ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 21 องค์หญิงผู้งดงามทั้งสอง (+อัพเดตแผนที่จากผู้แต่ง)
- Home
- All Mangas
- ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป
- ตอนที่ 21 องค์หญิงผู้งดงามทั้งสอง (+อัพเดตแผนที่จากผู้แต่ง)
บทที่ 21 องค์หญิงผู้งดงามทั้งสอง
ภายในเต็นท์ที่มืดสลัว มีเพียงเสียงหายใจช้าๆของเด็กสาวผมเงินที่กำลังหลับไหล
“อืออ——”
เปลือกตาของเด็กสาวเปิดแง้มขึ้นเล็กน้อย เธอเอื้อมแขนออกไปอย่างงัวเงียเพื่อควานหาอะไรบางอย่าง
มือของเธอหยุดที่ผ้าห่มและพยายามคลำหาสิ่งที่อยู่ข้างใต้
แต่ว่าเธอนอนอยู่บนเตียงคนเดียว
ข้างนอกมีแต่เสียงเอะอะโวยวาย ทั้งเสียงพูดคุยและเสียงของทหารที่เดินไปมา
——อ๊ะ จริงด้วย ที่นี่คือสนามรบนี่นา
ถึงเธอจะยังสะลึมสะลือแต่เธอก็ไม่ได้ผ่อนคลายพอที่จะกลับไปนอนต่อได้
เธอจึงลุกขึ้นนั่งช้าๆและมองไปรอบๆ
เซเลเน่ไม่ได้อยู่ในเต็นท์ เธอคนนั้นคงตื่นไปก่อนแล้ว
คริชนั่งกอดผ้าห่มอยู่แบบนั้นซักพักพลางมองออกไปอย่างเหม่อลอย
เธอสัมผัสถุงผ้าใบเล็กๆที่ห้อยอยู่กับคอ มันเหลือลูกอมอยู่ข้างในแค่เม็ดเดียว
เธอใช้นิ้วกลิ้งลูกอมเล่นผ่านถุงผ้าพลางลุกขึ้นยืน
คริชล้างหน้าด้วยน้ำในเหยือก ใช้น้ำเย็นๆปลุกตัวเองให้ตื่น
ถึงอากาศข้างนอกจะไม่ได้หนาวขนาดนั้น แต่มันก็เย็นพอให้รู้สึกขนลุก
เธอคว้าผ้าคลุมของเธอมาห่มตัวเอง
จากนั้นจึงเดินไปหยิบขนมปังที่วางอยู่ข้างๆและจุ่มมันลงในซุปที่เย็นชืด
รสชาติไม่ถึงกับแย่ เธอฉีกมันออกเป็นชิ้นเล็กๆและกลืนมันลงท้อง
น่าแปลกที่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จะลิ้มรสชาติและรีบกินจนหมดอย่างรวดเร็ว
ชงชาซักหน่อยดีมั้ยนะ?
คริชอยากดื่มอะไรอุ่นๆ แต่ก็รู้สึกขี้เกียจเช่นกัน
งั้นไปที่เต็นท์ของนายท่านดีกว่า
แต่ว่าเท้าของเธอหนักอึ้ง
เธอจึงกลับไปนั่งมองความว่างเปล่าอยู่บนเตียงอีกครั้ง
สมองของเธออาจยังไม่ตื่นดี
เธอนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นพลางเล่นกับลูกอมที่อยู่ในถุงไปเรื่อยๆ
“…คริชอยากกลับบ้าน อยากกลับไปทำอาหารกับเบรี่”
คริชพึมพำกับตัวเอง
และในตอนนั้นเอง ใครบางคนก็ดึงประตูเต็นท์ให้เปิดออก
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ? นึกว่าเธอยังหลับอยู่ซะอีก”
ผมสีบลอนด์สลวยส่ายไปมาเหมือนกับหางม้า
เซเลเน่ยิ้มและเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้มือทั้งสองประกบลงที่แก้มของคริช
มือของเธอให้ความรู้สึกอบอุ่นในเต็นท์ที่หนาวเย็นนี้
“อรุณสวัสดิ์ พระอาทิตย์ขึ้นมาซักพักแล้วนะ”
“….อื้อ อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“กินอะไรรึยัง? ล้างหน้าแล้วเหรอ?”
“เอ่อ… ค่ะ”
คริชพยักหน้า
เซเลเน่ลูบหัวเธอและนั่งลงข้างๆบนเตียง
“เที่ยงนี้มีประชุม ฉันเลยมาปลุกน่ะ นี่เธอตื่นดีรึยังเนี่ย?”
