ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 23 วามไร้เดียงสาที่เปื้อนเลือด
- Home
- All Mangas
- ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป
- ตอนที่ 23 วามไร้เดียงสาที่เปื้อนเลือด
บทที่ 23 ความไร้เดียงสาที่เปื้อนเลือด
หลังจากที่ยึดศูนย์บัญชาการของศัตรูมาได้ พวกเธอก็เข้าร่วมกับกองพลที่สี่ได้สำเร็จ
เดิมทีการติดต่อสื่อสารกันบนภูเขายากพอแล้ว ยิ่งเมื่อศัตรูสูญเสียแกนกลางที่เรียกว่าศูนย์บัญชาการไป
ทหารในแนวป้องกันของจักรวรรดิก็เหมือนโดนตัดหางปล่อยวัดและต้องเผชิญหน้ากับกองพลของราชอาณาจักรทั้งกองเพียงลำพัง
มันง่ายมากที่จะไล่จัดการพวกเขาทีละคนเป็น และเมื่อมีกองกำลัง 500 นายของคริชที่ช่วยโจมตีแนวหลังให้อีก
แนวหน้าของศัตรูจึงพังทลายลงในพริบตาเมื่อถูกโอบตีทั้งสองด้าน การเข้ารวมพลกับกองพลที่สี่จึงดำเนินไปอย่างราบรื่น และตอนนี้พวกเธอกำลังหารือกับผู้บัญชาการกองพลที่สี่ที่มีใบหน้าเหมือนหัวกะโหลกเรื่องแผนการต่อไป
เพราะกองกำลังหลักของกองพลที่สี่มีขนาดใหญ่ พวกเขาจึงตัดสินใจให้หน่วยของเซเลเน่ที่เป็นทหารชำนาญการด้านการเดินป่าล่วงหน้าไปก่อนและกรุยทางผ่านป่าให้
“มูวว……”
คริชมุ่ยหน้าพลางสะบัดชายผ้าคลุมไปมา
ผ้าคลุมของเธอชุ่มเลือดจนหนักอึ้งเพราะเธอใช้มันบังเลือดที่เธอหลบไม่ทัน
ถึงผ้าคลุมจะทำมาจากวัสดุกันน้ำพิเศษ แต่เมื่อมันอาบเลือดในปริมาณที่มากพอจะย้อมผ้าทั้งผืนเป็นสีแดง น้ำหนักบนบ่าของเธอจึงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มีเลือดบางส่วนกระเด็นมาโดนชุดเดรสนุ่มฟูตัวโปรดของเธอด้วย นั่นยิ่งทำให้คริชหัวเสียเข้าไปใหญ่ ถึงจะได้พักบ้างในระหว่างที่รอกองพลที่สี่เตรียมพร้อม แต่ความเหนื่อยล้าจากการวิ่งวนไปทั่วก็ยังไม่หายไปและข้อต่อของเธอก็ยังปวดอยู่นิดหน่อย
มัวมาทำอะไรอยู่ที่นี่เนี่ย ถึงคริชจะบ่นกับตัวเอง แต่เธอก็เป็นคนอาสามาที่นี่
ถ้าเธอไม่ทำ ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าเซเลเน่จะรอดชีวิตกลับมาและคริชคงจะแย่ถ้าเซเลเน่ตาย
เพราะว่าเซเลเน่ใจดี
สำหรับคริช เหตุผลแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยเธอ
ตอนอยู่ที่หมู่บ้านก็มีพ่อแม่ คุณตา และกาล่า ตอนอยู่ในเมืองก็มีเซเลเน่ กับเบรี่
ทั้งหมู่บ้าน เมือง และกองทัพ —— คริชได้พบเจอผู้คนที่หลากหลายในสังคมที่แตกต่าง และก็ได้รู้ว่าคนแบบเซเลเน่มีคุณค่าแค่ไหน
คริชรู้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบเธอ
ต่อให้คริชทำในสิ่งที่เธอเชื่อว่าเหมาะสมและเป็น ‘เรื่องที่ดี’ แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เป็นตามที่เธอคาดหวัง
ซ้ำร้าย เธอมักจะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงกว่าเดิม นั่นทำให้คริชสับสน
แต่ว่าคนแบบเซเลเน่ก็ทำให้คริชสับสนเหมือนกัน
พวกเธอใจดีกับคริช ไม่ใช่เพราะคริชมีประโยชน์ แต่พวกเขาแค่เป็นแบบนั้น
ถึงการถูกโอ๋มากๆจะชวนให้ประหม่า แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกดีและผ่อนคลาย
‘…ความรู้สึกที่อยากจะทำอะไรให้ใครซักคน เพื่อให้คนคนนั้นมีความสุข นั่นแหละคือความรัก ซึ่งท่านคริชก็มีมันเหมือนกัน’
ความสัมพันธ์แปลกๆที่ผลได้กับผลเสียไม่สมดุลกัน เกิดจากความรักงั้นเหรอ?
แต่ว่าอะไรทำให้พวกเขารักคริชล่ะ?
