกที่ตอบสนอง
ปลายดาบของเธอหยุดที่ใต้คางของเด็กหนุ่ม บังคับให้เขาหยุดชะงักในทันที
“อึก!”
“วันนี้พอแค่นี้เพล นายพัฒนาขึ้นเยอะ ที่จะบอกมีแค่นี้”
คริชพูดพลางลูบหัวเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าไม่พอใจแบบลวกๆ ก่อนจะหันมาทางซาร์ล
“คุณซาร์ล วันนี้คริชขอกลับก่อน คริชจะไปที่ลานกว้าง”
“หืม? อา….”
“ขอบคุณสำหรับการฝึกค่ะ”
หลังโค้งคำนับอย่างสุภาพให้กับทุกคน คริชก็รีบวิ่งไปที่ลานกว้างของหมู่บ้าน
เธอหายไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้พวกผู้ใหญ่มองหน้ากันด้วยความฉงน
แต่ไม่นาน พวกเขาก็จำตอนที่เธอมองวัตถุดิบต่างๆที่พ่อค้าเร่เอามาขายด้วยแววตาเป็นประกายได้
และปัดความคิดไร้สาระก่อนหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว
และเป็นอีกครั้ง ที่ความสงสัยในตัวคริชถูกกลบหายไปจากความคิดของพวกเขา
ที่ลานกว้างกลางหมู่บ้าน มีบ่อน้ำสาธารณะขนาดใหญ่ตั้งอยู่
แม้ว่าจะมีหลายครอบครัวที่ขึ้นไปตักน้ำจากแม่น้ำในป่า แต่ว่าครอบครัวที่อาศัยอยู่ใจกลางหมู่บ้าน และห่างจากป่า จะต้องมาตักน้ำที่นี่ทุกวัน
จึงมีข้อตกลงว่าพื้นที่โดยรอบบ่อน้ำจะต้องไม่มีกีดขวางใดๆ
และเกิดเป็นที่โล่งกว้างใจกลางหมู่บ้านที่ไม่เป็นระเบียบแห่งนี้
เว้นเสียแต่เวลาที่มีแขกจากนอกหมู่บ้าน หรือมีประกาศสำคัญ
ทั้งพ่อค้าเร่ นักกวี และนักแสดงที่มาเยี่ยมเยือน จะได้รับการงดเว้นจากกฎข้อนี้
เช่นเดียวกับในวันนี้ รถของพ่อค้าเร่หยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของลานกว้าง และเริ่มนำสินค้าออกมาวางขาย
ในหมู่บ้านแห่งนี้มีสิ่งบรรเทิงอยู่เพียงน้อยนิด นี่เป็นช่องทางเดียวที่ชาวบ้านจะได้ติดต่อกับโลกภายนอก
ผู้มาเยือนจากต่างแดนเป็นแหล่งความบรรเทิงสำคัญของพวกเขา
ตอนนี้ผู้คนมากมายเริ่มมารวมตัวกัน และคริชที่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ไม่ว่าเธอจะพยายามเขย่งเท้าแค่ไหนก็มองไม่เห็นอะไรเลย
เธอจึงปลีกตัวออกมานั่งงอนแก้มป่องอยู่บนถังไม้ใกล้ๆ พลางเงี่ยหูฟัง
แม้อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสถาพอากาศอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วพ่อค้าเร่มักจะมีกำหนดการที่แน่นอน
เช่นในหมู่บ้านแห่งนี้ จะมีพ่อค้าเร่อยู่สองเจ้า ผลัดกันมาอาทิตย์ละครั้ง
ซึ่งพวกเขาพึ่งแวะมาเมื่อสองวันก่อน ดังนั้นพ่อค้าคนนี้ต้องเป็นพ่อค้าคนใหม่อย่างแน่นอน
ซึ่งเธอก็เดาถูก
น้ำเสียงของของพ่อค้านั้นแตกต่างออกไป ปฏิกิริยาของชาวบ้านก็ไม่เหมือนเดิมเช่นกัน
เพราะปกติแล้วพ่อค้าคนเก่ามักจะเอาแต่สินค้าเดิมๆมาขาย คริชจึงตั้งหน้าตั้งตารอผู้มาเยือนที่คาดไม่ถึงเช่นนี้อยู่เสมอ
มันมักจะมีอะไรแปลกๆใหม่ๆอยู่ในสินค้าที่พวกเขานำมาด้วย
คริชแกว่งเท้าเตะถังไม้ ขณะนั่งรอให้ฝูงชนเริ่มซาลง
ในหัวเธอเต็มไปด้วยความคาดหวังในวัตถุดิบใหม่ๆเหมือนทุกครั้ง
พอเป็นเรื่องของกินแล้ว เธอมักจะหมกมุ่นจนลืมสังเกตพฤติกรรมเสียมารยาทที่เธอกำลังทำอยู่
“ฟุฟุ ไม่เอาน่า อย่าแกว่งเท้าแบบนั้นสิคริช”
ทันทีที่คริชหันไปหาเสียงที่คุ้นเคย เกรซก็ใช้นิ้วจิ้มแก้มป่องๆของเธอพลางหัวเราะออกมา