“…เอเฮะเฮะ ค่ะ”
คริชดึงเซเลเน่เข้ามากอด
เซเลเน่ยิ้มแหยๆออกมาและลูบหัวคริชในขณะที่คริชกอดเธอแน่นขึ้น
“ทำตัวแบบนี้แล้วบอกว่าตื่นแล้วเนี่ยนะ? เอาเถอะ อย่างน้อยก็หมดปัญหาไปเรื่องนึงล่ะนะ”
เซเลเน่ยิ้มและถูแก้มกับคริช เธอใช้นิ้วของเธอสางผมของคริชอย่างอ่อนโยน
“เรายังมีเวลาอีกหน่อย…. เพราะงั้น คริช ช่วยชงชาให้ทีสิ? วันนี้…. เอาเหมือนเธอละกัน หวานๆ ใส่น้ำผึ้งเยอะๆ”
“ใส่นมเยอะๆด้วยใช่มั้ยคะ?”
“ใช่ เอาเหมือนกันเลย”
“ได้ค่ะ”
คริชพยักหน้าและยิ้มออกมา
=================================
สถานการณ์ตอนนี้พวกเรากำลังกุมความได้เปรียบ ศัตรูก็ถูกบังคับให้ตอบสนองตามแผนของพวกเรา
—— และมันก็ถึงเวลาแล้ว
“ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะเปิดฉากโจมตี มีใครคัดค้านมั้ย?”
ไม่มีใครโต้แย้งในสิ่งที่โบแกนประกาศออกมา
ทุกๆคนในเต็นท์ต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“…ในเมื่อทัพหลวงไม่มีท่าทีว่าจะเคลื่อนไหว เราคงต้องขับไล่ศัตรูออกไปด้วยตัวเราเอง ฉันขอเดิมพันกับชัยชนะของเราดีกว่าปล่อยให้กองทัพทางใต้ต้องรับมืออยู่ฝ่ายเดียว”
เซเลเน่พูดต่อ และกาเรนก็แสดงท่าทีเห็นด้วย
โบแกนเองก็พยักหน้าก่อนจะหันไปหาคริช
“คริช เธอล่ะคิดว่าไง”
“คริชอยากกลับบ้านไปทำอาหารกับเบรี่แล้ว… คริชว่าเรารีบจัดการให้มันจบๆดีกว่าค่ะ”
ทุกคนได้แต่ยิ้มแหยๆให้กับความคิดเห็นที่ซื่อตรงของคริชในขณะที่เซเลเน่ดึงแก้มเธอข้อหาที่ทำตัวชิลเกินไป
คริชมั่นใจในชัยชนะของพวกเขา
ท่าทีที่ไร้กังวลนั้นช่วยขจัดความตึงเครียดของทุกคนในการเดิมพันครั้งนี้ออกไปจนหมดสิ้นและช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด —— และแล้วการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น
=================================
—— จัดการให้เสร็จจะได้กลับรีบบ้าน
เป้าหมายที่น่าดึงดูดนั้นทำให้คริชเสนอแผนที่จะนำกองกำลังแทรกซึมเข้าไปในค่ายของศัตรูบนภูเขาและอาสานำทัพด้วยตัวเอง
แต่ว่าตำแหน่งที่ไม่ชัดเจนของเธออาจก่อให้เกิดความสับสนได้ เซเลเน่จึงต้องรับหน้าที่สั่งการหน่วยจู่โจมพิเศษนี้แทน โดยมีคริชรับบทเป็นเสนาธิการของเธอ
แผนคือจะต้องลอบเข้าไปในภูเขาตอนกลางคืน จากนั้นให้บุกโจมตีศูนย์บัญชาการย่อยของข้าศึกบนภูเขาในตอนรุ่งสาง
กองพลที่สี่จะเข้าไปเสริมทัพหลังจากที่หน่วยของคริชเข้าจู่โจมศูนย์บัญชาการแล้ว
โดยบทบาทของพวกเขาในการสนับสนุนครั้งนี้คือการทำให้สายการบังคับบัญชาเป็นอัมพาต
สำหรับคริชที่คุ้นชินกับการเคลื่อนไหวในป่า ต้นไม้ที่รกชัฏไม่เป็นอุปสรรคต่อเธอเลยแม้แต่น้อย
ในภารกิจนี้มีทหารจำนวน 500 นายที่เข้าร่วม ทุกคนล้วนเป็นทหารที่มีความชำนาญพื้นที่บนป่าเขา เช่น อดีตพรานป่า
พวกเขาเดินทัพอย่างเงียบเชียบโดยมีคริชเป็นผู้นำ
“อ๊ะ——“
คริชกระโดดลงจากต้นไม้และตวัดดาบสองครั้ง
เธอฟันคอทหารลาดตระเวนสองคนโดยไม่ปล่อยให้มีโอกาสได้กรีดร้อง
เลือดสดๆสาดกระจายพร้อมกับร่างที่ล้มพับลงกับพื้น
—— 27 คน
คริชนับจำนวนคนที่เธอฆ่าพลางก้มมองชายผ้าคลุม
มันมีรอยเปื้อนสีแดงจากเลือด เธอจึงทำแก้มป่องด้วยความไม่พอใจ
ปกติแล้วเธอสามารถหลบเลือดไม่ให้เปื้อนชุดได้ แต่เป้าหมายในครั้งนี้คือการป้องกันไม่ให้ข้าศึกส่งเสียงและหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกจับได้
ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่จะทำแบบนั้นในระหว่างที่หลบเลือดไปด้วย
ผ้าคลุมของเธอเริ่มหนักขึ้นจากเลือดที่ซึมเข้าไปจนเธออยากจะถอดมันออก
ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสางแล้ว ทหาร 500 นายที่ถูกคัดเลือกเดินเขาผ่านความมืดในยามราตรีและแทรกซึมเข้าหาข้าศึกจากทางด้านข้าง
แสงอาทิตย์ยามเช้าก่อให้เกิดเงา ทำให้บริเวณใต้ร่มไม้ดูมืดขึ้นกว่าเดิม
