ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 20 ชิงลงมือก่อน
บทที่ 20 ชิงลงมือก่อน
“ป้อมปราการใช้งานได้ดีมากครับ น่าจะทนการโจมตีระลอกที่สามได้อีก”
เมื่อได้ยินรายงานจากพลส่งสาร โบแกนก็เหลือบตามองเด็กสาวที่สร้างป้อมปราการนี้ขึ้นมา คริช
แม้ในสถานการณ์แบบนี้เธอก็ยังสวมชุดกระโปรงวันพีซสีดำขลิบเงินทับด้วยผ้าคลุมเหมือนเดิม เธอนั่งบนเก้าอี้และจ้องมองไปที่แผนที่บนโต๊ะโดยไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเนื้อหาของรายงานเลยแม้แต่น้อย
ถึงเธอจะสวมเกราะมือและสะพายดาบโค้งกับดาบสั้นติดตัว แต่ชุดของเธอก็ยังดูโดดเด่นในสนามรบอยู่ดี
ถ้าคริชเสริมพลังกายด้วยมานา เธอจะสามารถวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าม้า
คริชจึงให้เหตุผลว่าในเมื่อเธอไม่จำเป็นต้องขี่ม้า แปลว่าเธอก็ไม่จำเป็นต้องสวมกางเกง
ที่หมู่บ้านของเธอ ผู้หญิงจะสวมชุดกระโปรง—— ส่วนใหญ่เป็นกระโปรงวันพีซ
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คริชไม่ชอบการสวมกางเกงโดยไม่มีเหตุจำเป็น และยืนยันว่าจะสวมแค่ชุดกระโปรงกับผ้าคลุมแบบหัวชนฝา
สำหรับคริช กางเกงเป็นเครื่องแบบสำหรับการขี่ม้าและการต่อสู้
ซึ่งเซนส์ด้านความสวยงามของเธอจะไม่ยอมให้เธอสวมมันในกรณีอื่นนอกเหนือไปจากนั้น
ปกติแล้วเครื่องแบบและชุดเกราะของทหารยศต่ำกว่าร้อยเอกจะเป็นไปตามระเบียบบังคับ ในขณะที่ทหารยศสูงกว่านั้นสามารถเลือกซื้ออุปกรณ์สวมใส่ได้เอง —— พวกเขาสามารถออกแบบเครื่องแต่งกายและชุดเกราะของตัวเองได้
ซึ่งถ้ายึดตามกฎนั้น การแต่งกายของคริชไม่ได้ผิดระเบียบแต่อย่างใด แถมเดิมทีแล้วเธอแค่มาที่นี่เพื่อส่งจดหมายด้วยซ้ำ จึงไม่มีใครสามารถตำหนิเธอได้
และที่คริชดื้อขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเบรี่กำชับเธอไว้ว่าอย่าเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องแปลกๆ
ในเมื่อเธอมาที่นี่เพื่อส่งจดหมาย ทุกอย่างนอกเหนือจากนั้นจึงถือเป็น ‘เรื่องแปลกๆ’ สำหรับเธอ
ส่วนที่เธอเข้าร่วมการประชุมและคุมงานสร้างปราการก็เพราะเธอถูกสั่งให้ทำ
ตัวคริชเองไม่ได้สนใจที่จะเข้าร่วมการต่อสู้เลยซักนิด
ถึงเซเลเน่จะคอยจ้ำจี้จ้ำไชให้เธอใส่ชุดเกราะ แต่สิ่งที่เธอทำคือเอาเกราะมือมาสวมแล้วบอกว่านี่คือชุดเกราะของเธอ
สุดท้ายเซเลเน่ก็ยอมแพ้ที่จะคะยั้นคะยอให้เธอสวมเกราะเพิ่ม…
ทุกคนรู้ดีว่าคริชมีความสามารถแค่ไหน และถ้าเธอยืนกรานว่าชุดเกราะมันหนักและเกะกะ พวกเขาก็คงบังคับให้เธอสวมไม่ได้
