ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 22 มือสังหารหมู่ผู้น่ารัก
บทที่ 22 มือสังหารหมู่ผู้น่ารัก
ณ ศูนย์บัญชาการบนภูเขา—— ของกองทัพจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
ต้นไม้โดยรอบถูกโค่นและแทนที่ด้วยเต็นท์จำนวนมาก
รั้วป้องกันถูกสร้างล้อมรอบแคมป์โดยมีหอสังเกตการณ์แบบง่ายๆกระจายอยู่เป็นระยะ
แต่ทหารยามที่ประจำการอยู่กำลังหาวหวอด พวกเขาไม่ได้กระตือรือร้นมากนัก
ค่ายป้องกันนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง และพวกเขาก็อยู่ภายใต้แนวป้องกันที่แน่นหนา
ตราบใดที่ยังแนวป้องกันยังไม่โดนตีแตก ที่นี่ก็จะปลอดภัย แถมตอนนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีศัตรูบุกเข้ามาด้วยซ้ำ
อีกอย่างตอนนี้ทหารแนวหน้ากับกองพลที่สี่ของข้าศึกกำลังอยู่ในช่วงหยั่งเชิงกันอยู่ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะกระตือรือร้นน้อยลง
“เฮ้ย บาโด้ ตรงนั้นใครวะ?”
“หือ?”
พลส่งสารที่ประจำการอยู่ที่บนภูเขา ——บาโด้ กำลังหาอะไรกินรองท้องในตอนที่เขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่ง
เธอสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท ผมยาวสีเงินปลิวไสวไปตามลม
เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามรุ่งสาง มันดูราวกับว่าเธอหลุดออกมาจากเทพนิยาย แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ดูผิดที่ผิดทาง
——ที่นี่คือสนามรบ
และเป็นค่ายของพวกเขา
ไม่ใช่ที่ที่จะมีเด็กสาวที่ไหนมาเดินเล่น
บาโด้เอียงคอด้วยความสับสนพลางมองตามเด็กสาวปรากฎตัวขึ้นใกล้ๆกับพวกทหารยาม และในพริบตานั้น รอบๆตัวเธอก็มีบางอย่างสาดกระเซ็นไปทั่ว
เลือดพุ่งออกมาจากคอของทหารสองคนที่เดินเข้าไปหาเธอเหมือนกับน้ำตก
ภาพเด็กสาวที่กำลังยืนหันหลัง—— ถึงจากตรงนี้ก็มองเห็นได้ชัด
ตอนแรกบาโด้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเขาสังเกตเห็นดาบโค้งเปื้อนเลือดในมือของเธอ
“…!”
นอกจากนี้ผ้าคลุมที่เขาเคยคิดว่ามันเป็นสีดำ จริงๆแล้วเป็นเลือดที่ชุ่มโชกจนไหลหยดไปตามทาง
เสียงกระดิ่งแจ้งเตือนเการบุกโจมตีดังขึ้น ทำให้เหล่าทหารที่กำลังพักผ่อนพุ่งพรวดออกมาจากเต็นท์
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ในที่สุดบาโด้ก็รู้ตัวว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าคือศัตรู
ในเวลาเพียงครู่เดียว ดอกไม้โลหิตจำนวนมากก็สาดกระเซ็นขึ้นรอบๆตัวของเธอ
เด็กสาวที่ร่ายรำอยู่ต่อหน้าพวกเขา— หมุนตัวเป็นวงกลม บางทีช้าลง บางทีก็เร็วขึ้น แต่เธอก็ยังสะบั้นคอของเหล่าทหารได้อย่างแม่นยำ
จากระยะนี้ เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของเธอได้อย่างชัดเจน แต่พวกทหารที่อยู่ใกล้ๆคงมองตามเธอไม่ทัน
——เธอแทรกตัวผ่านจุดบอดของประสาทสัมผัสได้อย่างสมบูรณ์แบบ
บาโด้เองก็เชี่ยวชาญวิชาดาบพอสมควรและเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่เธอทำมันผิดธรรมชาติแค่ไหน
สาวน้อยโฉมงามคนเดียวสามารถรังสรรค์ดอกไม้เลือดนับสิบ แม้ว่าบาโด้จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ได้แต่ยืนตัวแข็งขยับไปไหนไม่ได้
“เฮ้ย! รีบวิ่งเร็วเข้า ฉันจะไปรายงานท่านรองนายพล! ส่วนแกไปรายงานผู้ช่วยที!”