ในช่วงเวลาแบบนี้ ผ้าคลุมที่กลายเป็นสีแดงก่ำดูจะมีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง
คริชที่จำใจสวมมันไว้ด้วยเหตุผลนั้น ยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ
พุ่มไม้รอบๆสั่นไหวเมื่อเหล่าทหารเผยตัวออกมา ทุกๆคนต่างมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว
แม้แต่เซเลเน่ก็มองคริชด้วยสีหน้าเจ็บปวด
คริชให้ความสำคัญกับอัตราความสำเร็จเป็นหลัก เธอจึงอาสาเป็นคนนำทางและจัดการกับหน่วยลาดตระเวนด้วยตัวเอง
แม้ว่าทหารที่ถูกเลือกมาจะมีประสบการณ์การปฏิบัติหน้าที่บนภูเขาแต่เธอก็ยังไม่มั่นใจในความสามารถของพวกเขา
เธอจึงให้พวกเขาคอยจับตาดูรอบๆว่ามีหน่วยลาดตระเวนของศัตรูอีกหรือไม่ในขณะที่เธอลงมือสังหาร
คริชมองว่ามันเป็นกระบวนการที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพ ซึ่งเธอค่อนข้างพึงพอใจกับมันทีเดียว
แต่การได้เห็นเธอสังหารทหารยามหลายต่อหลายคนโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียวนั้นทำให้พวกทหารรู้สึกหวาดกลัว
มันเป็นการตอบสนองโดยธรรมชาติหลังจากที่เห็นเธอฆ่าคนในจำนวนที่มากเกินกว่าจะนับด้วยสองมือสองเท้าได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่ในหมู่ทหารกรำศึก ก็แค่ไม่กี่คนที่พูดได้เต็มปากว่าเคยสังหารคนมากพอจะนับด้วยสองมือภายในวันเดียว
ปกติแล้วทหารต้องปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่ตึงเครียดพลางต่อสู้กับความกลัวตายในจิตใจไปด้วย ชีวิตของพวกเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา
มันเป็นความจริงที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ยืนอยู่ที่แนวหน้าแล้วสามารถศัตรูได้เกินห้าคนในการรบครั้งเดียวจะถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ
สำหรับทหารส่วนใหญ่ แค่ฆ่าศัตรูให้ได้ซักคนแล้วรอดชีวิตกลับมาได้ก็ถือว่าเต็มที่แล้ว
นั่นคือสามัญสำนึกของทหารทั่วๆไป และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวคริช
จริงอยู่ที่วีรบุรุษคือคนที่สามารถสังหารศัตรูได้มากมายด้วยชีวิตเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น คริชก็ดูไร้อารมณ์เกินไป และภาพของเธอที่ฆ่าคนเหมือนกับเครื่องจักรนั้นดูห่างไกลจากฮีโร่ในอุดมคติของพวกเขามาก
คริชคิดหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและลงมือฆ่า
มันไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการลอบสังหาร
นี่เป็นบทบาทที่มีแค่เธอที่ทำได้ แต่เธอทำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบเกินไป
เธอระบุจุดบอดของศัตรูได้อย่างแม่นยำ อาศัยจังหวะที่ศัตรูผ่อนลมหายใจและเข้าจู่โจม
—— ผลก็คือพวกเขาตายโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่ว่าศัตรูจะระมัดระวังแค่ไหนก็ไม่อาจหลบเลี่ยงความตายได้
ทันทีที่ถูกเธอเจอตัว พวกเขาก็ชะตาขาดเรียบร้อย
พวกทหารไม่เข้าใจความรู้สึกของคริช แต่พวกเขาเข้าใจว่าศัตรูจะรู้สึกยังไง
ถ้าตายจากการต่อสู้ในสนามรบยังพอว่า แต่มันจะรู้สึกยังไงถ้าต้องมาตายอนาถกลางป่ากลางเขา ไร้เกียรติศักดิ์ศรี ไม่รู้กระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้น
——แค่จินตนาการก็ตัวสั่นขึ้นมาแล้ว
และนั่นนำไปสู่ความคิดที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอคนนั้นหันคมดาบมาหาพวกเขา
ทหารหลายคนที่อยู่ที่นี่เคยเป็นพรานป่ามาก่อน ถึงพวกเขาจะเข้าใจในกระบวนการและความหมายของการพรากชีวิตเป็นอย่างดี
แต่สิ่งที่เธอล่าไม่ใช่สัตว์ป่า เธอกำลังล่ามนุษย์
พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคริชถึงสามารถฆ่าคนอย่างเยือกเย็นและปราศจากความลังเลเพียงเพราะว่ามันจำเป็น ซึ่งมันน่ากลัวเอามากๆ
“…ไหวรึเปล่า?”