ยังไงเธอก็เป็นพวกบ้าประสิทธิภาพอยู่แล้ว
ถ้าเธอพูดออกมาแบบนั้น มันก็คงเป็นจริงตามที่บอก
คริชไม่แสดงความสนใจในรายงานเรื่องป้อมปราการเลยแม้แต่น้อย
ถึงเธอจะรับฟังและทำเป็นจ้องมองแผนที่ แต่ในหัวของกลับเธอสนใจแต่ลูกอมที่อยู่ในปาก
เบรี่คาดว่าคริชคงไม่สามารถปลีกตัวกลับมาได้ในเร็วๆนี้จึงส่งลูกอมมาให้เพิ่ม
ซึ่งต้องขอบคุณเธอที่ทำให้คริชสามารถกินลูกอมวันละสองเม็ดได้เหมือนเดิมโดยที่ยังเหลือเม็ดสุดท้ายกลับไปให้เบรี่ตามสัญญา และนั่นทำให้คริชอารมณ์ดีสุดๆ
แม้ว่าคริชจะมีส่วนสำคัญในการวางแผน แต่ตอนนี้ทั้งกองทัพได้รับข้อมูลการเคลื่อนไหวของศัตรูที่คาดการณ์ไว้และแนวทางการโต้ตอบอย่างครบถ้วนแล้ว
โบแกนเป็นคนปรับปรุงแผนนี้ด้วยตนเอง และเจ้าหน้าที่ทุกคนในกองทัพคริสแตนด์ รวมถึงนายทหารระดับล่าง ต่างก็ได้รับการฝึกให้สามารถกระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีอะไรให้คริชทำอีกแล้ว
เธอแค่มานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงนี่เพราะเซเลเน่สั่งให้เธอมา
แต่ตัวคริชเองไม่ได้มีธุระอะไรที่นี่แม้แต่น้อย
“ผู้บัญชาการกองพลที่ 4 ฟาเรน รายงานว่าเขาลอบโจมตีขบวนขนส่งเสบียงสำเร็จแล้วครับ”
“…เยี่ยมมาก สมแล้วที่เป็นผบ.ฟาเรน แบบนี้เราก็จะได้เปรียบขึ้นอีก”
ระหว่างที่กำลังสร้างป้อมปราการ กองกำลังบางส่วนได้ถูกส่งออกไปเพื่อเตรียมการลอบโจมตี
พวกเขาได้รับมอบหมายให้โจมตีขบวนขนส่งเสบียงของข้าศึกที่วิ่งผ่านภูเขาไปทางตะวันตกและรายงานความสำเร็จก็พึ่งถูกส่งมาหมาดๆ
นี่ก็ผ่านมาสิบวันแล้วตั้งแต่มาถึงที่นี่
และเป็นเจ็ดวันสำหรับศัตรู
ถ้าเส้นทางลำเลียงเสบียงของศัตรูถูกตัด ความพินาศก็จะตามมา
“มันเป็นโอกาสดีที่จะเปิดฉากโจมตี แต่…”
“เราทำไม่ได้น่ะสิ… การเปลี่ยนค่ายศัตรูเป็นพื้นโคลนคือดาบสองคม ถ้าเราบุกเข้าไปตอนนี้คงได้ตายกันเป็นเบือแน่ การเข้าตีในโคลนเป็นภาระหนักสำหรับพวกทหารน่าดูเลยล่ะ”
กาเรนส่ายหน้าปฏิเสธ
เซเลเน่จึงเอ่ยถาม
“แต่ช่วงนี้แดดแรงมาซักพักแล้ว อีกไม่กี่วันพื้นก็น่าจะแห้งแล้วนี่คะ?”
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ใช่อยู่หรอก… แต่ว่าพื้นที่ติดภูเขาอากาศจะแปรปรวน ก็ขึ้นอยู่กับว่าสภาพอากาศต่อจากนี้จะเป็นแบบไหนล่ะนะ แต่ไม่ว่ายังไง ยิ่งเวลาผ่านไปขวัญกำลังใจของข้าศึกก็จะยิ่งลดลง รอต่ออีกซักหน่อยก็ไม่เสียหาย ส่วนเสบียงที่พวกเขาขนมาคงอยู่ได้ไม่เกินครึ่งเดือน… คริช เธอคิดว่าไงบ้าง?”