บาโด้กลับมาได้สติเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนของเขาตะโกนเรียก
“! อะ อื้อ!”
บาโด้ลุกขึ้นยืนและหันกลับไปมอง
ในชั่วพริบตานั้นเอง เขาก็ได้สบตากับเธอ
นัยน์ตาสีม่วงเหมือนอัญมณี—— ถึงจะอยู่ไกลขนาดนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดมนุษย์ที่สะท้อนออกมาจนทำให้เสียวสันหลังวาบ
แต่ไม่นานเขาก็เห็นว่านัยน์ตาสีม่วงนั้นหันไปจับจ้องเคิร์ก เพื่อนของเขา
ด้วยความหวาดกลัวและภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ บาร์โดถีบตัววิ่งออก
เขาและเคิร์กมุ่งหน้าไปยังเต็นท์คนละหลัง และที่หางตาของเขา เขาเห็นว่าเด็กสาวกำลังย่นระยะเข้าหาเคิร์ก
รองนายพลดาคราชาร์ก้าวออกมาจากเต็นท์พร้อมกับชุดเกราะแต่สีหน้าของเขายังฉายแววสับสน
มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะทั้งที่พวกเขาอยู่ในแนวป้องกันที่ลึกมากๆ แต่กลับถูกโจมตีโดยที่ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
เด็กสาวไล่ตามเคิร์กทันอย่างง่ายดาย และสะบั้นหัวเขาในระหว่างที่วิ่งผ่านไป เธอพุ่งตัวไปข้างหน้า—— และโยนอะไรบางอย่างเข้าใส่รองนายพลดาคราชาร์
มีดนั่นเอง
แม้จะยังสับสน แต่ดาคราชาร์ก็เป็นคนที่แข็งแกร่งจนได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายพล เขาใช้ดาบปัดมีดที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่มากกว่าธนูได้อย่างช่ำชอง——
“อะ อั่กก…!?”
แต่ในชั่วพริบตาเดียว สัตว์ประหลาดสีเงินก็สะบั้นหัวเขาไปอีกคน
ในขณะเดียวกัน บาร์โด ก็ได้ยินเสียงตะโกนและกรีดร้องระลอกใหม่
มันดังมาจากเต็นท์ที่บาร์โดกำลังมุ่งหน้าไป
ที่ฝั่งตรงข้ามของทิศที่เด็กสาวปรากฏตัวออกมา—— ห่าธนูจำนวนนับไม่ถ้วนได้ซัดเข้าใส่พวกทหารที่ประจำการอยู่ที่นั่น
มีบางคนยกโล่ขึ้นกำบังทันด้วยความสับสน แต่พวกเขาก็ถูกกองทหารที่โบกธงปักตราของราชอาณาจักรเข้าโจมตี
หนึ่งร้อย สองร้อย—— บาร์โดบอกไม่ได้ว่าศัตรูมีเท่าไหร่
แต่พวกเขามีจำนวนมากพอที่จะสร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับค่ายและทุกคนที่นี่แน่นอน ในตอนนั้นเขาเหลือบไปเห็นเด็กสาวอีกคนหนึ่ง เธอคนนั้นมีผมสีบลอนด์สลวยและกำลังมุ่งหน้าไปทางผู้ช่วยรองนายพล
ดูจากสภาพแล้วเขาคงกำลังพักผ่อนและพึ่งคว้าดาบก่อนจะก้าวออกมาจากเต็นท์ เขายังไม่ได้สวมชุดเกราะด้วยซ้ำ