ปยุ๊วว~ เสียงอากาศที่ถูกปล่อยออกมาทำให้ผู้หญิงคนอื่นๆที่อยู่ข้างหลังเกรซก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
คริชที่พึ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป หน้าแดงด้วยความเขินอาย
“ไม่เอาน่า อย่างอนเพราะแค่เข้าไปไม่ได้สิ หน้าสวยๆของลูกจะเสียเอานะ”
“ท่านแม่ แล้วก็ เอ่อ…. สวัสดีค่ะ คุณป้า คุณน้า…”
คริชกระโดดลงมาจากถัง ก่อนจะก้มศีรษะให้เกรซและคนอื่นๆ แม้จะยังรู้สึกอับอายอยู่บ้าง
เสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อพวกผู้หญิงต่างกรูเข้ามาและผลัดกันลูบหัวคริช
“ฮ่าฮ่าฮ่า คริชนี่น่ารักจังเลยนะ พอพ่อค้าเร่แวะมาทีไร เธอจะอยู่ไม่สุขตลอดเลย”
“ใช่เลย นี่เจ้าหนูน้อยกินเก่ง ทำยังไงถึงจะหุ่นดีได้แบบหนูเนี่ย”
ทุกคนรู้ว่าทำไมคริชถึงมาอยู่ที่นี่ และนั่นทำให้เธอเขินหนักกว่าเก่า
ผู้หญิงทุกคนที่นี่เป็นเพื่อนของเกรซและพวกเธอรู้ดีว่าคริชเป็นเด็กขยันทำงานแค่ไหน
ในมุมมองของพวกเธอ คริชเป็นเด็กใจดี ว่านอนสอนง่าย และรู้จักเอาใจใส่
แม้เธอจะอยู่ในวัยที่ควรได้ออกไปเล่น แต่เธอก็ยังอาสามาช่วยทำงานอยู่ตลอด
เป็นเด็กสาวที่ทั้งน่ารัก ขยัน และมีเสน่ห์ สมบูรณ์แบบในทุกๆอย่าง
สำหรับพวกเธอ ความอยากอาหารของคริชไม่ใช่ข้อเสีย แต่คือความเป็นเด็กที่แอบซ่อนอยู่ในตัวตนที่สมบูรณ์แบบนั้น เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเธอ
แถมนั่นยังเป็นสาเหตุให้เธอชอบการทำอาหาร หลายๆคนจึงอยากได้เธอมาเป็นลูกสะใภ้ด้วยซ้ำ
แต่สำหรับคริชแล้ว เหตุผลที่เธออาสาช่วยงานของพวกผู้หญิงในหมู่บ้านเพราะเธอมักจะได้ของหวานเป็นรางวัล
ความนิยมของคริชในหมู่แม่บ้านนั้นสูงมาก จนพวกเขาไม่ทันสังเกตว่าสิ่งที่คริชทำนั้นไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่รอรับอาหารจากเจ้าของ
สำหรับกลุ่มแม่บ้านแล้ว ข่าวลือที่ว่าคริชเป็นเด็กประหลาดนั้นไม่ต่างอะไรจากมุกตลก
เป็นเรื่องไร้สาระของพวกผู้ชายหลงเสน่ห์คริช
ไม่ว่าจะร้ายหรือดี ความเข้าใจผิดของพวกผู้หญิงเป็นสาเหตุให้เรื่องที่ว่าคริชเป็นเด็กประหลาดไม่ได้ถูกพูดคุยอย่างเปิดเผย
และถึงแม้ว่าคริชจะไม่รู้ตัว แต่กลุ่มผู้หญิงในหมู่บ้านนั้นมีส่วนในการปกป้องเธออย่างมากเลยทีเดียว
“ดีล่ะ งั้นเดี๋ยวป้าพาเธอไปเอง”
“เอ๋? หวา!…”
คนที่ดูแข็งแรงที่สุดในกลุ่ม กาล่า อุ้มคริชขึ้นบนบ่าแล้วฝ่าฝูงชนไปหาพ่อค้า
“ฟังทางนี้! ผู้หญิงกับเด็กสาวที่สวยที่สุดในหมู่บ้านจะผ่านแล้วจ้า หลีกทางหน่อย”
เสียงอันทรงพลางของเธอทำให้ฝูงชนแหวกออก กาล่าจึงสามารถเข้าไปหาพ่อค้าโดยมีคริชนั่งบนบ่าได้อย่างง่ายดาย
เมื่อสายตาคริชมองเห็นพ่อค้าและสินค้าที่วางเรียงราย เธอก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในทันที
“ให้ตายสิ…. ไม่เลวเลยนี่นา”
ทั้งพ่อค้าและลูกหาบมีท่าทีที่ดูเป็นมิตร
ส่วนชายร่างใหญ่สี่คนน่าจะเป็นคนคุ้มกัน
ถึงจะเป็นคนแปลกหน้า แต่พวกเขามีกลิ่นที่เธอคุ้นเคย
กลิ่นของเลือด
โดยไม่แสดงออกทางสีหน้า คริชคิดหาความหมายของกลิ่นเหล่านั้นอย่างเหม่อลอย
——ของคน หรือของสัตว์?