คริชลองคำนวณอยู่ในใจ
การโจมตีขบวนขนส่งสำเร็จลุล่วง—— แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเสบียงทั้งหมดจะถูกเผา
เพราะมันเป็นแค่การลอบโจมตี ฝ่ายเราจึงมีเวลาจำกัดและศัตรูก็คงมีคนคุ้มกันอยู่ระดับนึง
ถึงกองพลที่สี่ที่จู่โจมขบวนขนส่งจะมีทักษะที่ยอดเยี่ยม แต่คงมีบางส่วนที่หลุดรอดไปได้
คริชประเมินขนาดของกองกำลังซุ่มโจมตีกับขนาดของขบวนขนส่งแล้วคำนวณหาปริมาณเสบียงที่น่าจะส่งไปถึงค่ายสำเร็จ
“พวกเขาคงอยู่ได้อีกประมาณสิบห้าวันค่ะ แต่ถ้าอัตราการเสียชีวิตยังเป็นแบบนี้ต่อไป ศัตรูน่าจะมียอดผู้เสียชีวิตประมาณ 4000 ราย ซึ่งนั่นทำให้พวกใช้เสบียงน้อยลง… อีกอย่างคือพวกเขาจะรู้ตัวเร็วแค่ไหนว่าเส้นทางลำเลียงเสบียงจากจักรวรรดิถูกตัด แต่ต่อให้พวกเขารู้ตัววันนี้ เสบียงที่มีก็คงอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบวันค่ะ”
คริชตอบคำถามพลางกลิ้งลูกอมบนลิ้นไปมา
“ถึงจะมีโอกาสที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะพุ่งสูงจนเสบียงอยู่ได้นานขึ้น… แต่ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาคงสูญเสียข้อได้เปรียบด้านจำนวนไปโดยสิ้นเชิง นั่นจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง งั้นปัญหาก็คือ——“
“เสบียงจากกองกำลังที่เหลือทางตะวันตก หรือไม่ก็จากกองทัพหลักของศัตรูสินะ”
“ใช่ แต่ถ้าคิดกันตามปกติแล้ว คงไม่มีนายพลคนไหนกล้าไปขอเสบียงจากกองทัพหลักที่กำลังเตรียมการบุกลงใต้หรอก เขาน่าจะพยายามเอาเสบียงจากกองกำลังหนึ่งหมื่นนายทางตะวันตกมากกว่า แต่ถ้าหมดหนทางจริงๆอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นล่ะนะ…”
โบแกนเองก็เป็นนายพลและเข้าใจในเรื่องพวกนี้ดี
แต่ทุกครั้งที่เขาถามคริช ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการคำนวณรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ
คริชกลิ้งลูกอมในปากพลางตรวจสอบตำแหน่งกองกำลังของศัตรูไปด้วย
“มีวิธีที่ไหนที่จะบอกได้ว่าศัตรูเริ่มรู้ตัวว่าถูกตัดเสบียงรึเปล่าคะ?”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ฉันเตรียมคนไปสืบไว้แล้ว”
“งั้นถ้าเราได้รับรายงานมาแล้ว ลองส่งทหารซักหนึ่งกองพล ประมาณ 5000 นาย ไปตั้งแนวป้องกันที่จุดข้ามแม่น้ำทางตะวันตกดีมั้ยคะ? ถ้าเราทำทีว่าจะเตรียมทำศึกกลางคืนแล้วแอบส่งพวกเขาออกไปกลางดึก ศัตรูน่าจะไม่ทันสังเกต”
“…แค่ 5000? ไม่อันตรายเกินไปหน่อยเหรอ”
เซเลเน่ขมวดคิ้ว
“ถ้าศัตรูส่งกองกำลังหลักไปทางนั้น เราก็จะโต้กลับด้วยกองกำลังหลักของเราแล้วยึดศูนย์บัญชาการที่นี่ซะ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าศัตรูยังตั้งกองกำลังหลักไว้ที่นี่ กองพลของเราจะตั้งแนวป้องกันทางตะวันตกต่อไป พื้นที่ตรงนั้นเป็นเส้นทางลำเลียงที่สั้นที่สุด ถ้าเรายึดมันได้ ขบวนขนส่งของศัตรูจะถูกบังคับให้ใช้ทางอ้อม ซึ่งนั่นจะช่วยซื้อเวลาให้เราได้อีกค่ะ”