เซเลเน่ที่รู้สึกได้ถึงความอึดอัดของพวกทหารเดินเข้ามาหาและลูบหัวคริช
ถึงทหารจะมองเธอด้วยสายตาแบบนั้น แต่คริชก็ยังทำตัวปกติ
เธอยิ้มบางๆเมื่อถูกเซเลเน่ลูบหัว
เธอยกชายผ้าคลุมขึ้นและเงยหน้าหาเซเลเน่
“ผ้าคลุมของคริชเปื้อนเลือดเต็มไปหมดเลย ทั้งที่เบรี่อุตส่าห์ซื้อให้คริชแท้ๆ… มันจะซักออกมั้ยคะ?”
“ถ้าซักไม่ออกเดี๋ยวฉันซื้อใหม่ให้เอง… ขอโทษนะ ที่ให้เธอมาทำอะไรแบบนี้ กลับบ้านเมื่อไหร่ฉันจะยอมตามใจเธอทุกอย่างเลย”
“…ทุกอย่างเหรอ?”
คริชเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากและหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย
“ถ้างั้น คริชอยากไปดื่มชาที่ห้องของเซเลเน่อีก มาจัดปาร์ตี้น้ำชา เอ่อ… ด้วยกันสามคน แล้วก็กินคุกกี้…”
“มักน้อยจริงๆนะเธอเนี่ย ช่างมันเถอะ… ก็ได้ ฉันเอาด้วย”
“…เอะเฮะเฮะ”
จริงๆเซเลเน่รู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ถ้าคริชออกโรงเอง
แต่หลังจากที่ได้เห็นกับตา เซเลเน่ก็เข้าใจว่าทำไมทหารหวาดกลัวเธอ
เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์ปกติของคริช คริสแตนด์ ลูกสาวผู้น่ารักและงดงามของท่านนายพลแล้ว มันทำให้ตัวตนด้านนี้ของคริชดูเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
แม้แต่นายร้อยมากประสบการณ์ที่ดูลังเลในตอนแรก รูปลักษณ์ภายนอกและอายุของคริชทำให้เขารู้สึกกังวล
แต่ในตอนนี้เขากลับมองเธอด้วยสายตาที่หวาดกลัว
จริงๆเซเลเน่อยากให้คริชรออยู่ที่ค่ายกับโบแกนมากกว่า
ถึงคริชจะไม่ใส่ใจ แต่ว่าไม่ใช่กับเซเลเน่
มันน่าเศร้าและเจ็บปวดที่ได้เห็นคริชที่เธอรักถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น
แต่ว่านี่คือภารกิจลอบโจมตีแนวป้องกันของข้าศึกบนภูเขา
แผนของคริชคือการปั่นป่วนสายการบังคับบัญชาและบุกทะลวงผ่านภูเขาอย่างรวดเร็ว โดยมีกองพลที่สี่ช่วยสนับสนุนด้วยการเข้าขนาบตีและเข้ายึดตลิ่งฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำ ซึ่งมันเป็นงานที่หนักเกินกว่าที่เซเลเน่จะรับมือคนเดียวได้
แน่นอนว่าเซเลเน่เข้าใจทฤษฎีทางกลยุทธ์และแนวทางปฏิบัติดี แต่ถ้าถามว่าเธอสามารถออกคำสั่งและทำมันให้สำเร็จได้มั้ย เรื่องนั้นเธอเองก็ยังไม่มั่นใจ
ที่ผ่านมาเซเลเน่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเสนาธิการมาตลอด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอรับหน้าที่สั่งการนอกเหนือจากในตอนฝึก
ความรับผิดชอบในการสั่งการหน่วยจู่โจมพิเศษนี้มันหนักหนาเกินกว่าที่เซเลเน่จะรับมือได้ด้วยตัวคนเดียว
นั่นเป็นสาเหตุที่โบแกนตัดสินใจไหว้วานคริช โดยอาศัยเซเลเน่ช่วยเป็นตัวกลางระหว่างคริชกับทหารคนอื่นๆ
ซึ่งเซเลเน่เองก็รู้ตัวดีว่าบทบาทของเธอคืออะไรและนั่นทำให้เธอหัวเสีย แต่ลึกๆแล้วเธอก็แอบโล่งใจเหมือนกัน
โบแกนเป็นคนที่มองอะไรตามความเป็นจริง
คริชมีทักษะที่โดดเด่น—— เธอพิเศษกว่าคนอื่น
เซเลเน่ก็มีไหวพริบ แต่เห็นได้ชัดว่ายังขาดประสบการณ์
เขาจัดแจงความสามารถของพวกเธออย่างถี่ถ้วนและมอบหน้าที่ที่เหมาะสมให้
และเพราะเซเลเน่เข้าใจเรื่องนี้ดี เธอจึงรู้สึกสมเพชตัวเอง
การสั่งการทหาร 500 นายในภูเขาเป็นงานที่ค่อนข้างยาก
แค่การเดินทัพพลางสอดแนมบริเวณโดยรอบไปด้วยและต้องหาโอกาสหยุดพักเป็นระยะๆก็ยากพอแล้ว แม้ว่าทุกคนที่นี่จะเป็นทหารเจนศึก แต่เธอก็ต้องคอยระวังไม่ให้มีใครพลัดหลง