คริชยังไม่เข้าใจ
‘……แต่อย่างน้อยฉันอยากจะเข้าใจท่านคริชให้มากกว่านี้
ถ้าเข้าใจจะซึ่งกันและกันแล้ว จะมีทั้งความสุขและความสนุกอีกมากมายที่รออยู่…
ทั้งสำหรับฉัน และสำหรับท่านคริชด้วย’
เกรซก็เป็นแบบนั้น
เบรี่กับเซเลเน่ก็ด้วย
คริชพยายามทำความเข้าใจคนอื่นๆอยู่เสมอ
อะไรที่ชอบ อะไรที่เกลียด
อะไรคือดี อะไรคือแย่
คริชพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่คนอื่นต้องการ
แต่แทบไม่มีใครพยายามที่จะเข้าใจเธอเลย
‘…ซักวันนึง ฉันจะทำให้คริชไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก แล้วคริชจะได้ทำอาหารอยู่กับเบรี่ที่บ้านตลอดเวลาเลย’
คำพูดของเซเลเน่ดังสะท้อนขึ้นมาในหัว
คริชรู้ตัวดีว่าตัวเธอเองไม่ได้สมบูรณ์แบบ
ทั้งทำตัวเป็นเด็ก ทั้งตะกละ คริชรู้ว่าสิ่งที่เกรซพูดเป็นความจริง
ตรงข้ามกับตัวตนในอุดมคติของตัวเอง คริชอาจจะเห็นแก่ตัวและตะกละนิดหน่อย —— เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบที่ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้
มันเป็นเรื่องน่าอายที่แม้จะแก้ไขได้ยากแต่เธอก็ควรปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นบ้าง
แต่ทั้งเกรซ เบรี่ และเซเลเน่ต่างก็ใจอ่อนกับคริช
พวกเธอคอยตามใจคริชแล้วบอกให้เธอเป็นตัวของตัวเอง
ถึงคริชจะรู้ว่าเธอควรจะต่อต้าน
แต่สุดท้ายคริชมักจะยอมแพ้และเพลิดเพลินไปกับความสุข
แน่นอนว่าถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากจะทำอาหารอย่างเดียว นอกจากนั้นเธอยังชอบให้ลูบหัวและชอบนอนกอดใครซักคน
แต่เพราะเธอรู้ว่านั่นคือความไม่สมบูรณ์แบบของเธอ เธอจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เป็นต้องฝ่ายรับอยู่ข้างเดียว แต่ว่า ——
‘ไม่ว่าเราจะไขว่คว้าหาความสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่ทุกคนย่อมมีข้อบกพร่อง
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องยอมรับและเติมเต็มความปรารถนาของกันและกัน ด้วยวิธีนี้ เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แสนวิเศษและได้พบกับความสุขค่ะ’
—— พวกเขาไม่ได้อยากให้คริชสมบูรณ์แบบ
พวกเขาคอยเติมเต็มความต้องการอันน่าละอาย —— ความปรารถนาของคริช
พวกเขาเข้าใจในความเป็นเด็กของคริช ยอมรับมัน และมอบสิ่งต่างๆให้เธออยู่ร่ำไป
‘เมื่อลูกพยายามที่จะเข้าใจใครซักคน และคนคนนั้นก็พยายามที่จะเข้าใจลูก
เมื่อนั้นทั้งสองคนก็จะสามารถมอบความสบายใจให้แก่กันได้
นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าความสุข
นี่คริช ในบางครั้งแค่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้ว ความสุขมันเป็นแบบนั้น’
คริชนึกถึงคำพูดของเกรซขึ้นมา
คริชเหม่อลอยพลางคิดถึงเรื่องในอดีต ก่อนจะหันมองไปข้างๆ—— มองไปยังเซเลเน่ที่กำลังก้าวเท้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“เซเลเน่”
“…มีอะไร?”
“เซเลเน่มีความสุขที่ได้อยู่กับคริชรึเปล่า?”
“จะ-จู่ๆถามอะไรออกมาเนี่ย…”
คริชเอียงคอพลางมองไปที่เซเลเน่ เซเลเน่เองก็จ้องคริชกลับด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ
ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกเหรอ? คริชหันหน้ากลับไปตามเดิม
เซเลเน่นิ่งเงียบไปซักพัก จนกระทั่ง
“ก็มีความสุขน่ะสิ ถามได้… ทำไมจู่ๆฉันต้องมาพูดอะไรน่าอายแบบนี้ด้วยเนี่ย เรากำลังอยู่ในภารกิจนะ”
เซเลเน่ตอบกลับโดยไม่มองไปทางคริช ใบหน้าของเธอแดงก่ำ
ดวงตาของคริชเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา
นี่เหมือนเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ คริชอยากเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เบรี่ฟังและนั่นยิ่งทำให้เธออยากรีบกลับบ้านขึ้นไปอีก
ทันทีที่พวกเธอก้าวออกจากป่า สิ่งแรกที่เห็นคือการต่อสู้อันดุเดือดที่ริมฝั่งแม่น้ำ
ลูกธนูปลิวว่อน ทหารราบเกราะหนักของศัตรูกำลังยืนเผชิญหน้าและหันโล่ใหญ่ไปทางแม่น้ำ
ถัดเข้ามาทางฝั่งนี้ไม่ไกล—— พลธนูเกราะเบาของศัตรูก็กำลังตั้งขบวนรบอยู่
“เซเลเน่ เดี๋ยวคริชจะล่วงหน้าไปก่อนนะ”
“! คริช!”