“…อา แปลว่าต่อให้เสบียงถูกส่งไปถึงศัตรูก็ไม่เป็นไรสินะ? ใช้กองพลเพื่อก่อกวนการลำเลียงเสบียง แต่ไม่ได้เข้าโจมตีจริงๆงั้นเหรอ”
“ค่ะ ถ้าศัตรูใช้ทางอ้อมที่ไกลขึ้น เสบียงบางส่วนจะถูกใช้ไประหว่างทาง และยิ่งใช้เวลานานเท่าไหร่ ขวัญกำลังใจของทหารก็จะยิ่งตกต่ำลง และนั่นยังทำให้พวกเขาต้องขอเสบียงเพิ่มเร็วขึ้นด้วยค่ะ”
โบแกนขบคิดอยู่ซักพักก่อนจะพยักหน้า
“งั้นปัญหาเหลือแค่การที่กองทัพหลักของเราจะมีกำลังพลลดลงสินะ… ไม่สิ จำนวนทหารที่ให้เข้าร่วมรบในศึกแต่ละครั้งมีจำกัดอยู่แล้ว เธอจะบอกว่าเรามีกำลังพลเกินพอแล้วงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ เราแค่ต้องการยื้อเวลาอีกไม่กี่วันและบังคับให้ขบวนขนส่งใช้ทางอ้อม หลังจากนั้นจะให้กองพลที่ตั้งแนวป้องกันกลับมาเป็นกำลังพลสำรอง หรือเตรียมการโจมตีขนาบข้างใส่ข้าศึกก็ได้
แต่คริชว่ามันจะดีกว่าถ้าเรายึดตามแผนเดิมและถ่วงเวลาจะกว่าโอกาสจะมาถึงค่ะ”
“ดีล่ะ งั้นมาเริ่มกันเลย… ม้าเร็ว ไปตามโคคิสมา
“ครับผม!”
==============================================
“ฮ่าฮ่าฮ่า เข้าใจล่ะ งานช้างเอาเรื่องนะเนี่ย แต่ตอนนี้กำลังเบื่อพอดี ฝากให้เป็นหน้าที่ผมได้เลย”
ผู้บัญชาการกองพลที่สอง โคคิส นาคุทรา ริเนีย อากรันด์ —— เป็นชายร่างใหญ่ดุจหินผา ราวกับว่าเขาฝึกกล้ามเนื้อทุกมัดไม่เว้นกระทั่งกล้ามเนื้อใบหน้า ร่างกายที่บึกบึนของเขาให้ความรู้สึกแบบนั้นและเขาดูตัวใหญ่ขึ้นไปอีกเมื่อเข้ามาอยู่ในเต็นท์
หมวกและเกราะของเขาถูกออกแบบให้คล้ายกับเสือ นั่นยิ่งทำให้เขาดูแข็งแกร่งและดูเหมือนวีรบุรุษมากขึ้น
เสียงที่หนักแน่นของเขาดังจนทำให้คริชต้องขมวดคิ้วทุกครั้งที่เขาเอ่ยปากพูด
ทั้งน้ำเสียง ทั้งร่างกาย และทุกๆอย่างดูจะใหญ่เทอะทะไปหมด
แค่มีเขาอยู่ในเต็นท์ก็อาจทำให้อาการกลัวที่แคบกำเริบได้
แต่น้ำเสียงและร่างกายของเขากลายเป็นประโยชน์ในสนามรบ มันช่วยให้ทหารรู้สึกอุ่นใจ
ถ้าเทียบกับผบ.กองพลที่หนึ่ง โนซัน ที่สั่งการทหารด้วย ‘ความยืดหยุ่น’
โคคิสก็คงเป็น ‘ความแข็งกร้าว’
เขาเป็นอันดับหนึ่งของกองทัพคริสแตนด์ในด้านการเข้าตีและป้องกันแบบเรียบง่าย ตัวเขาเองก็เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม เขาเคยสังหารศัตรูมามากมายในการต่อสู้ และเหล่าทหารที่ติดตามวีรบุรุษผู้นี้ก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน
ไม่มีใครเหมาะกับภารกิจนี้ไปมากกว่าพวกเขาอีกแล้ว
“แต่ลูกสาวที่ท่านนายพลรับมาเลี้ยงนี่สุดยอดไปเลยนะ พวกเธอทั้งสองคนมีเซนส์ด้านการรบดีกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ถ้าลูกชายผมหัดเอาพวกเธอเป็นแบบอย่างซะบ้างก็ดีสิ”