ถึงผู้ช่วยรองนายพลจะเป็นนักรบที่มีชื่อเสียง แต่การที่เขาต้องตื่นมาเจอกับการบุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบจนไม่มีเวลาใส่ชุดเกราะแบบนี้ ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างเขาเท่าไหร่นัก
พวกทหารที่พยายามจะเข้าไปช่วยก็ถูกศัตรูล้อมไว้จนไม่สามารถฝ่าไปได้
ที่นี่เป็นศูนย์บัญชาการ แน่นอนว่าทหารทุกคนที่นี่ล้วนเป็นมือดีมากประสบการณ์
แต่ทหารฝ่ายศัตรูเองก็ดูไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
เพราะว่าทหารส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปทางเด็กสาวผมเงิน ทำให้ที่นี่เหลือคนอยู่ไม่มาก หากทั้งสองฝ่ายมีทักษะพอๆกัน ฝ่ายจักรวรรดิก็คงพ่ายจากความแตกต่างด้านจำนวน
ไม่ว่ายังไงบาร์โดต้องพาตัวผู้ช่วยออกไปจากที่นี่ให้ได้
แต่ถึงจะคิดแบบนั้น เขาก็รู้ว่าเด็กสาวผมบลอนด์ตรงหน้า แม้จะไม่เท่าเด็กสาวผมเงิน แต่เธอก็มีทักษะดาบที่อันตรายผิดกับรูปลักษณ์หน้าตา
มันทั้งรวดเร็ว ไหลลื่น —— และต่อเนื่อง
แทงหลอกสามจังหวะในการโจมตีครั้งเดียว
ถ้าเป็นทหารธรรมดาคงถูกฆ่าตายในทันที เหตุผลเดียวที่การต่อสู้นี้ยังไม่จบก็เพราะว่าคู่ต่อสู้คือผู้ช่วยรองนายพล
แต่ว่าการโจมตีจากใบดาบที่เรียวบางและงดงามนั้นเฉียบคมและค่อยๆต้อนศัตรูให้จนมุม
ทันใดนั้น ก็มีสายลมพัดผ่านบาร์โดไป
—— สายลมสีเงิน
“อ๊ะ…”
และในตอนที่เขารู้ตัวว่าสิ่งๆนั้นคือเด็กสาวที่พึ่งจะสังหารหมู่พวกทหารไปหมาดๆ ผู้ช่วยก็ถูกตัดคอไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้ช่วยที่เก่งกาจคนนั้น ตายโดยไม่ทันสังเกตเห็นเด็กสาวผมเงินเลยด้วยซ้ำ
ร่างของเด็กสาวกระแทกเข้าใส่เต็นท์ด้วยแรงเฉื่อย แต่เธอก็ลุกขึ้นมาในทันทีและเริ่มสังหารทหารที่อยู่รอบๆต่อ
เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทุกแห่ง
ทั้งค่ายเต็มไปด้วยความโกลาหล
บาร์โดตื่นตระหนกจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นนอกจากหน้าที่ของเขาในฐานะพลส่งสารของที่นี่ —— พลส่งสารที่ได้รับมอบหมายให้รับส่งข่าวจากบนภูเขา แน่นอนว่าจะต้องเป็นทหารฝีมือดี
เขารีบกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าที่อยู่ใกล้ๆและมุ่งหน้ากลับไปที่กองบัญชาการหลัก
“อะ อึกก…!?”