ไม่มีกลิ่นสาบสัตว์ น่าจะเป็นเลือดคน ประมาณเมื่อวานนี้
——ทำไมถึงมีกลิ่นได้?
เพราะพวกเขาฆ่าคนมา
——พวกเขาถูกโจรป่าโจมตีรึเปล่า?
แต่ไม่มีใครบาดเจ็บเลย
ความจริงแล้วพวกเขาน่าจะเป็นฝ่ายลงมือมากกว่า
คริชจ้องมองไปยังสินค้าต่างๆ
รถม้าเป็นคนละคัน สินค้าส่วนใหญ่ก็ไม่คุ้นตา
แต่ฟักทองที่ถูกคลุมผ้าไว้เป็นอันเดียวกันกับเมื่อวันก่อนแน่ๆ
มันมีรอยตำหนิที่จุดเดียวกัน
คนพวกนี้ฆ่าพ่อค้าเร่ที่มาเมื่อวันก่อน
นั่นเป็นข้อสรุปที่ดูสมเหตุสมผลที่สุด
รูปแบบหลักการซื้อขายในหมู่บ้านแห่งนี้คือการแลกเปลี่ยนสิ่งของ
เนื่องจากพ่อค้าเร่มักจะขายสินค้าจำนวนมากในรูปแบบขายส่ง จึงมีเพียงหัวหน้าหมู่บ้าน ช่างฝีมือ และเจ้าของร้านค้าเท่านั้นที่จะมีเงินพอจ่าย ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไปมีแค่เงินติดมือเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
‘พวกเขาพึ่งจะกลับไปเมื่อวานเหรอ? โชคไม่ดีเลยนะ’
นั่นคือสิ่งที่เธอแอบได้ยินตอนที่กำลังนั่งอยู่บนถังไม้
สินค้าที่วางขายมีแต่เครื่องประดับเล็กๆ ผักผลไม้ และสิ่งที่ชาวบ้านสามารถจับจ่ายได้ด้วยเงินติดตัวจำนวนไม่มาก
มีสินค้าบางชิ้นที่ทำจากโลหะมีค่า แต่นั่นไม่ใช่ราคาที่ชาวบ้านจะจ่ายไหว
บนรถม้ามีวัตถุดิบกองโต แต่น่าจะไม่ได้มีไว้ขายให้ชาวบ้าน
เมื่อร่างของคริชถูกวางลงบนพื้น เธอสำรวจพ่อค้ากลุ่มนี้อย่างถี่ถ้วน
พวกเขาทุกคนยิ้มแย้ม แต่เธอสังเกตเห็นประกายที่ซ่อนอยู่ในแววตาเหล่านั้นเมื่อเขาจ้องมองมาที่เธอ
“ว่าไง แม่นางฟ้าตัวน้อย สนใจชิ้นไหนรึเปล่า?”
“ตายจริง แล้วฉันล่ะเป็นอะไร พรายน้ำเหรอ?”
เสียงหัวเราะดังขึ้นขณะที่พ่อค้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ
คริชไม่ได้ใสทใจแววตาพวกนั้น เธอชินกับมันแล้ว
ขณะที่คิดเรื่อยเปื่อยถึงเป้าหมายของชายกลุ่มนี้
คริชตัดสินใจว่าควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่เธอต้องการมากกว่า และพูดมันออกมา
“ขอดูฟักทองหน่อยได้มั้ยคะ?”
“ฟักทองเหรอ? อา….”
ลูกหาบเปิดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นฟักทองกองเล็กๆเบื้องใต้
ถึงเธอจะพึ่งกินซุปกระต่ายเป็นมื้อเย็นไปเมื่อวาน แต่เธอก็ยังอยากกินฟักทองอยู่ดี
เธอหยิบฟักทองลูกใหญ่ ที่อัดแน่นไปด้วยเมล็ดขึ้นมา และยิ้มอย่างพึงพอใจ
เมื่อเธอถามราคา ราคาที่พ่อค้าเสนอให้ถือว่าถูกมากทีเดียว
“จริงเหรอ?”
“แน่นอน ถ้าหนูถามหาฟักทองแปลว่าหนูจะต้องเป็นเด็กดีแน่ๆ เอานี่ไปด้วยสิ ถือว่าเป็นบริการพิเศษไง”
ชายคนนั้นพูดพลางหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมา ภายในเต็มไปด้วยวัตถุทรงกลมสีน้ำตาลอ่อน
“ลองกินดูสิ”
คริชลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจว่ามันไม่น่าจะเป็นยาพิษ
คิดได้ดังนั้น เธอจึงหยิบขึ้นมาเม็ดหนึ่งแล้วโยนเข้าปาก
“….หวานจัง”
“ลูกอมไงล่ะ พึ่งเคยกินครั้งแรกเหรอ?”
มันเป็นลูกอมรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย
คริชพยักหน้าพลางกลิ้งลูกอมบนลิ้นไปมา ก่อนจะก้มขอบคุณชายคนนั้น
ด้วยรสหวานที่เธอไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ตอนนี้เรื่องที่ชายเหล่านี้ฆ่าพ่อค้าเร่คนเก่าไม่ได้อยู่ในหัวเธออีกแล้ว
สำหรับคริช พ่อค้าเร่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบ
เพราะเธอมาซื้อของกับพวกเขาทุกครั้ง เธอเลยพอจำหน้าได้
แต่เธอไม่ได้สนใจความตายของพวกเขาเลยซักนิด
“ตายจริง…. ต้องขอโทษด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”
เกรซที่ในที่สุดก็สามารถฝ่าฝูงชนมาได้ วางมือบนหัวของคริชและก้มขอบคุณเช่นกัน
สมชื่อสาวงามประจำหมู่บ้าน เกรซนั้นเป็นคนมีเสน่ห์ ——- คริซสัมผัสได้ว่าสายตาของพวกพ่อค้าไปรวมกันที่เกรซ ขณะกำลังเพลิดเพลินกับรสชาติในปาก
“โอ้ คุณผู้หญิง มีสาวสวยมีอีกคนแล้วสิ อยากได้อะไรรึเปล่า เดี๋ยวจะลดให้เป็นพิเศษเลย”
“ตายจริง ปากหวานจังเลย คริช ลูกอยากได้อะไรอีกรึเปล่า?”
หลังจากยืนคิดซักพักคริชก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
คริชเป็นพวกมักน้อย เธอไม่เคยใช้จ่ายอะไรเกินตัว
ตอนนี้ที่บ้านยังมีผักตุนอยู่ และเธอก็ไม่มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษ
ถ้าให้เลือกก็คงเป็นฟักทองเพิ่มอีกซักลูก แต่เธอก็อดใจไว้เพราะมันฟุ่มเฟือยเกินไป
“วันนี้คริชแค่อยากกินซุปฟักทองเฉยๆ”
“ฟุฟุ เข้าใจล่ะ เอ่อ ไหนดูซิ..…. อืมม ตอนนี้ยังคิดไม่ออกแฮะ ไว้ขอแวะมาใหม่พรุ่งนี้เช้าแล้วกันนะคะ?”
“ได้แน่นอน ไม่มีปัญหา ผมจะปฏิเสธคำขอของคุณผู้หญิงคนสวยได้ยังไงล่ะ”
“ชมกันเกินไปแล้ว มาเถอะคริช กลับบ้านกัน”
คริชพยักหน้าพลางกอดฟักทองแน่นพร้อมลูกอมในปาก
เกรซเห็นท่าทางแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ เธอรับฟักทองมา ก่อนจะจับมือกับคริช
มือของเกรซนั้นอบอุ่น
คริชเผยรอยยิ้มจางๆและเดินตามเกรซออกไปจากลานกว้าง
“ถ้าคุณปฏิเสธคำขอของผู้หญิงสวยๆไม่ได้ แปลว่าคุณต้องฟังคำขอของฉันด้วยสินะ?”