โคคิสพูดพลางมองไปทางคนส่งสารหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่
ชายหนุ่มก้มหน้าเงียบและอดทนต่อสายตานั้น
“อย่าพูดแบบนั้นสิโคคิส แกรนเองก็ทำหน้าที่ของเขาได้ดี ฉันไม่เหมือนนายพลคนอื่นหรอกนะ พลส่งสารที่ฉันเลือกต้องเป็นคนที่หัวไวและมีความสามารถเท่านั้น”
“แต่มันขี้ขลาดน่ะซี่ ผมได้ยินว่าท่านคริชฆ่าโจรป่าเป็นโหลได้ง่ายๆเลยนี่นา”
“เธอเป็นข้อยกเว้นน่ะ ขนาดฉันยังประดาบสู้เธอไม่ได้เลย อีกอย่างถึงขี้ขลาดก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน เราแค่ต้องเลือกใช้คนให้ถูกงาน แล้วดึงเอาความสามารถของพวกเขามาใช้ให้ได้มากที่สุดต่างหาก”
“ผมเข้าใจแต่…”
ถึงโคคิสจะยังไม่ยอมรับ แต่สุดท้ายเขาก็ยกมือยอมแพ้
“โคคิส ฉันให้นายเป็นคนตัดสินใจว่าจะล่าถอยตอนไหน”
“รับทราบ แต่ถ้าศัตรูมีเกินหมื่น เราคงยื้อได้แค่สองสามวันล่ะนะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าดูแล้วไม่น่าไหวให้รีบล่าถอยทันที”
“ท่านพ่อ ส่งพวกนายช่างที่สร้างเขื่อนไปด้วยดีมั้ยคะ? พวกเขาน่าจะช่วยสร้างค่ายป้องกันได้…”
“เป็นความคิดที่ดี โคคิส พาช่างไปได้ตามต้องการเลย คริช เราแบ่งวัสดุสำรองของป้อมไปได้เท่าไหร่เหรอ?”
“…ประมาณครึ่งนึงของที่สำรองไว้ค่ะ เราเตรียมของเผื่อไว้ค่อนข้างเยอะเลย”
ป้อมปราการนี้ใช้วัสดุเพียงครึ่งเดียวเทียบกับการสร้างป้อมปราการปกติ
แต่วัสดุที่พวกคนงานส่งลอยมาตามน้ำมีเยอะพอที่จะสร้างป้อมแบบปกติได้ ทำให้ตอนนี้มีวัสดุเหลือใช้อีกมากมาย
“ถ้าอย่างนั้น… ก็ควรเริ่มเหลาซุงมาทำรั้วตั้งแต่ตอนนี้เลย เราคงไม่มีเวลาทำค่ายป้องกันมากนักหรอก”
“นั่นสินะครับ งั้นเดี๋ยวกองพลของผมจัดการให้เอง”
“โคคิส ห้ามบอกนะว่าทำไม เราไม่รู้ว่าศัตรูมีหูตาอยู่ที่ไหนบ้าง ทำเป็นว่าฉันสั่งให้พวกเขามาช่วยซ่อมป้อมปราการไปก่อนก็ได้”
“รับทราบ ผมจะแจ้งเฉพาะเสนาธิการกับผู้บังคับกองพันที่เกี่ยวข้องเท่านั้น”
โคคิสก้าวออกไปจากเต็นท์
เป็นคนที่หนวกหูชะมัด คริชทำแก้มป่องเล็กน้อยด้วยความรำคาญ
แต่เซเลเน่ก็ดุเธอที่ทำหน้าแบบนั้นและเอานิ้วจิ้มแก้มจนลมถูกปล่อยออกมา
==============================================
หลังจากนั้นกองทัพคริสแตนด์ก็ยังคงรักษาจังหวะชิงลงมือก่อนในการรบกับกองทัพซาร์เชนคาต่อไป
เป็นเวลาถึงสองวันกว่าอเลฮาจะรู้ตัวว่าพวกเขาเสียขบวนขนส่งเสบียงจากจักรวรรดิไปแล้ว
เขารีบส่งม้าเร็วไปขอเสบียงฉุกเฉินจากกองกำลังที่เหลืออยู่ทางตะวันตกทันที
และในวันถัดมา เมื่อเขารู้ตัวว่ากองกำลังจำนวน 5000 นายได้หายไปจากกองทัพของศัตรู อเลฮาก็ส่งกองทหารม้าของชนเผ่าเร่ร่อนจำนวน 6000 นายไล่ตามไป
และในตอนนี้ กองกำลังที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ที่สองฝั่งแม่น้ำคือ 11000 นายสำหรับกองทัพคริสแตนด์ และ 13000 นายสำหรับกองทัพซาร์เชนคา