คริชเป็นคนแรกที่บุกเข้าไป
ด้วยความกระตือรือร้นแปลกๆ คริชพุ่งตัวเข้าหากองพลธนูทันที
คอ รักแร้ ต้นขา ลำตัว เธอเลือกฟันเฉพาะส่วนที่อ่อนนุ่มเท่านั้น
น่าแปลกที่ตอนนี้เธอไม่สนใจเลือดที่ชโลมลงมาเท่าไหร่แล้ว
เธอฝ่าแนวป้องกันเข้าไป ผลิตศพจำนวนมากขึ้นมา และทำให้เลือดโปรยปรายเหมือนสายฝน
“……! ตามเสนาธิการไป!”
เสียงตะโกนของเซเลเน่ดังไล่หลังมา
พร้อมกับเสียงตะโกนปลุกใจจากทหารทั้งห้าร้อยนายดังกึกก้องในขณะที่พวกเขาเข้าจู่โจม
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ในที่สุดแนวหน้าของศัตรูที่กำลังสับสนก็ได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้น เสียงแตรก็ดังกังวานไปทั่วสนามรบ
มันเป็นสัญญาณเข้าตีของกองพลที่หนึ่งที่เฝ้ารอมานาน
ในบรรดากองพลที่หนึ่งอันเกรียงไกรและเลื่องชื่อของกองทัพคริสแตนด์—— กองพันที่หนึ่งที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้นำทัพมุ่งสู่แม่น้ำพลางโบกธงรูปนกเหยี่ยวและสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน
และในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กองพลที่สี่ก็ปรากฏตัวขึ้นตามหลังหน่วยจู่โจมพิเศษของเซเลเน่
พวกเขาพึ่งออกจากป่ามาหมาดๆและยังอยู่ในกระบวนทัพเคลื่อนพล แต่สำหรับศัตรูที่ถูกลอบตีโดยไม่ทันตั้งตัวแล้ว มันดูน่ากลัวยิ่งกว่ากระบวนทัพเข้าตีพื้นฐานเสียอีก
ภาพศัตรูที่เคลื่อนทัพเข้ามาแบบไม่มีที่สิ้นสุดไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายสำหรับทหารจักรวรรดิที่กำลังคุ้มกันแม่น้ำอยู่
คำสั่งที่ได้รับคือสังหารศัตรูให้เหี้ยนและเข้ายึดครองตลิ่งให้ได้
กองพลที่สี่—— มีความโดดเด่นกว่ากองทหารอื่นๆของราชอาณาจักรในด้านการจัดกระบวนทัพระหว่างเข้าตีและสามารถปรับเปลี่ยนแนวรบระหว่างการต่อสู้ได้
การจู่โจมอย่างพร้อมเพรียงนี้คือนรกสำหรับเหล่าทหารจักรวรรดิ
“—— เวลาที่พวกเรารอคอยมาถึงแล้ว บุก!!”
กองพันที่หนึ่งแห่งกองพลที่หนึ่งอันเกรียงไกรบุกเข้าตีจากทางด้านหน้าตามเสียงตะโกนของ กรันเมลด์ วาคัส ผู้บัญชาการของพวกเขา
กองทหารพันนายที่ประกอบไปด้วยทหารมืออาชีพและเป็นดั่งกองกำลังส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่ง โนซัน เวลไรฮ์ กองพันที่ไร้เทียมทานนี้ถูกขนานนามว่า ‘ฝูงหมาป่า’ จากความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว
พวกเขาที่ถูกเก็บเป็นไพ่ตายมาจนถึงตอนนี้ส่งเสียงกู่ร้องสรรเสริญชัยชนะแห่งราชอาณาจักรจนผืนดินสั่นสะเทือน
หอกที่ขว้างอย่างพร้อมเพรียงทะลวงผ่านโล่และเจาะทะลุร่างของทหารจักรวรรดิ จากนั้นพวกเขาแต่ละคนจึงคว้าอาวุธประจำกายและพุ่งเข้าใส่แนวรบที่ระเนระนาด
เพราะกองพลธนูกำลังตกอยู่ในความโกลาหล ทำให้จักรวรรดิไม่สามารถขัดขวางศัตรูอันน่าหวาดกลัวที่กำลังข้ามแม่น้ำมาได้
นอกจากนี้ยังมีกองพลขนาดยักษ์ปรากฏตัวขึ้นมาที่แนวหลังอีก
ขวัญกำลังใจของพวกเขาพังทลายลงในทันทีและเริ่มวิ่งหนีด้วยความอลหม่าน
ในทางตรงกันข้าม ขวัญกำลังใจของกองทัพราชอาณาจักรที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกลับพุ่งสูงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น——
“สัตว์ประ—“
——การต่อต้านอย่างห้าวหาญนั้นเปล่าประโยชน์
คริชที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดแทรกผ่านช่องว่างของแนวป้องกัน และเด็ดหัวของ ‘เหล่าผู้นำ’ ที่พยายามควบคุมสถานการณ์อย่างแม่นยำ
การต่อสู้ระยะประชิดโดยไม่มีใครรู้ตัวคือสถานการณ์ที่คริชได้เปรียบที่สุด
ตราบใดที่เธอไม่ถูกล้อมและคู่ต่อสู้ไม่ได้จดจ่ออยู่กับเธอ คริชก็จะไม่มีทางตาย
มือซ้าย มือขวา หน้ามือ หลังมือ คริชผลัดมือที่ถือดาบไปมาในระหว่างที่เธอร่ายรำและปลิดชีวิตคนเป็นจำนวนมาก
การเคลื่อนไหวของเธอไม่มีการลังเลหรือหยุดชะงัก