เส้นทางการเดินทัพที่คริชมาในตอนนี้มันคงจะยากเกินไปสำหรับเธอ
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น การกระจายข้อมูลจะยุ่งยากขึ้นกว่านี้ทำให้เกิดความสับสนได้ง่าย
นั่นเป็นสาเหตุที่เธอเจ็บใจในความไร้ประสบการณ์ของตัวเองและเธอก็ดีใจที่มีคริชมาด้วย
ด้วยไหวพริบและทักษะดาบระดับอัจฉริยะของคริชทำให้พวกเธอลอบเข้ามาได้ลึกกว่าที่คาดการณ์ไว้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคริชอาศัยจุดอ่อนทางภูมิศาสตร์เพื่อแทรกซึมผ่านแนวป้องกันเข้าไป
การที่พวกเธอถึงมาได้ไกลขนาดนี้โดยไม่เกิดการปะทะรุนแรงได้ก็เพราะคริช
ตอนแรกเซเลเน่ตั้งใจจะเดินทัพอ้อมผ่านสันเขาที่สูงกว่านี้และลอบเข้าหาศัตรูจากทางด้านหลัง
จากนั้นจะบุกทะลวงผ่านจุดอ่อนของแนวป้องกันอย่างรวดเร็ว นี่เป็นแผนที่ดึงเอาทักษะการปีนเขาพวกทหารออกมาใช้อย่างเต็มที่
แต่แผนนี้จะต้องผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด และพวกเขาต้องรีบจัดการสายการบังคับบัญชาของศัตรูก่อนที่ข่าวการลอบโจมตีจะถูกส่งไปถึง
ซึ่งนั่นจะสร้างความเหนื่อยล้าให้พวกทหารอย่างมาก
คริชจึงเสนอให้ปีนเขาในช่วงกลางคืนแทนแล้วพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนค่อยเริ่มโจมตี
โดยคริชจะเป็นคนลงเขาไปก่อนโดยไม่ใช้เชือกและสำรวจบริเวณโดยรอบ
กำจัดทหารยามทั้งหมดที่เจอ
จากนั้นค่อยให้ทหารค่อยๆโรยตัวลงมาโดยใช้เชือกและแทรกซึมผ่านช่องว่างของแนวป้องกันเข้าไปโดยปราศจากการต่อสู้ พวกเขาแค่ต้องคอยระวังหน่วยลาดตระเวนหรือกองกำลังสำรองที่อาจประจำการอยู่เท่านั้น
ถึงจะต้องเดินทัพอย่างระมัดระวัง แต่เพราะไม่มีการปะทะ โอกาสที่จะถูกจับได้เลยน้อยตามไปด้วย
ซึ่งนั่นก็ช่วยลดความกดดันทางร่างกายและจิตใจไปได้มาก
ทันทีที่พวกเขาลงมาจากเขาได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็สามารถลักลอบเข้าไปในแนวป้องกันของศัตรูได้โดยไม่ต้องเสียแรงไปกับการต่อสู้
ผลก็คือพวกเธอสามารถแทรกซึกเข้าไปได้ลึกเกินกว่าที่เซเลเน่วางแผนไว้
ถ้าไม่มีคริชอยู่ด้วยฉันจะนำกองกำลังมาไกลขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ย?
เซเลเน่บังคับตัวเองไม่ให้คิดเหม่อลอยแล้วกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่ในมือ
“…เราน่าจะมาไกลสุดได้แค่นี้แหละ ศูนย์บัญชาการของศัตรูคงอยู่ข้างหน้านี้แล้ว”
“ค่ะ ถึงเราจะหลบเลี่ยงหน่วยลาดตระเวนของศัตรูมาถึงตรงนี้… แต่คงถึงขีดจำกัดแล้วค่ะ ถ้าดูจากการวางกองกำลังของศัตรู ศูนย์บัญชาการน่าจะอยู่ทางใต้ลงไปอีกหน่อย”
น้ำเสียงของคริชเต็มไปด้วยความมั่นใจ
คริชเข้าใจรูปแบบการจัดกองกำลังของข้าศึกและสามารถวิเคราะห์ตำแหน่งของพวกเขาได้ราวกับมีตาอยู่บนฟ้า
เหมือนมีแผนที่และเข็มทิศอยู่ในหัว
คำตอบของคริชนั้นสั้นกระชับและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอยู่เสมอ
ในจุดนี้เซเลเน่ไม่มีทางเทียบเคียงคริชได้
เธอจึงกางแผนที่ที่เขียนขึ้นคร่าวๆออกมาและยืนยันตำแหน่งปัจจุบันกับคริชอีกครั้ง
เซเลเน่สามารถคาดเดาตำแหน่งในปัจจุบันจากการวิเคราะห์ระยะเวลาและความเร็วในการเดินทัพได้ แต่มันไม่ได้แม่นยำเท่าคริช
เธอแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กๆระหว่างตำแหน่งที่เธอคาดการณ์กับตำแหน่งของคริช และคิดหาสาเหตุของข้อผิดพลาดนั้น เป็นเพราะแผนที่เหรอ? หรือความเร็วในการเดินทัพ? หรือว่าเธอดูทางผิดไป?