ขบวนขนส่งเสบียงที่พวกเขาเฝ้ารอถูกทำลายย่อยยับจากการซุ่มโจมตี และเสบียงจากอีกกองกำลังหนึ่งก็ถูกบังคับให้ใช้ทางอ้อม
ขวัญกำลังใจกำลังลดฮวบ ความได้เปรียบด้านจำนวนก็ไม่เหลือแล้ว และความเสียหายจากการข้ามแม่น้ำครั้งแรกก็ยังคงอยู่ กองทัพคริสแตนด์นั้นแข็งแกร่งเสียจนข้อได้เปรียบด้านจำนวนเล็กๆน้อยๆนั้นแทบไร้ความหมาย
และในตอนนี้เสบียงของพวกเขากำลังจะหมด—— ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงมีเพียงความพ่ายแพ้ที่รออยู่ข้างหน้า
ถึงพื้นโคลนจะเริ่มแห้งเพราะอากาศดี แต่นั่นยิ่งทำให้พวกเขาตกลงสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากกว่าเดิม
เขาไม่สามารถเรียกกองกำลังหนึ่งหมื่นนายที่เหลือมาที่นี่ได้
เพราะถ้าเขาเคลื่อนทัพทั้งหมดมาทางตะวันออก กองทัพหลวงของศัตรูจะสามารถเข้าโจมตีวัลเฟไนท์และทำลายช่องทางลำเลียงเสบียงได้อย่างง่ายดาย
ไม่ว่าเมืองปราการจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
ป้อมปราการจะคงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ได้ก็ต่อเมื่อมีเส้นทางลำเลียงคอยสนับสนุน
อเลฮายังคงเชื่อในสมมติฐานแรกว่าการกระทำของคริสแตนด์มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการบุกยึดวัลเฟไนท์
และนั่นทำให้ทางเลือกของเขามีจำกัด
และเพราะเขารายงานข้อสันนิฐานของเขาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของคริสแตนด์ไปยังกองกำลังป้องกันที่วัลเฟไนท์และกองทัพหลักทางใต้ ทำให้แผนการโจมตีลงใต้ต้องหยุดชะงักทั้งๆที่พวกเขาพร้อมเริ่มการโจมตีได้ทุกเมื่อ
เพราะถ้าศัตรูตั้งใจจะยึดวัลเฟไนท์คืนจริงๆ มันจะเป็นเรื่องดีสำหรับจักรวรรดิมาก
แม้ว่าจักรวรรดิอาศัยการโจมตีทีเผลอ แต่กว่าพวกเขาจะยึดวัลเฟไนท์มาได้ก็ต้องแลกกับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
วัลเฟไนท์เป็นป้อมปราการที่ยอดเยี่ยม
จักรวรรดิจึงเชื่อว่าถ้าศัตรูพยายามจะยึดมันคืน กองกำลังที่อยู่ในวัลเฟไนท์และกองทัพทางเหนือและใต้จะผนึกกำลังกันและสามารถเอาชนะได้โดยง่าย—— เมื่อกองทัพหลวงของราชอาณาจักรแตกพ่าย พวกเขาก็จะรุกรานดินแดนทางใต้ที่เหลือหัวเดียวกระเทียมลีบได้ง่ายขึ้น
พูดกันตามตรง พวกเขาอาจจะยึดเมืองหลวงของศัตรูได้เลยด้วยซ้ำ
และนั่นหมายถึงชัยชนะเบ็ดเสร็จในสงครามครั้งนี้
แต่แน่นอนว่าทั้งสองกองทัพยังไม่ปักใจเชื่อคำรายงานของอเลฮา และเริ่มรวบรวมข้อมูลจากสปายของพวกเขาเอง และผลการรายงานก็เป็นที่กระจ่าง —— ไม่มีข้อมูลว่าศัตรูจะเตรียมการโจมตีแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าก่อนที่พวกเขาจะสามารถยืนยันได้ว่านี่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวโดยอิสระของกองทัพคริสแตนด์ การต่อสู้ในดินแดนทางเหนือก็มาถึงจุดสิ้นสุดเสียแล้ว
“ท่านนายพลครับ! รองนายพลดาคราชาร์เขา—!”