เพราะการฆ่าศัตรูในสนามรบคือ ‘สิ่งที่ถูกต้อง’ และยิ่งคริชฆ่ามากเท่าไหร่ โอกาสที่เซเลเน่จะตกอยู่ในอันตรายก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ดาบของคริชที่แหวกผ่านอากาศนั้นไหลลื่นและเฉียบคม
เธอดึงดาบที่ปักอยู่กับพื้นขึ้นมาและเขวี้ยงใส่หน้าอกของศัตรูด้วยความแม่นยำอันน่าตกตะลึง จากนั้นก็หมุนตัวแล้วใช้รองเท้าบูทส์เสริมส้นกระแทกเข้าที่คอของคนพยายามโจมตีเธอจากด้านหลัง
สร้างความอลหม่านและหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เธอคว้าหอกของศัตรูและขว้างเข้าใส่ขบวนทัพของข้าศึกด้วยความแรงระดับเดียวกับป้อมปืนหน้าไม้
มันทะลวงผ่านร่างของทหารหลายคนก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษซากที่กระจายออกมาทำให้ขบวนทัพแตกกระเจิง
ไม่มีใครหยุดเธอได้
พวกเขาเป็นแค่ฝูงแกะที่ไร้สุนัขคอยต้อน ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ตัวเองยังไม่ตายและเฝ้ามองสัตว์ประหลาดสีเงินหายลับไปด้วยความหวาดกลัว
แม้ว่าทุกที่ที่เธอไปจะมีการสังหารหมู่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะไปหยุดเธอ
เพราะคนที่เคยดุด่า ปลุกใจ และคอยชี้นำพวกเขาต่างก็ตายกันไปหมดแล้ว
คริชสอดส่องหาบุคคลที่น่าจะเป็นอันตรายต่อเธออย่างแม่นยำและฆ่าพวกเขาซะ
เหมือนนางรำที่ชโลมด้วยเลือด
ยิ่งเธอเต้นมากเท่าไหร่ เซเลเน่ก็จะยิ่งปลอดภัยขึ้น
ดังนั้นคริชจะร่ายรำเพื่อเธอคนนั้นต่อไป
ด้วยสถานการณ์ที่เหนือสามัญสำนึกนี้—— ทั้งคริช ทั้งการล้อมตีจากทางด้านหน้าและหลังพร้อมๆกัน ทำให้กองทัพของศัตรูแตกพ่ายอย่างรวดเร็ว
—— จนกระทั่งมีเสียงตะโกนหนึ่งที่ทำให้ชัยชนะอันท่วมท้นของราชอาณาจักรต้องสั่นคลอน
“—— อย่าได้หวาดกลัว บุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย!”
ชายคนนั้นสวมชุดเกราะเก่าๆที่ดูทนทานพร้อมกับหมวกที่ประดับพู่สีแดง
เขากวัดแกว่งหอกเหล็กเล่มใหญ่โดยมีเหล่าอัศวินที่ดูน่าเกรงขามตามประกบ
เสียงที่แก่ชราและแหบพร่าถูกขยายให้ดังขึ้นด้วยมานาและกังวาลผ่านเสียงโหวกเหวกของสมรภูมิ
“มือขวาของพวกเจ้ามีดาบที่ใช้ปกป้องพวกพ้อง มือซ้ายของพวกเจ้าก็มีโล่ที่ใช้ปกป้องมิตรสหาย จงอย่าหวาดกลัวที่จะสิ้นใจ แต่จงหวาดกลัวที่จะเสียผู้ที่อยู่ข้างกายเจ้า! เมื่อนั้นแล้ว อ้อมกอดของพระเจ้าจะชี้นำเจ้าไปสู่สรวงสวรรค์!”
กองพลที่หนึ่งของราชอาณาจักรสามารถข้ามแม่น้ำจากทางทิศเหนือได้สำเร็จ ส่วนกองพลที่สี่ก็เข้าร่วมรบจากภูเขาทางตะวันออก แต่กองกำลังนี้มาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ —— มาจากศูนย์บัญชาการของจักรวรรดิ
ร่างของชายที่ถือหอกเล่มยักษ์และสวมเกราะเหล็กหนักอึ้งนั้นอัดแน่นไปด้วยมานา
เขาดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกทหารที่อยู่บนภูเขาเสียอีก
เหมือนกับโบแกน—— ไม่สิ เหมือนกับโคคิส
ผู้ติดตามหลายคนของเขาก็เป็นผู้ใช้มานาเช่นกัน และแม้จะเขาจะอายุมากแต่ก็ดูเปี่ยมด้วยประสบการณ์
—— ‘ท่านวัลเตอร์’ คริชได้ยินเสียงจากรอบๆตัวเธอ
คริชขมวดคิ้วเมื่อเธอสัมผัสได้ว่าขวัญกำลังใจที่แตกสลายของศัตรูในแนวหน้าค่อยๆฟื้นคืนหลับมา
ชายคนนี้คือ ‘ผู้นำ’ ที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด
แค่สิบสามคน แม้อัศวินที่ขี่ม้าตามมาจะมีไม่กี่คน
แต่ชายชราสวมหมวกประดับพู่ก็สามารถรวบรวมพลทหารรอบๆและสร้างแนวป้องกันขึ้นมาด้วยการสั่งการที่เฉียบขาด
ต้องรีบฆ่าเดี๋ยวนี้
คริชถีบตัวเข้าหาชายคนนั้น
คริชฟันทหารสองคนที่อยู่ตรงหน้าเพื่อเปิดทางเข้าไปกลางวงศัตรู
เพราะพวกเขาพึ่งจะเริ่มรวมกลุ่มกันไม่นาน เธอจึงฝ่าเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
คริชร่นระยะเข้าหาชายชราอย่างรวดเร็ว แต่ทว่า——
“ท่านวัลเตอร์——!!!…”
“…!”