หลังจากที่ปรึกษากับคริชเสร็จ เซเลเน่ก็พยายามทำความเข้าใจตัวเองให้มากขึ้น
เธอเรียนรู้เกี่ยวกับความสามารถของตัวเอง ว่าอะไรคือจุดเด่น อะไรคือจุดด้อย
โบแกนพร่ำสอนเธออยู่เสมอว่าให้หาจุดอ่อนของตัวเองให้เจอ และในที่สุดเซเลเน่ก็เข้าใจความหมายของมันเมื่อเธอได้มาเจอกับคริช
คริชเป็นตัวตนที่เธอไม่อาจเอาชนะได้
แต่เซเลเน่สามารถเรียนรู้และใกล้เคียงเธอให้มากกว่านี้ได้
เพื่อที่จะทำแบบนั้น เธอจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ขาดไปให้ได้ก่อน จากนั้นเธอจึงจะสามารถพัฒนาและขัดเกลาตนเองด้วยความมุ่งมั่นอุตสาหะที่มี
นั่นเป็นจุดแข็งของเซเลเน่
เซเลเน่นั้นได้รับความคาดหวังอย่างมาก ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ที่จะรับช่วงต่อจากวีรบุรุษอย่างโบแกน คริสแตนด์ แต่เป็นผู้ที่อาจจะก้าวข้ามเขาไปได้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ตัวเซเลเน่เองไม่ได้คิดว่าเธอมีพรสวรรค์
เธอเชื่อว่าเธอเป็นแค่คนธรรมดาที่ได้รับมอบโอกาสในการเรียนรู้จากผู้คนเก่งๆมากมาย
ด้วยความถ่อมตนและความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ของเธอทำให้เธอเป็นที่นิยมและน่าดึงดูดขึ้นไปอีก
นั่นเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่เธอรับหน้าที่สั่งการในภารกิจสำคัญแบบนี้ทั้งที่อายุยังน้อย
ว่ากันตามตรง พวกเขากระตือรือร้นที่จะได้ต่อสู้เพื่อเธอด้วยซ้ำ
ความภักดีของพวกทหารที่มีต่อบุตรีของนายพลอย่างเซเลเน่ เอาชนะความกลัวที่พวกเขามีต่อคริช
สมดุลที่สร้างขึ้นนี้ทำให้พวกเขาสามารถเดินทัพต่อไปได้อย่างเป็นระบบและแนบเนียน
สาเหตุที่แทบไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่ให้คริชเป็นคนนำทางและจัดการกับทหารยาม ส่วนใหญ่ก็เพราะมันเป็นการตัดสินใจของเซเลเน่
คริชเองก็ตีค่าความนิยมของเซเลเน่ไว้สูง
คริชรู้ดีว่าทุกอย่างคงไม่ราบรื่นแบบนี้ถ้าเธอมาคนเดียว
เธอมักจะทำอะไรลวกๆโดยไม่ใส่ใจผลที่จะตามมาในระยะยาว
มันเป็นเพราะพรสวรรค์ที่โดดเด่นของคริชทำให้เธอติดนิสัยแบบนั้นมาโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นผลของความมั่นในตัวเองโดยสมบูรณ์ของเธอ
คริชไม่สนใจว่าทหารจะเชื่อฟังคำสั่งของเธอรึเปล่า
ถ้าฟังก็ถือว่าดี แต่ถ้าไม่ เธอก็ต้องสำเร็จโทษพวกเขาด้วยตัวเองตามกฎหมายข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง
ซึ่งโทษที่ระบุไว้ตามกฎหมาย—— คือประหารชีวิต
คริชไม่ลังเลที่จะทำมันและเชื่อว่าเธอสามารถรับมือกับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้
ในเมื่อเธอจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นตราบใดที่ยังพอมีคนเหลืออยู่ ก็ไม่มีเหตุผลที่เธอต้องใส่ใจ
มันเป็นนิสัยเสียของคริชที่มักด่วนสรุปออกมาแบบนี้
ตอนแรกเธอคิดว่าคงต้องมีผู้เสียสละซักสองสามคน แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่จำเป็นเมื่อมีเซเลเน่มาด้วย
ถึงคริชจะมองทหารเป็นแค่ตัวเลขและไม่ได้ใส่ใจพวกเขามากนัก แต่ว่ายิ่งตายน้อยก็ยิ่งดี
เธอจะได้ไม่ต้องเสียแรงฆ่า แถมพวกทหารก็ยังทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
คริชรู้สึกขอบคุณเซเลเน่มากในเรื่องนี้
ในด้านเซเลเน่ เธอเองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่เป็นตัวถ่วงคริชในขณะที่เรียนรู้ทักษะต่างๆจากเธอไปด้วย
เด็กสาวทั้งสองที่เชิดชูกันและกัน ทั้งคู่ต่างรับรู้และชื่นชมในความสามารถของอีกฝ่าย
ในฐานะของผู้บัญชาการและเสนาธิการ ทั้งสองคนก่อให้เกิดการประสานงานในอุดมคติขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ตอนนี้อีกฝ่ายน่าจะยังไม่รู้ตัว… ต้องขอบคุณเธอเลยนะคริช เพราะมีเธอ เราถึงมาได้เกินเป้าขนาดนี้”
“คริชแค่ช่วยนำทางเฉยๆ ถ้าคริชมาคนเดียวทุกอย่างคงไม่ราบรื่นแบบนี้ เพราะงั้นนี่เป็นผลงานของเซเลเน่ต่างหาก อีกอย่างคริชเป็นแค่คนส่งจดหมาย”
“…ยังจะมัวพูดแบบนั้นอีกเรอะ?”