ไม่นานหลังจากที่อเลฮาผ่านตัดสินใจที่ยากลำบาก— การตัดสินใจที่จะส่งม้าเร็วไปขอเสบียงจากกองทัพหลัก
อเลฮาที่อยู่ที่ศูนย์บัญชาการและกำลังตรวจสอบสถาพของสนามรบอยู่บนหลังม้าก็ได้รับรายงานการเสียชีวิตของรองนายพลของเขา คนที่ได้รับหน้าที่บัญชาการปีกขวา —— กองกำลังที่ตั้งค่ายอยู่บนภูเขา
และในขณะเดียวกัน เขาก็ได้รู้ว่าสายการบังคับบัญชากำลังตกอยู่ในความโกลาหลเพราะผู้รักษาการแทนก็ถูกสังหารไปด้วย
เช่นเดียวกับในราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพจักรวรรดิจะมีผู้ช่วยที่จะเข้ารักษาการแทนเมื่อมีเหตุจำเป็น—— เหมือนกับตำแหน่งเสนาธิการในราชอาณาจักร
โดยปกติแล้ว เจ้าหน้าที่ที่มียศรองลงมาจะเป็นผู้รับช่วงต่อ อย่างในราชอาณาจักร ผบ.กองพลจะได้รับการเลื่อนยศชั่วคราวหากมีอะไรเกิดขึ้นกับนายพล แต่พวกเขามักจะประจำการอยู่คนละพื้นที่และไม่สามารถเข้าสั่งการแทนได้ทันที
มันจึงเป็นบทบาทสำคัญของผู้ช่วยหรือเสนาธิการที่จะเข้ารักษาการแทนชั่วคราวในช่วงเวลาวิกฤตนี้
แต่ถ้าพวกเขาทั้งหมดตายจากการต่อสู้ สายการบังคับบัญชาก็จะพังทลาย
พวกเขาจะต้องไล่ตำแหน่งลงไปจนเจอเจ้าหน้าที่ที่มียศสูงสุดที่จะมารับบทบาทนี้แทน แต่ด้วยภูมิประเทศบนภูเขาทำให้มันกลายเป็นเรื่องยากยิ่ง
ทหารที่อยู่บนภูเขากำลังตื่นตระหนกและถูกฆ่าตายไปทีละคน
อเลฮารู้ว่าศัตรูน่าจะวางแผนลอบตีผ่านทางภูเขา เขาจึงมอบหมายให้รองนายพลที่เขาไว้ใจคอยสั่งการ
แต่ทว่าดาร์คราชากลับพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย และรายงานที่ส่งมานั้นไม่ใช่การแจ้งสถานการณ์การรบแต่กลับเป็นการเสียชีวิตของเขา แม้แต่สติปัญญาอันชาญฉลาดของอเลฮายังชะงักค้างไปครู่หนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นกับแนวป้องกันบนภูเขา!? ฉันส่งคนกำลังไปตั้งสี่พัน! มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง…!?”
“เหวออ”
พลส่งสารร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวเมื่อนายพลที่เคยสุขุมเยือกเย็นมาตลอดฟิวส์ขาดและคว้าคอเสื้อของเขาขึ้นมา…
เมื่อเห็นสีหน้านั้น อเลฮาก็ได้สติว่าเขากำลังระบายอารมณ์ใส่พลส่งสารอยู่และรีบปล่อยมือ
อเลฮา ซาร์เชนคา เป็นชายที่ยอมรับในความผิดพลาดของตนเองและรู้จักแก้ไขมัน
“…ขอโทษที ไม่ใช่ความผิดนายหรอก… ที่นี้ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
“ทุกคนกำลังสับสน… ผมถูกส่งมาเพื่อแจ้งเรื่องนี้กับคุณให้เร็วที่สุดแต่ เอ่อ…”
“ฉันต้องการข้อมูล จะอะไรก็ได้ มันคืออะไร?”