ความรู้สึกเจ็บแปล๊บวิ่งผ่านแขนซ้าย
เมื่อเขาหันไปมองก็พบว่าที่แขนมีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่
ร่างสีเงินที่อยู่ไกลสุดสายตากำลังมองมาทางนี้
ปาโดนจากระยะขนาดนั้นได้ไงวะ—- บาร์โดที่ตระหนักได้ว่ามีดนี้ถูกเล็งมาที่เขา รีบควบม้าออกไปให้เร็วขึ้นพร้อมกับความหวาดกลัวที่เพิ่มพูน
ถึงข้างหน้าจะมีทหารของศัตรูล้อมอยู่เขาก็ไม่สน
ขอแค่หนีไปให้ไกลจากสัตว์ประหลาดนั่นก็พอ
บาร์โดกล้ำกลืนความเจ็บปวดและคว้าดาบปัดป้องคมดามของศัตรู ก่อนจะตัดคอทหารอีกคนที่เขาควบม้าผ่าน
ทักษะดาบที่ยอดเยี่ยมของบาร์โดและการตัดสินใจวิ่งฝ่าแนวรบของศัตรูทำให้เขารอดมาได้
ถ้าเขาเลือกหนีไปทางหน้าค่าย ก็จะเจอกับกองพลที่สี่ของศัตรูที่ดักซุ่มอยู่
ถ้าเขาเลือกหนีไปทางอื่น คริชคงไม่ปล่อยให้คนที่ดูก็รู้ว่าเป็นพลส่งสารหนีไปได้แน่ (ชุดพลส่งสารของจักรวรรดิจะมีตรารูปขนนกปักอยู่ที่อก)
บาร์โดเป็นคนเดียวที่ฝ่าแนวรบของข้าศึกออกมาได้และควบม้าผ่านแมกไม้อย่างคล่องแคล่ว
ถึงจะโดนธนูยิงบ้าง แต่เขาก็สามารถกลับมาถึงกองบัญชาการหลักและรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติไป
มีสัตว์ประหลาดผมเงินโผล่มา
รองนายพลกับผู้ช่วยของเขาตายแล้ว กองบัญชาการบนภูเขาถูกตีแตกแล้ว
และพลส่งสารอีกคนที่ได้รับรายงานอันน่าเหลือเชื่อนี้ก็รีบควบม้าไปหาอเลฮา
================================================
หน่วยของเซเลเน่อ้อมเข้าตีแนวหลังในขณะที่คริชช่วยดึงดูดความสนใจ
คริชแข็งแกร่งพอที่จะสร้างความโกลาหลขึ้นมาได้ด้วยตัวเธอเอง นั่นทำให้ยอดผู้เสียชีวิตถือว่าต่ำมาก
พวกเธอสามารถสั่งหารผู้บัญชาการทั้งสองและทำลายสายการบังคับบัญชาได้สำเร็จ ทหารของศัตรูที่กำลังตื่นตระหนกให้ความสำคัญกับการหนีเอาตัวรอดมากกว่าที่จะโต้กลับ
เมื่อทหารสูญเสียผู้บัญชาการ พวกเขาจะกลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดา
พวกทหารมักจะถูกปลูกฝังให้ไม่คิดหรือตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง
เพราะการทำอะไรตามอำเภอใจจะเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎระเบียบ และเมื่อพูดถึงการสั่งกองทัพเป็นร้อย เป็นพัน หรือบางครั้งก็เป็นหมื่น มันจะนำมาซึ่งข้อผิดพลาดที่ร้ายแรง
ซ้ายหัน ขวาหัน ยกโล่ ล่าถอย
แม้แต่คำสั่งง่ายๆเหล่านี้ก็กลายเป็นเรื่องยากเมื่อต้องสั่งการคนเป็นร้อยเป็นพันคน
คำสั่งที่มาจากเบื้องบนก็ไม่ต่างอะไรจากเกมกระซิบส่งสาร มันต้องใช้เวลากว่าคำสั่งจะถูกส่งต่อไปจนครบ ซึ่งถ้าพวกทหารทำตามใจชอบระหว่างรอคำสั่งและไม่ได้เป็นไปตามแผนที่ผู้บัญชาการวางไว้ ทุกอย่างก็จะผิดพลาดไปหมด
พลทหารจะต้องหลับหูหลับตาเชื่อฟังคำสั่งถึงขนาดที่สามารถเอาชนะความกลัวและเดินทัพฝ่าฝนลูกธนูได้
—— แม้จะต้องตายก็ตาม
และเพราะมีกฎระเบียบอยู่ ระบบ หรือก็คือกองทัพ จึงสามารถเดินหน้าต่อไปได้
คำสั่งจากเบื้องบนคือสิ่งที่ต้องทำตามโดยไร้เงื่อนไข
นั่นเป็นกฎเหล็กของพวกทหาร และเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการที่จะต้องดูแลและจัดการให้พวกเขาสามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้เมื่อถึงเวลาอันควร
แต่พวกทหารเองก็รักชีวิต