“อูวว……”
เซเลเน่ดึงแก้มคริชด้วยความหงุดหงิด
คริชจ้องใส่เซเลเน่เหมือนจะตำหนิที่แก้มเธอถูกดึง
ถึงมันจะไม่เจ็บ แต่เธอไม่ชอบโดนดึงแก้ม
แต่ดูเหมือนว่าเซเลเน่จะชอบดึงแก้มคริชพอๆกับการลูบหัว สายตาหงุดหงิดของคริชจึงไม่สามารถหยุดเธอได้
คริชเข้าใจว่าเซเลเน่ไม่ได้มีประสงค์ร้าย แต่ทำไปเพราะความปรารถนาดีที่ท่วมท้น—— หรือที่เบรี่เรียกมันว่า ความรัก
เซเลเน่ยิ้มและลูบหัวคริชก่อนจะพูดออกมา
“…ซักวันนึง ฉันจะทำให้คริชไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก แล้วคริชจะได้ทำอาหารอยู่กับเบรี่ที่บ้านตลอดเวลาเลย”
“…ได้ทำอาหารตลอด”
“อื้ม ตลอดเลย… แต่ว่าตอนนี้ ขอฉันยืมแรงเธอหน่อยนะ”
คริชหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มและพยักหน้า
ทั้งเกรซ กอร์คา กาเรน และกาล่า —— แล้วตอนนี้ก็มีเซเลเน่กับเบรี่ด้วย
ผู้คนเหล่านี้ไม่เคยร้องขออะไรจากคริช เอาแต่ให้กับให้มาตลอด
พวกเขาเป็นคนพิเศษสำหรับเธอ
เธอจึงได้แต่ลำบากใจว่าจะตอบแทนพวกเขายังไง
และนั่นทำให้เธอรู้สึกโล่งใจทุกครั้งที่พวกเขาขอให้เธอช่วย
เพราะคริชมองทุกอย่างผ่านการคิดคำนวณ ดังนั้นความสัมพันธ์ที่หักลบกันเป็นศูนย์คือรูปแบบที่เธอสบายใจที่สุด
ถึงการได้รับน้อยเกินไปจะน่าหงุดหงิด แต่ถ้าได้รับมากเกินไปก็ทำให้เธอรู้สึกร้อนใจ
ด้วยความดีใจที่ถูกขอให้ช่วย คริชหรี่ตาลงเล็กน้อยและคลี่ยิ้มบางๆออกมา
“ค่ะ ถ้างั้น… พอกลับถึงบ้าน นอกจากสอนเซเลเน่ฟันดาบแล้ว คริชอยากจะสอนทำอาหารด้วย เพราะงั้น เอ่อ…”
—— มาทำอาหารด้วยกันกับเบรี่อีกนะคะ
ถึงจะคริชได้รับสิ่งต่างๆมามากมาย แต่เธอกลับตอบแทนได้แต่เรื่องธรรมดาๆ
เพราะว่านั่นคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเธอแล้ว
ถ้ามีใครทำดีด้วย ก็จงตอบแทนพวกเขาด้วยสิ่งที่ทำให้ตนมีความสุข
ทั้งเกรซและเบรี่สอนเธอมาแบบนั้น และคริชก็ปฏิบัติตามอย่างซื่อตรง
นั่นเป็นสาเหตที่คริชพูดออกมาแบบนั้น ดวงตาของเซเลเน่เบิกกว้างขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างมีความสุข
“ฟุฟุ งั้นหลังจากกลับถึงบ้าน ขอเป็นเมนูง่ายๆแล้วกันนะ”
“…ได้ค่ะ”
พวกเธอยิ้มและพูดคุยกันเบาๆในขณะที่เซเลเน่เก็บแผนที่
เป็นเวลาพักเบรกสั้นๆ—— กับบทสนทนาทั่วๆไป
แต่พวกทหารกลับมองเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
พวกเขาไม่เคยเข้าใจว่าคริชคิดอะไรอยู่ แต่ในช่วงเวลาสั้นๆนั้น เธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
พวกเขาไม่สามารถละสายตาไปจากความงดงามและน่ารักน่าเอ็นดูของเธอไปได้เลย
เหล่าทหารกล้าผู้พิทักษ์สององค์หญิงแห่งคริสแตนด์——
พวกเขาที่นึกถึงชื่อนั้นขึ้นมาได้ต่างมองหน้ากันด้วยมือที่กำแน่น
เมื่ออยู่กับเซเลเน่ คริชก็ไม่แตกต่างอะไรกับเด็กสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ดังนั้นมันก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องปกป้องเธอเช่นกัน