—— เธอพลาดโอกาสที่จะสังหารเขา
มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายสำหรับคริช
ทหารที่อยู่รอบตัวชายชรายอมทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องเขาและรับการโจมตีของคริช
เธอผละตัวออกมาทันทีหลังจากที่ฟันทหารไปสองคนและหนีออกจากวงล้อม
“…ดูเหมือนว่าเธอคือสัตว์ประหลาดที่คนเขาพูดถึงกันสินะ”
ดวงตาที่เฉียบคมของชายชราหรี่แคบลง
เขาจ้องมองอัศวินที่สละชีวิตเพื่อปกป้องเขาและหลับตาลงครู่หนึ่ง
ก่อนจะหันหน้ากลับไปหาคริช
ในขณะเดียวกัน คริชกำลังขมวดคิ้วให้กับความล้มเหลวและวิเคราะห์หาสาเหตุของมันไปด้วย
ไม่ว่าใครต่างก็รักชีวิต
ที่พวกเขากวัดแกว่งหอกและดาบก็เพื่อปกป้องตัวเอง
มันเป็นเรื่องปกติที่จะปัดป้องการโจมตีที่มุ่งเป้ามาที่หัวใจและหลีกเลี่ยงคมดาบที่ฟาดฟันมาที่แขน
ไม่ว่าใครก็ตัองป้องกันตัวเองโดยสัญชาตญาณ และเคล็ดวิชาต่างๆก็ล้วนขัดเกลามาจากสิ่งนั้น—— คริชจึงใช้ประโยชน์จากปฏิกิริยานั้นเพื่อสร้างช่องโหว่ในการเข้าประชิดศัตรู
และนั่นทำให้เธอสามารถปลิดชีวิตคนได้อย่างง่ายดาย
แต่ทว่า คนพวกนี้ไม่กลัวตาย พวกเขาพร้อมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องชายชราคนนั้น
มันทำให้เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงในการคำนวณของคริชจนเธอต้องถอยกลับมาตั้งหลัก
ศัตรูแบบนี้คือสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับคริช
ด้วยจำนวนที่มากกว่า ถ้าพวกเขาบุกเข้ามาแบบไม่คิดชีวิตก็คงล็อกตัวเธอไว้ได้ไม่ยาก
เอายังไงดี?
การเล็งโจมตีที่รอยต่อของชุดเกราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก
ในสถานการณ์แบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะเล็งมันได้อย่างแม่นยำ—— แน่นอนว่าด้วยกำลังและทักษะที่มี เธอสามารถฟันทะลุชุดเกราะได้ตรงๆ แต่อาวุธของคริชคือดาบโค้งทรงนางินาตะ
มันจะเสียหายได้ถ้าใช้แบบสมบุกสมบันเกินไป
สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่สิ้นหวังพอที่เธอจะยอมสละดาบแสนแพงที่ราคาเท่าฟักทองหมื่นลูก
ต่อให้ฆ่าคนพวกนี้ไป งานของคริชก็ยังไม่จบ
เธอยังต้องใช้ดาบเล่มนี้ฆ่าคนไปอีกทั้งวัน
ตอนนี้รอบตัวชายชรามีทหารอยู่ 36 นาย และมีอัศวินขี่ม้าที่นับรวมเขาด้วยเป็น 12 นาย
แถมยังมีทหารอีกกว่าร้อยนายที่กำลังมารวมตัวกันที่นี่ แต่ถ้ารีบโจมตีตอนนี้ก็ยังเสี่ยงเกินไป
ในระหว่างที่คริชตัดสินใจว่าควรรอโอกาสอีกซักพัก ชายคนนั้นก็ตะโกนเรียกเธอ
“เจ้าดูเยาว์วัยนัก เอ่ยนามมาสิ”
“เอ่อ……?”
ทำไมคริชต้องแนะนำตัวในสถานการณ์แบบนี้ด้วยล่ะ?