ถ้าการทำตามระเบียบไม่ได้ช่วยปกป้องชีวิตของตัวเอง —— หรือของคนอื่นๆ พวกเขาก็จะตายอย่างไร้ความหมาย
สำหรับพวกทหาร การสูญเสียผู้บังคับบัญชาและไร้ซึ่งคำสั่งการเป็นสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว
พวกเขาทุ่มเททุกอย่างในการทำตามคำสั่งที่ได้รับและใช้มันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่พะว้าพะวง
การสูญเสียคำสั่งก็เหมือนกับสูญเสียโอกาสรอดชีวิต และเมื่อเห็นความตายรออยู่ตรงหน้า พวกเขาก็พร้อมละทิ้งความเป็นทหารอย่างง่ายดาย
วินาทีที่พวกเขาเห็นไฟลุกโชติช่วงขึ้นมาจากเต็นท์ของรองนายพลและผู้ช่วยของเขา พวกเขาก็รู้ได้ว่าผู้บัญชาการของพวกเขาตายแล้วและไม่เหลือใครที่จะต้องปกป้องอีกต่อไป พวกเขาหลงลืมหน้าที่ในฐานะทหารและหันหลังหนี
ที่ผ่านมาพวกเขาต้องแบ่งเสบียงกันใช้ ถูกบังคับให้กินกระทั่งแมลง นั่นทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาจมดิ่ง ยิ่งเมื่อถูกบุกโจมตีกระทันหันและถูกบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ความหวังของพวกเขาพังทลาย
เริ่มจากพวกทหารที่อยู่หางแถว จากนั้นทหารทั้งกองก็กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
เซเลเน่มองภาพที่เกิดขึ้นและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะยื่นมือไปหยิกแก้มคริช
“งือออ……”
“ให้ตายสิ ฉันเกือบเผลอฟันโดนเธอแล้วนะ! จะทำอะไรก็บอกกันก่อนสิ ยัยงี่เง่า!”
“ควิช มั่ยอ้าย อี้เอ้า…”
เซเลเน่ปล่อยแก้มคริชและตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ
มันเป็นการลอบโจมตีที่สมบูรณ์แบบ
สายการบังคับบัญชาของศัตรูถูกทำลายโดยสิ้นเชิง
และมันคงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะกลับมารวมกลุ่มกันใหม่บนภูเขา
ส่วนกองพลที่สี่ก็คงเห็นสัญญาณควันและเริ่มบุกฝ่าแนวป้องกันของทัพจักรวรรดิกันแล้ว
“คริชแค่อยากช่วยเซเลเน่……”
“รู้แล้วน่า…… ขอบใจนะ”
เซเลเน่ไม่ได้ตั้งใจจะแข่งอะไรแต่แรกอยู่แล้ว
เธอไม่ได้โกรธที่คริชแย่งความดีความชอบไป
ที่คริชมาช่วยเพราะว่าเธอสัมผัสได้ว่าชายคนนั้นใช้มานา
เซเลเน่รู้ดีว่ามีอีกหลายคนบนโลกที่ใช้ดาบเก่งกว่าเธอ เธอไม่ได้แกว่งดาบเพียงเพื่อชื่อเสียง —— สถานะของเธอไม่อนุญาตให้เธอคิดอะไรตื้นๆแบบนั้น
เซเลเน่เติบโตพอที่จะเอาชนะพ่อของเธอ โบแกน ได้บ้างแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอเก่งกว่าโบแกน และโบแกนเองก็ไม่ใช่นักดาบที่เก่งที่สุดในโลก
โบแกนเคยบอกไว้ว่า ถ้ามีโอกาสแพ้ ก็จงเลี่ยงที่จะสู้
บางทีโอกาสเพียงเล็กน้อยนั้นอาจโคจรมาเจอกันก็ได้
ในฐานะผู้บัญชาการ ดาบของเธอมีไว้เพื่อป้องกันตัว
ผู้ที่ถือครองตำแหน่งอันแสนสำคัญนี้จะต้องไม่ตาย
ถึงในตอนนั้นเซเลเน่จะถือไพ่เหนือกว่าและอาจจะเอาชนะได้ แต่ก็ไม่มีอะไรมาการันตีในชัยชนะของเธอ
เซเลเน่ยังไม่ลืมบทบาทที่เธอมี
หน้าที่ของเธอในตอนนี้คือสั่งการกองกำลังและสร้างความสับสนในหมู่ศัตรู ไม่ใช่ลงไปแกว่งดาบสู้เสียเอง
และเธอก็รู้ว่าเพื่อการนั้น เธอต้องปล่อยให้คริชมือเปื้อนเลือด
“…จริงๆเลย”
เซเลเน่เอามือลูบหัวคริช เลือดเปียกๆเปื้อนติดถุงมือของเธอ
—— นี่เธอฆ่าไปกี่คนกันนะ?