แม้ว่าความหวาดกลัวและไม่สบายใจจะยังไม่หายไปไหน แต่อย่างน้อยพวกเขาอยากจะปกป้องภาพที่ได้เห็น
ระหว่างที่มุ่งหน้าสู่ศูนย์บัญชาการของแนวป้องกันบนภูเขา พวกทหารเก็บซ่อนความรู้สึกที่หลากหลายไว้และท่องมันจนขึ้นใจ การปกป้องคริชก็เป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องรอยยิ้มของเซเลเน่
เซเลเน่ที่พวกเขาเชื่อมั่นและหวงแหน
เรื่องเล่ามากมายมักจะพูดถึงความแตกต่างของทั้งคู่
คริชที่ไร้หัวใจและเยือกเย็นจะทำตัวเหมือนเด็กสาวคนหนึ่งเมื่ออยู่กับเซเลเน่ และเซเลเน่ที่จริงจังและเข้มงวดจะยอมใจอ่อนเมื่ออยู่กับคริช
——และเรื่องราวขององค์หญิงผู้งดงามทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้นในศึกครั้งนี้
=================================
TL note: สวัสดีปีใหม่ครับบ พอมีวันหยุดเลยได้มาแปลต่ออีกหน่อย ขอให้เป็นอีกปีที่ราบรื่นนะครับ
แล้วก็เมื่อวันก่อนผู้แต่งได้ลงภาพแผนที่แบบออฟฟิเชียลใน x มาแล้วเลยแปลมาฝาก
ดูเหมือนแผนที่ที่วาดไปก่อนหน้านี้ค่อนข้างตรงพอสมควรเลย ค่อยยังชั่วหน่อย5555
*ข้อมูลคร่าวๆของสถานที่ที่เคยกล่าวถึงมาจนถึงบทนี้
ราชอาณาจักรอัลเบรัน: ประเทศที่นางเอกของเรา คริช อาศัยอยู่ ปัจจุบันกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายทางการเมืองและสงคราม
จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลส์เรน: ประเทศติดชายแดนทิศตะวันออกที่เป็นคู่แค้นกับอัลเบรันมายาวนาน ปัจจุบันพวกเขาฉีกสัญญาสงบศึกและเข้ารุกรานพื้นที่ฝั่งตะวันออกของอัลเบรัน
สาธารณรัฐกัลชาน: ประเทศติดชายแดนทิศใต้ เคยทำสงครามกับอัลเบรันมาก่อน ในปัจจุบันกำลังทำสงครามกับราชอาณาจักรเอลเดรันด์ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกับจักรวรรดิในการรุกรานชายแดนทางใต้
ราชอาณาจักรเอลเดรันด์: ประเทศติดชายแดนทิศตะวันตก ตอนนี้กำลังวุ่นวายกับการทำสงครามกับเอลเดรันด์ จึงไม่ใช่ศัตรูที่น่ากังวล
มหารัฐอาร์น่า: ประเทศติดชายแดนทิศเหนือ เป็นพันธมิตรกับอัลเบรันมายาวนาน
เครชาราน่า: พื้นที่ที่ปกครองโดยชนเผ่าที่ปลีกวิเวก พวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่งกับใครหากไม่ถูกรุกรานก่อน
คูสรัน: ?????
หมู่บ้านคาลคา: หมู่บ้านที่คริชเติบโตมาพร้อมกับเกรซและกอร์คา ผู้คนในหมู่บ้านหวาดกลัวคริชหลังจากเหตุการณ์การบุกโจมตีของโจรป่า ทำให้เธอต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองการ์เกน
เมืองการ์เกน: เมืองที่ตระกูลคริสแตนด์เป็นผู้ปกครอง ชาวเมืองเคารพรักในตระกูลคริสแตนด์มากและปฏิบัติต่อคริชเป็นอย่างดี
เมืองปราการวัลเฟไนท์: เมืองปราการสุดแกร่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ไม่มีวันตีแตก แต่ด้วยปัญหาหลายๆอย่างทำให้ปัจจุบันถูกยึดโดยกองทัพเอลส์เรน