แม้การสนทนาโดยไม่ทันตั้งตัวจะทำให้เธอสับสน แต่คริชนั้นรักษามารยาทอยู่เสมอ
ถึงตอนนี้เธอกำลังวางแผนการโจมตีครั้งถัดไปพลางเลือกว่าจะเด็ดหัวทหารคนไหนก่อน เธอก็ยังตอบกลับอย่างซื่อตรง
“……ดิฉัน คริช คริสแตนด์ ค่ะ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากเหล่าทหารรอบๆ
บนเสื้อคลุมของเธอที่โชกเลือดจนไม่เหลือสีเดิม—— ชายชราสังเกตเห็นตรารูปนกเหยี่ยวและสายฟ้าที่หน้าอกแล้วฉีกยิ้มออกมา
มีเพียงขุนนางและผู้ติดตามของพวกเขาเท่านั้นที่จะสามารถประดับตราเหล่านี้ได้
ถ้าผู้ที่ถือครองตรารูปนกเหยี่ยวและสายฟ้าประกาศตัวว่าเป็นคนของคริสแตนด์ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นสมาชิกในครอบครัวอย่างไม่ต้องสงสัย
บุตรีของนายพล—— เด็กสาวผู้กวัดแกว่งดาบในแนวหน้าโดยไร้ซึ่งคนคุ้มกัน
แม้ชายชราจะรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความชื่นชม
“หึหึ…… อย่างนี้นี่เอง ข้าชื่อ วัลเตอร์ เดล กริซลันดี เป็นผู้ช่วยของนายพลอเลฮา คลาวเซล่า ชวินเดล ซาร์เชนคา แห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลส์เรน ก่อนอื่น ข้าต้องขอชมเชยในความกล้าหาญของเจ้าที่หมายปลิดชีวิตข้าด้วยตัวคนเดียว”
“เอ่อ ค่ะ…”
คริชเริ่มสับสนหนักกว่าเดิม ตอนแรกเขาบอกให้คริชแนะนำตัว จากนั้นก็ตอบรับอย่างสุภาพ แถมยังชมเธออีก
ทั้งๆที่คริชกำลังจะฆ่าคุณลุงคนนี้ —— วัลเตอร์
แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังยิ้มอยู่
“ข้าได้ยินมาว่า… เจ้าคือคนที่สร้างป้อมปราการชั่วนั่นและวางกลยุทธ์การเข้าตีผ่านภูเขาที่แสนแยบยลนี้ พอได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือของเด็กผู้หญิงเช่นเจ้า หึหึ สนามรบช่างเป็นที่ที่ไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ…”
ในกองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็มีสปายแฝงตัวอยู่
ทั้งราชอาณาจักรและจักรวรรดิต่างก็ใช้ภาษาฝั่งตะวันตกร่วมกันและมีชาติพันธุ์เดียวกัน
จักรวรรดิได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่สร้างป้อมปราการนั้นขึ้นมา
คริช คริสแตนด์ —— แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะเป็นสาวน้อยเช่นนี้
ถึงจะประหลาดใจ แต่เขารู้ดีว่าตัวตนที่เรียกว่าอัจฉริยะคืออะไร
“แต่ว่า ข้าคงปล่อยให้เจ้าทำตามอำเถอใจต่อไปไม่ได้… บุตรีแห่งคริสแตนด์ ถ้ายังรักชีวิตก็จงหันหลังกลับไปเสีย ที่นี่คือที่มั่นสุดท้ายของเรา และข้าก็ไม่คิดจะมอบหัวให้เจ้าง่ายๆหรอกนะ”
“อืมม… ถ้าแบบนั้นคงแย่หน่อยนะคะ เพราะตอนนี้หน้าที่ของคริชคือการฆ่าคนแบบคุณลุงนี่นา”
ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่อาบด้วยโลหิต
ทั้งผมสีเงินและแก้มขาวนวลของเธอต่างก็เปื้อนเลือดเกรอะกรัง ของเหลวสีแดงไหลหยดลงมาตามชายผ้าคลุม
—— ต้องฆ่าไปเท่าไหร่ถึงได้อยู่ในสภาพแบบนั้นกันนะ?
และหลังการชโลมเลือดนั้น กระทั่งตอนนี้คริชก็ยังไร้ซึ่งความกลัว เธอยิ้มออกมาเหมือนกับเด็กสาวน่ารักน่าชังคนหนึ่ง
เหล่าทหารที่ตั้งแนวป้องกันไม่มีใครละสายตาไปจากเธอ ความกลัวที่พวกเขาพยายามจะใช้แรงฮึดกลบเอาไว้กำลังผุดกลับขึ้นมา
เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดอย่างไม่ต้องสงสัย
“…เช่นนั้นเรอะ ถ้างั้น… ยกโทษให้ข้าด้วย แต่ข้าคงต้องจบชีวิตเจ้าที่นี่”
“…หืม? เอ่อ คริชบอกว่าคริชจะเป็นฝ่ายฆ่าต่างหาก… แล้วตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้วด้วย”
ทันทีที่เธอพูดจบก็มีกองกำลังบุกเข้ามาจากทางฝั่งซ้ายของคริช
“คริช!”