หญิงสาวร่างใหญ่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ ผู้หญิงคนอื่นๆก็เริ่มกรูกันเข้าไปเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย ในหัวของคริชมีแต่เรื่องเมนูอาหารที่จะทำจากฟักทองลูกนี้เท่านั้น
ตรงข้ามกับหินเกลือที่มีอยู่มากมาย น้ำตาลถือเป็นสินค้าหายากในหมู่บ้านแห่งนี้
แม้จะมีผลไม้ หรือคุกกี้ที่ทำจากถั่วอยู่บ้าง แต่นอกจากนั้นแล้วหมู่บ้านนี้ก็แทบไม่มีของหวานเลย
ความหวานจากฟักทองจึงเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากในแถบนี้ นอกจากนี้การได้ทำอาหารอย่างอื่นนอกจากซุปที่ปรุงด้วยเกลือ ทำให้ฟักทองเป็นวัตถุดิบน่าดึงดูดใจมากสำหรับคริช
คริชตัดฟักทองเป็นชิ้นๆ และเคี่ยวมันอย่างระมัดระวังไม่ให้เนื้อฟักทองเละ
ระหว่างนั้นเธอก็นวดแป้งผสมกับเนย เพื่อทำแผ่นแป้งสำหรับพายฟักทอง
เธอไปที่บ้านข้างๆเพื่อขอยืมใช้เตาอบ และระหว่างจ้องมองพายในเตา เธอก็เริ่มฮัมเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฟุฟุ วันนี้เธอดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ จัดมื้อใหญ่เชียว”
“ค่ะ คริชพลาดโอกาสซื้อฟักทองเมื่อสองวันก่อน เลยอยากกินฟักทองมากๆ…. อิฮิฮิ ขอบคุณสำหรับเตาอบนะคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า อยากใช้อีกก็มาได้ตลอดเลยนะ เทียบกับการได้กินอาหารฝีมือคริชแล้ว แค่นี้น่ะเล็กน้อย”
กาล่า หัวเราะอย่างร่าเริง
เธอเป็นแม่ม่ายที่ถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียวหลังจากเสียลูกไปจาก ‘อุบัติเหตุ’
คริชจึงกลายเป็นที่พึ่งทางใจเดียวของเธอ
โดยไม่รู้ว่าคริชเป็นคนพรากชีวิตลูกชายสุดที่รักของเธอไป กาล่าคอยมอบความรักที่ให้กับคริชแทนที่ลูกของเธอ
ส่วนคริชที่แม้จะเป็นผู้ช่วงชิงความสุขของกาล่าไป ก็ยังคงรับความรักจากกาล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
คริชนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกผิด
ความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวนี้ไม่ได้กวนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“…..ฉันอยากให้เขาได้ลองกินมันดูซักครั้ง แค่คำเดียวก็ยังดี ขอโทษด้วยนะคริช ที่เจ้าลูกชายงี่เง่าของป้าจากไปโดยที่ยังไม่ได้ขอโทษเธอ”
แวบแรก คริชสงสัยว่ากาล่ากำลังพูดเรื่องอะไร จากนั้นหน้าของเด็กชายสองคนก็ผุดขึ้นมาในหัว
คนไหนเป็นลูกของคุณป้ากันนะ? คริชนึกสงสัย
คริชไม่ใช่คนขี้ลืม แต่เธอแค่ไม่ใส่ใจจะจำในสิ่งที่เธอไม่สนใจ
เธอจึงต้องใช้เวลาซักพักกว่าจะนึกออก
เมื่อเห็นคริชนิ่งเงียบ กาล่าที่เข้าใจท่าทีของเธอผิดไปก็ยิ้มแหยๆออกมา ก่อนจะขอโทษ
“….ยิ่งแก่ก็ยิ่งอ่อนไหวน่ะ ยกโทษให้ป้าด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คริชไม่ได้ไม่พอใจ… ว่าแต่ คุณป้าโอเคมั้ยคะ?”