ผมและแก้มของคริชเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
เธอน่าจะฟันโดนกระดูกด้วย บนดาบเล่มหนาของเธอเลยมีรอยบิ่นเล็กน้อย
ถึงในบางมุมคริชจะเป็นยอดมนุษย์ แต่เธอก็มีขีดจำกัด
คริชเกลียดความสกปรกและทะนุถนอมอุปกรณ์ของเธอเป็นอย่างดี รอยเปื้อนและรอยบิ่นเหล่านี้จึงแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังฝืนตัวเองแค่ไหน
ก่อนหน้านี้เธอก็ชนกับเต็นท์หลังจากที่จัดการคู่ต่อสู้ของเซเลเน่ แถมตอนนี้เธอยังหายใจหอบอยู่เลย ซึ่งมันเป็นภาพที่หาได้ยากเอามากๆ
คริชทุ่มเทและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเซเลเน่
เพราะแบบนั้น เซเลเน่จึงรู้สึกว่าเธอต้องทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองเพื่อคริชบ้าง
เซเลเน่สั่งการให้ทหารเฝ้าระวังศัตรูที่อาจหลงเหลืออยู่ พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดแก้มของคริชอย่างระมัดระวังราวกับเป็นอัญมณีล้ำค่า
“…ไว้ฉันจะทำความสะอาดให้ดีๆทีหลัง ตอนนี้อดทนไปก่อนนะ”
“…ค่ะ”
คริชยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เป็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา
รอยยิ้มแบบเดียวกับตอนอยู่ที่คฤหาสน์
เธอไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับชีวิตที่เธอพึ่งพรากไปเลยแม้แต่น้อย
ก็มันจำเป็นนี่นา
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่คริชคิด
ถึงจะเซเลเน่ดีใจที่เธอคือสิ่งจำเป็นสำหรับคริช แต่เธอก็ยังกังวลที่คริชมองทุกอย่างนอกเหนือจากนั้นเป็นสิ่งไร้ค่า
อย่างที่เบรี่บอกเลย เธอไม่ควรมาอยู่ที่นี่
ความบริสุทธิ์นี้จะยังขาวสะอาดหรือมัวหมองลงก็ขึ้นอยู่กับผู้คนรอบๆตัวเธอ
คริชก็แค่เป็นคริช
ต่อให้แปดเปื้อน คริชก็ยังเป็นคริช
แต่ถ้าเป็นไปได้ เซเลเน่อยากจะเห็นคริชที่ใสสะอาดมากกว่า
“พอจบเรื่องเมื่อไหร่ เรารีบกลับไปหาเบรี่กันดีกว่า ฉันเองก็เริ่มอยากกินคุกกี้ขึ้นมาแล้วสิ”
“…เซเลเน่อยากจัดปาร์ตี้น้ำชาเหรอ?”
“อื้ม กำลังนึกอยากพอดีน่ะ”
คริชคลี่ยิ้มบางๆด้วยแก้มที่ขึ้นสี เซเลเน่จูบเธอที่หว่างคิ้วและใช้มือลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยนเพื่อเช็ดเลือดที่ติดอยู่กับผม
นั่นคือทั้งหมดที่เซเลเน่พอจะทำได้
TL note: แอบมาอวดนิดนึงว่าฉบับรูปเล่มที่สั่งไปมาถึงแล้ววว รู้สึกเหมือนจะมีเวอร์ชั่น e-book ขายด้วย ใครสะดวกหรืออยากฝึกภาษาก็ไปอุดหนุนกันได้นะครับ