เซเลเน่นั่นเอง
พร้อมด้วยกองกำลังเกือบร้อยนายที่ติดตามเธอมา
เซเลเน่คอยจับตาดูคริชอยู่เสมอ แต่เธอก็ไม่ลืมบทบาทของตัวเอง
เธอออกคำสั่งกับกองทัพแนวหน้าจนเสร็จ แล้วจึงพาทหารทุกคนที่ยังสู้ไหวไล่ตามคริชไป
ถึงจะล่าช้าไปบ้าง แต่เธอก็สามารถพาทหารพร้อมรบฝีมือดีเกือบร้อยนายมาได้
แค่นี้ก็เพียงพอที่จะกำราบกองพลของวัลเตอร์ที่ยังจัดกระบวนทัพได้ไม่เสร็จดี
แต่ทว่าสำหรับวัลเตอร์ที่อยู่บนหลังม้า เขามาที่นี่เพื่อปลุกระดมพล จะให้ถอยทัพเอาตอนนี้ก็คงไม่ได้
ขืนเป็นแบบนั้น ขวัญกำลังใจที่อุตส่าห์ฟื้นคืนกลับมาก็คงพังทลายแบบไม่เหลือชิ้นดี
เพราะต้องเดินทัพผ่านภูเขา ทหารที่เซเลเน่พามาได้จึงมีแต่ทหารราบ แต่ในสถานการณ์แบบนี้พวกเขาก็ถือเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่ง
สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อสักครู่ถูกทำลายลงด้วยกำลังเสริมของเซเลเน่ ทำให้คริชสามารถเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
—— และการต่อสู้ระยะประชิดก็เริ่มต้นขึ้น
จุดเด่นของทหารม้าคือการเคลื่อนที่ที่รวดเร็ว
แต่มันไร้ประโยชน์ในการต่อสู้ระยะประชิด ซ้ำร้ายจุดอ่อนของพวกเขาที่ขาดความยืดหยุ่นในการตั้งรับกลับถูกเผยออกมาอย่างเต็มที่
แน่นอนว่ามันมีกลยุทธ์ที่ใช้รับมือกับสถานการณ์แบบนี้ แต่กองกำลังของเซเลเน่เองก็มีฝีมือ
เยอะเกินไป
แม้ว่าพวกอัศวินผู้เป็นขุนนางที่แข็งแกร่งจะสามารถฆ่าทหารสิบยี่สิบคนด้วยหอกและดาบอย่างห้าวหาญ
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคริชที่เริงระบำราวกับสายลมและทหารมากฝีมือภายใต้บังคับบัญชาของเซเลเน่ พวกเขาก็ค่อยๆสิ้นลมไปทีละคน —— และท้ายที่สุด ก็เหลือแค่วัลเตอร์ที่ยืนหยัดอยู่เพียงลำพัง
ทักษะของชายชรานั้นก้าวข้ามขีดจำกัดของอายุ เขาเหมือนกับพายุหมุนที่พัดผ่านสมรภูมิ
หอกเหล็กขนาดยักษ์ถูกเหวี่ยงอย่างง่ายดายจากบนหลังม้า ไม่เพียงประมือกับทหารหลายสิบคนที่บุกเข้ามาพร้อมๆกันเท่านั้น แต่หอกนั้นยังแทงทะลุเกราะของพวกเขาได้อีกด้วย—— เป็นตัวตนที่แสดงถึงความเป็นนักรบอย่างแท้จริง
เซเลเน่ได้เห็นการต่อสู้ของเขาและรับรู้ถึงความแตกต่างอันเหนือชั้น
แต่เธอก็ยังก้าวต่อไป
เป้าหมายของเธอไม่ใช่การฆ่า
เธอไม่ได้ต้องการเกียรติยศ หรือถูกสรรเสริญให้เป็นผู้กล้า
เธอแค่ก้าวต่อไปเพื่อทำในสิ่งที่เธอควรทำ
ข้อแตกต่างระหว่างเซเลเน่กับชายคนนั้นคือเธอไม่ได้ตัวคนเดียว
เซเลเน่มีดาบอันแข็งแกร่งที่ชื่อคริชอยู่เคียงข้าง
การโจมตีของเซเลเน่และวัลเตอร์ปะทะกัน
ร่างของเธอถอยไปข้างหลังด้วยแรงกระแทก แต่นั่นก็ทำให้วัลเตอร์เผยช่องโหว่ออกมาเช่นกัน
—— ซึ่งแน่นอนว่าคริชไม่ปล่อยให้มันสูญเปล่า
ร่างของเธอปรากฏขึ้นจากด้านข้างและสะบั้นแขนซ้ายของวัลเตอร์จนขาดกระเด็นก่อนจะถีบเขาลงจากหลังม้า
ทันทีที่ร่างของเขาตกถึงพื้น เท้าของคริชก็กระทืบลงที่แขนขวา ทำให้เขาร้องครวญด้วยความเจ็บปวด
“อั่กก…”
แต่ดาบของคริชที่จ่ออยู่ที่คอยังคงหยุดนิ่ง เธอไม่แน่ใจว่าต้องทำยังไงต่อ
ชายคนนี้ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้แล้ว ตามสนธิสัญญาศักดิ์สิทธิ์เธอควรจะจับเขาในฐานะเชลย
ศัตรูแถวนี้ถูกจัดการไปหมดแล้ว ตัววัลเตอร์เองก็สู้ต่อไม่ได้
แถมเขายังเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ดูๆแล้วน่าจะเป็นขุนนางด้วย
คริชเอามือแตะคางและเอียงคอพลางไล่เรียงรายละเอียดของการจัดการกับเชลยในหัว
เกณฑ์ในจับตัวเชลยค่อนข้างคลุมเครือ ในสนามรบ ถึงศัตรูจะยอมแพ้หรือไม่สามารถสู้ต่อได้ก็ไม่จำเป็นต้องจับเป็นเชลยเสมอไป จะฆ่าทิ้งตรงนั้นเลยก็ไม่มีปัญหา
กฎที่ว่ามีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสังหารหมู่และการทำตัวเป็นศาลเตี้ยหลังจบศึกสงครามเท่านั้น