“อื้ม…. ป้ามีคริชอยู่ด้วยทั้งคนนี่นา”
คริชไม่ได้ไม่พอใจจริงๆ พูดอีกอย่างคือเธอไม่สน
ถึงมีความรู้สึกผิดปนอยู่บ้าง แต่ความสบายใจนั้นมีมากกว่า
คริชอยากใช้เตาอบเพื่อทำอาหาร ซึ่งบ้านหลังเดียวที่มีเตาอบในละแวกนี้คือบ้านของกาล่าที่คริชรู้จักตั้งแต่ยังเด็ก
กาล่าเป็นที่รู้จักในเรื่องร่างกายและจิตใจที่เข้มแข็ง
แต่หลังจากเหตุการณ์ที่คริชสังหารลูกชายของเธอ เธอโศกเศร้าอย่างมากจนชาวบ้านเริ่มกังวลว่าเธออาจจะฆ่าตัวตาย
แน่นอนว่าคริชไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย
สำหรับคริช เธอก็แค่ฆ่าเด็กนิสัยเสียเท่านั้น เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและเธอก็ไม่ได้รู้สึกผิดกับมัน
แต่ในตอนนั้นเธอกำลังเห่อการทำอาหารต้วยเตาอบอย่างมาก
เธอจึงใช้เวลาหลายวันในการปลอบกาล่า เพื่อจะได้ใช้เตาอบ—— ในมุมมองของคนนอก เธอคือเด็กสาวผู้เอาการเอางานที่คอยไปเยี่ยมกาล่าทุกวัน
เรื่องราวระหว่างคริชและกาล่าถูกเล่าเป็นนิทานชวนตื้นตันใจไปทั่วหมู่บ้าน
กาล่าที่ได้สัมผัสเรื่องราวนั้นกับตัวเอง เชื่อและรู้สึกเอ็นดูในตัวคริช ที่เป็นคนฆ่าลูกแท้ๆของเธอ อย่างสุดหัวใจ
ไม่มีใครรู้ถึงความจริงอันบิดเบี้ยวของสถานการณ์นี้
และคริชผู้เป็นตัวเอกของเรื่อง ก็ไม่ได้ใส่ใจ และยังคงแวะเวียนมาหากาล่าอย่างไร้เดียงสาต่อไป
“คุณป้าอยากมาทานข้าวเย็นที่บ้านคริชมั้ยคะ?”
“ได้สิจ๊ะ แต่แบบนั้นจะไม่รบกวนเกรซเหรอ?”
“ท่านแม่บอกว่าให้ชวนคุณป้ามาได้ อีกอย่างคริชจะมีความสุขกว่าถ้าทุกคนได้กินอาหารตอนที่มันยังร้อนๆ”
คริชอยากฟังความเห็นของกาล่าเกี่ยวกับอาหารของเธอ
คืนนี้อากาศหนาว ถ้าจะตัดพายแล้วเอากลับมาให้กาล่าชิมที่บ้าน พายก็คงเย็นหมด
ดังนั้นมันจึงง่ายกว่าสำหรับคริชถ้าทุกคนได้ทานมันพร้อมๆกัน
คำเชิญชองคริชเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว แต่เพราะคำพูดอ้อมโลกของเธอทำให้กาล่าเข้าใจมันในทางที่ดี
“…คริชนี่เป็นเด็กดีจริงๆ ถ้าอย่างนั้นป้าคงต้องขอร่วมมื้อเย็นด้วยล่ะนะ”
“ได้เลยค่ะ ถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยอุ้มตอนนั้น”
“ฮ่าฮ่า ถ้างั้นป้าคงต้องอุ้มหนูทุกครั้งที่พ่อค้าเร่แวะมาแล้วสิ”
คริชยิ้มขณะที่นั่งรอพายในเตาอบ ส่วนกาล่าก็มองคริชอย่างอบอุ่น
ในหมู่บ้านแห่งนี้ เรื่องราวอันบิดเบี้ยวและหลอกลวงของคริชก็ยังดำเนินต่อไป
กาล่าย้ายพายจากเตาอบมาวางบนถาดราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
เธอคลุมมันด้วยผ้าเพื่อรักษาความร้อนไว้ก่อนจะออกไปจากบ้าน
ที่บ้านของคริช พ่อแม่และคุณตาของเธอกำลังรอต้อนรับทั้งคู่อย่างอบอุ่น
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดยามค่ำคืนค่อยๆเข้าปกคลุม
แต่เปลวไฟที่ใช้ต้มซุปในหม้อที่กำลังเดือด ทำให้กำแพงรอบข้างสว่างไสว
“ท่านแม่ ไฟแรงเกินไปแล้ว…”
“ขะ ขอโทษที… แม่คุมไฟไม่ค่อยเก่งน่ะ”
คริชภูมิใจในซุปฟักทองของเธอมาก
เธอแค่ต้องการอุ่นมันนิดหน่อยก่อนทาน แต่เกรซเป็นคนซุ่มซ่าม
ซุปในหม้อยังคงเดือดปุดๆขณะที่เกรซพยายามจะลดไฟ
คริชที่กำลังจะตัดพายเหลือบมองเกรซอย่างกังวลใจ ก่อนจะตัดสินใจวางมีดลง และหยิบที่คีบถ่านขึ้นมา
“อะ เอ่อ…. ท่านแม่ เดี๋ยวตรงนี้คริชจัดการเอง ฝากตัดพายที”
“โอเค…”
สมาชิกอีกสามคนหัวเราะเกรซที่ตอบด้วยเสียงอ่อนแรง——
“…….?”
——— โจรป่า! โจรป่าบุกแล้ว!!