แต่ในสนธิสัญญาศักดิ์สิทธิ์ได้ระบุไว้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ‘สถานการณ์ที่ฝ่ายข้าศึกไม่สามารถขัดขืนได้แล้วหรือยอมจำนน’ พูดง่ายๆก็คือสู้ต่อไม่ไหวหรือยอมแพ้ พวกเขาควรจะถูกพาตัวกลับไปในฐานะเชลย
ถ้ายึดตามที่กล่าวมา คริชไม่ควรจะฆ่าชายคนนี้
จริงๆคริชอยากจะฆ่าเขาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวมากกว่า แต่การต่อสู้รอบๆก็สงบลงแล้ว—— นั่นหมายความว่าสายตาของทุกคนกำลังจับจ้องมาที่คริช
คริชตั้งใจจะแอบฆ่าตอนที่ไม่มีใครเห็น แต่ในเมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย เธอก็ต้องทำตามกฎ
ในระหว่างที่คริชคิดจะปล่อยให้เขาเสียเลือดจนตายไปเอง เซเลเน่ก็ส่งเสียงเรียก
“…คริช คนคนนี้ไม่ใช่ทหารธรรมดา ถ้าเป็นไปได้ช่วยจับเขาไปเป็นเชลยที”
“มูวว… ค่ะ”
คริชเฉือนเอาผ้าจากศพที่อยู่ใกล้ๆมารัดรอบแขนของวัลเตอร์ คริชมีความรู้ด้านการปฐมพยาบาลเพียงพอสำหรับการห้ามเลือดแบบพื้นฐาน
“อึก…… ฆ่า ข้าเถอะ…”
“ตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้คุณกริซลันดีไม่สามารถสู้ต่อได้แล้ว สงครามของคุณกับราชอาณาจักรจบลงแล้ว หลังจากถูกพาไปที่แนวหลังในฐานะเชลย คุณจะถูกส่งตัวกลับเมื่อการเจรจาแลกเปลี่ยนเชลยเสร็จสิ้น คุณโชคดีมากเลยนะคะ”
คริชอธิบายด้วยข้อความที่เหมือนลอกออกมาจากตำราด้วยรอยยิ้ม
วัลเตอร์จ้องมองคริชด้วยความตกตะลึง ก่อนจะก้มหน้าลง
“ข้าควรจะช่วยถ่วงเวลาให้นายน้อย แต่… สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์และตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชแบบนี้ แล้วเจ้าจะยังให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความอับอายงั้นเหรอ?”
“ถึงจะขอร้องคริชยังไง… แต่กฎก็ต้องเป็นกฎค่ะ ส่วนเรื่องนายน้อยคนนั้น… ค่อยไปขอโทษทีหลังไม่ได้เหรอคะ?”
ดวงตาของวัลเตอร์เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เขาก้มลงมองร่างกายที่สะบักสะบอมก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความสมเพชตัวเอง
“ข้าจะจำชื่อเจ้าไว้… คริช คริสแตนด์”
“……? ได้ค่ะ”
วัลเตอร์จ้องมองร่างอันงดงามของเด็กสาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
มันเปียกชุ่มจนหยดลงมาเป็นแอ่งเล็กๆที่เท้าของเธอ
“…เจ้าสู้ไปเพื่ออะไรกัน? ครอบครัวรึ? หรือว่าเกียรติยศ?”
คริชใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากพลางคิดหาคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง
“…อืมม เพราะคริชอยากรีบกลับบ้านไปทำอาหาร จัดปาร์ตี้น้ำชาด้วยกันกับเบรี่กับเซเลเน่ คริชก็เลยต้องสู้?”
“……ปาร์ตี้น้ำชา?”
วัลเตอร์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบ ซึ่งคริชก็พยักหน้า
เธอหันไปทางเซเลเน่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ค่ะ เราดื่มชาแล้วก็กินคุกกี้ มันสนุกมากเลย… คริชสัญญากับทั้งเบรี่และเซเลเน่ไว้แล้ว”
คริชพูดต่ออย่างมีความสุข
แค่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ไม่ว่าใครก็รู้ว่าเธอมีความสุขแค่ไหน
เมื่อได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสในสภาพที่ทั่วร่างเปรอะไปด้วยเลือด วัลเตอร์ก็พูดอะไรไม่ออกและได้แต่พยักหน้า
=========================================
TL note:
สวัสดีครับบ พอดีช่วงเรียนจบค่อยข้างวุ่นๆเลยไม่ได้แปลต่อ เผลอแปปเดียวก็ผ่านมาเกือบปีซะแล้ว
จริงๆบทนี้แปลเสร็จตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีเวลามานั่งเช็คคำผิดซักทีนี่สิ
เดี๋ยวจะลงบท 24 ต่อเป็นการไถ่โทษนะครับ55555