เสียงกรีดร้องดังขึ้นท่ามกลางความมืด
“….!”
คนแรกที่ตอบสนองคือกาเรน เขารีบคว่ำหม้อซุปเพื่อดับไฟที่กำลังส่องสว่าง
ส่วนกอร์คาพุ่งตัวไปคว้าธนูและดาบสั้นที่วางพิงไว้ที่กำแพง
ทั้งคู่มีสีหน้าที่ตึงเครียด—-
“อะ เอ๋?…. ซุปของคริช…..”
ชี่…… มีเพียงเสียงกองไฟที่ดับมอด
คริชตัวแข็งค้าง เมื่อซุปที่เธอตั้งตารอถูกใช้เพื่อดับไฟต่อหน้าต่อตา
คริชจองมองสิ่งที่เคยเป็นซุปฟักทองด้วยความสิ้นหวัง ความสุขที่เธอรอคอยพังทลายไปในพริบตา
“เกรซ กาล่า พวกเธอหลบอยู่ที่นี่ เข้าใจมั้ย?”
กาเรนพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ราวกับไม่ยอมให้มีข้อคัดค้านใดๆ
“ฉันจะดูแลเกรซกับคริชเองค่ะ คุณกาเรน”
“คุณพ่อ….”
กาล่าตอบกาเรนพลางดึงตัวคริชที่ตอนนี้แน่นิ่งไปแล้วเข้ามากอด
ในขณะที่เกรซที่ตอบสนองช้ากว่า เอ่ยปากเรียกพ่อของเธอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เธอเองก็กอดคริชไว้แน่นเช่นกัน
“พ่อจะไปเอาอาวุธแล้วออกไปดูข้างนอกซักหน่อย กอร์คา ฝากดูแลพวกเธอด้วย”
“ครับ เข้าใจแล้ว….. ระวังตัวด้วย ผมไม่อยากเห็นเกรซกับคริชร้องไห้”
“รู้แล้วน่า ถึงฉันจะแก่แต่ก็ผ่านสนามรบมาแล้ว ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกนะ”
กาเรนเดินไปที่ประตูบานเลื่อนอย่างไร้ซุ่มเสียงและเปิดมันออกช้าๆ
หลังจากตรวจสอบพื้นที่รอบข้างแล้ว เขาก็แทรกตัวหายไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ
กอร์คาเองก็เข้าไปประจำตำแหน่งที่ประตูและคอยสังเกตการณ์ผ่านช่องที่แง้มเอาไว้
“ฟักทอง….ซุปของคริช หกหมดเลย…..”
“มะ ไม่เป็นไรนะคริช ยังเหลือฟักทองอีกตั้งครึ่งลูก พอพ่อค้าเร่แวะมาใหม่เดี๋ยวป้าจะพาไปซื้ออีกนะ ส่วนเตาอบคริชก็มาใช้ได้ตามสบายเลย”
กาล่าพูดอย่างรวดเร็ว พลางข่มน้ำเสียงให้ดูใจเย็นเพื่อปลอบคริช
ด้วยความที่คริชตั้งตารอมานาน มันจึงสร้างความสะเทือนใจอย่างรุนแรงจนเธอยังไม่สามารถตั้งสติได้
เมื่อเห็นคริชจ้องมองสิ่งที่เคยเป็นซุปของเธอไม่วางตา กาล่าเข้าใจว่าคริชน่าจะยังสับสนกับสถานการณ์ตอนนี้ จึงพยายามลูบหัวเพื่อปลอบเธอต่อไป
“อะ อื้ม อีกที… แค่ทำใหม่อีกที… ทำใหม่…”
แม้จะยังตกใจ แต่ในที่สุดคริชก็สามารถหลุดจากอาการช็อคมาได้ด้วยความรู้สึกดีที่โดนลูบหัว
“เกรซ ห้องเก็บของเต็มรึเปล่า?”
“เอ๋ อ้า… ก็พอมีที่อยู่บ้างนะ เอ่อ คริช?”
ฟักทอง ฟักทองของคริช——
ภาพของซุปที่สาดกระเซ็นฉายวนในหัวเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คริชพยายามละสายตาจากภาพบาดใจนั้นแล้วตั้งสติเพื่อตอบคำถามของกาล่า
“เอ่อ คือ…. ใช่ค่ะ แต่เหมือนจะไม่มีที่ว่างพอสำหรับทุกคน”
คริชตอบแทนเกรซที่ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจคำถามของกาล่า
“กอร์คา ถ้าเข้าตาจนจริงๆให้บอกว่าฉันเป็นเมียนาย เกรซกับคริชสวยเกินไป ถ้าโดนพวกนั้นจับไปล่ะก็ไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไงบ้าง”
“กาล่า พูดอะไร—-“
“ฟังนะ ฉันติดหนี้เธอกับคริชแบบที่ทั้งชีวิตนี้ก็คงใช้คืนไม่หมด ไม่เหมือนกับเธอ ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เข้าใจมั้ย?”
“……!”
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่กอร์คาจะพยักหน้า
“ขอบคุณนะกาล่า ต้องขอโทษด้วย….”
“ไม่เป็นไรกอร์คา… เกรซ พาคริชไปซ่อนที”
“….ตกลง”
กาล่าเร่งให้เกรซและคริชลงไปชั้นล่าง
ถ้าพวกเขาแสดงได้เก่งพอก็ถือเป็นแผนที่ไม่เลว
ระหว่างที่คิดอย่างเหม่อลอย คริชก็คว้ามีดทำครัวสองเล่มติดมือมาด้วย
เตรียมการไว้ดีกว่าต้องสู้มือเปล่า
“….หนูคริช เตรียมการไว้ก็ดีแต่อย่าคิดทำเรื่องบ้าๆเชียวนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามเปิดประตูจนกว่าเราจะเรียก มีดนั่นเก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายตกลงมั้ย?”
“…..ค่ะ คุณป้าเองก็ระวังตัวด้วย คริชยังอยากไปใช้เตาอบอยู่…..”
“ฮุฮุ ยังกล้าเล่นมุกในสถานการณ์แบบนี้อีกนะ แต่ได้ยินแบบนี้ป้าก็สบายใจแล้วล่ะ”
คริชหมายความตามนั้นจริงๆ แม้กาล่าจะขำเพราะคิดว่ามันเป็นมุกตลกก็ตาม
เธอดันทั้งสองคนเข้าไปในห้องเก็บของที่อยู่ใต้ตัวบ้านและปิดประตู ก่อนจะคลุมทับด้วยพรม
“คริช ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร….”
ระหว่างฟังเกรซพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ คริชก็เงี่ยหูฟัง เมื่ออยู่ใต้ดิน เธอได้ยินเสียงควบม้าอย่างชัดเจน
เสียงอยู่ไกลออกไป แต่คาดการณ์จากทิศทางแล้วน่าจะมาจากลานกว้างกลางหมู่บ้าน
เหมือนพวกเขาจะไม่ได้ไปทางป่า หรือมาที่บ้านหลังนี้
เมื่อเวลาผ่านไปซักพักกาเรนก็กลับมา
หลังจากปรึกษากันคร่าวๆพวกเขาก็ตัดสินใจว่ามันจะดีกว่า ถ้ากาเรนคอยซุ่มโจมตีอยู่ในป่าแทนที่จะรออยู่ที่บ้าน
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น กาเรนจึงออกไปอีกครั้ง
เกรซที่กลัวจนตัวสั่นเริ่มทำให้คริชรู้สึกรำคาญ คริชจึงพยายามปลอบเธอและบอกว่าเสียงม้านั้นอยู่ห่างออกไป
คริชได้แต่เฝ้ารอเวลา
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สองชั่วโมงผ่านไป ที่คริชต้องอดทนกับความหิว
ฟักทองที่คริชควรจะได้กินไม่อยู่แล้ว
ใช้ดับไฟไปหมดแล้ว
ฟักทองของคริชไปทำกรรมอะไรไว้กันนะ?
จนกระทั้งถึงจุดจุดหนึ่งที่ความง่วงเอาชนะความหิว
คริชที่พยายามกลั้นหาวซุกตัวเข้าไปที่หน้าอกของเกรซพลางกัดริมฝีปากแน่น
อาจเป็นเพราะทัศนวิสัยที่คับแคบและอ้อมกอดของเกรซ
ทำให้เธอรู้สึกอุ่นสบายอย่างมาก
เป็นที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการนอนหลับ แม้สถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม
หลังจากต่อสู้ทางความคิดกับฟักทองและความง่วงมาหลายชั่วโมง
ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว! ——หลังจากได้ยินเสียงตะโกนนั้นซักพัก
ก็มีชาวบ้านวิ่งมาแจ้งข่าวว่าโจรป่าล่าถอยไปแล้ว
กาล่ายกของที่วางทับประตูไว้ออก
แล้วดึงคริชกับเกรซขึ้นมากอดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก
ในที่สุด คริชก็ยอมแพ้ให้กับความง่วง เธอละทิ้งความหิวที่มีและจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา
TL Note: RIP น้อนฟักทอง ;w;
ขออภัยที่ลงช้า แต่ตอนนี้ยาวจุใจแน่นอนครับ5555