“เอ่อ มันมีสัตว์ประหลาด…”
“…สัตว์ประหลาด? สัตว์อสูรเวทย์เหรอ?”
เช่นเดียวกับที่มนุษย์ใช้มานาได้ สัตว์บางตัวก็สามารถใช้มันได้เหมือนกัน
เดิมที่สัตว์ป่าก็แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อยู่แล้ว แต่สัตว์อสูรเวทย์คือตัวตนที่อยู่คนละชั้นกันเลย แค่ฆ่าให้ได้ซักตัวก็ยากพอที่จะเป็นผลงานให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินแล้ว
สัตว์อสูรเวทย์มักจะอาศัยอยู่ในป่าหรือหุบเขาลึกที่ไม่มีใครย่างกราย ไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพวกมันในพื้นที่แถบนี้มาก่อน
แต่ถ้านี่เป็นเรื่องจริง พวกเขาก็แค่โชคร้าย
“ไม่ครับ เอ่อ… ได้ยินมาว่า เป็นปีศาจผมเงินที่มีรูปร่างเหมือนเด็กผู้หญิง”
“…ถ้างั้นคงเป็นขุนนางเก่งๆซักคนสินะ สำหรับทหารธรรมดาคงเห็นเป็นแบบนั้น…”
มีความแตกต่างที่ใหญ่หลวงสำหรับคนที่ใช้มานาได้กับคนที่ใช้ไม่ได้
ถึงมันจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวและจะเอาไปใช้ตัดสินทุกคนไม่ได้ก็จริง แต่ผู้ใช้มานาที่มีความสามารถอาจดูเหมือนสัตว์ประหลาดในสายตาของคนทั่วไป
ยกตัวอย่างเช่น ผบ.กองพลที่สองของศัตรูที่สามารถเหวี่ยงหอกยักษ์ที่ทำจากเหล็กกล้าได้อย่างง่ายดาย
แต่ถ้าให้เลือกระหว่างผู้ใช้มานาที่มีความสามารถกับสัตว์อสูรเวทย์
อเลฮาเองก็ไม่แน่ใจว่าอย่างไหนจะแย่กว่ากัน
“—— ท่านนายพลครับ! มีศัตรูปรากฏตัวขึ้นที่ตีนเขาทางขวาครับ”
“บ้าเอ้ย! ส่งทาร์กันกับกำลังสำรองที่เหลือไป ไม่ว่ายังไงอย่าให้พวกมันเข้าใกล้แม่น้ำได้ เราจะปล่อยให้ข้าศึกยึดตลิ่งฝั่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
อเลฮาเดาะลิ้นพลางมองคนส่งสารคนใหม่กระโดดกลับขึ้นม้าและควบออกไป
จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี——
“ท่านนายพล… ตอนนี้ยังทันนะครับ ช่วยออกคำสั่งถอยทัพด้วย”
ผู้ช่วยของเขาเอ่ยปากขึ้น แม้ร่างกายจะแก่ชราแต่ก็ดูออกว่าผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
“ถอยทัพ!? ไม่รู้รึไงว่าถ้าเราถอยทัพจะเป็นยังไง? การโจมตีจะ——”
“…นายน้อย”
ผู้ช่วยของเขา—— วัลเตอร์ กริซลันดี เคยเป็นครูฝึกของอเลฮาตอนเขายังเด็กและเรียกเขาแบบนั้นมาตั้งแต่สมัยก่อน
“…รู้ตัวซักทีเถอะ ข้อได้เปรียบที่เราเคยมีมันไม่มีทางหวนกลับมาแล้ว”
ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิ
วัลเตอร์รับหมวกที่ประดับพู่สีแดงกับหอกเหล็กเล่มใหญ่จากผู้ติดตามของเขามาสวม
“ครั้งนี้เราตกหลุมพรางอันแยบยลของนายพลคริสแตนด์ มันคือความจริงและเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่… แต่ว่าท่านยังหนุ่ม ยังมีโอกาสได้แก้ตัว อย่างน้อยข้าก็เชื่อเช่นนั้น ท่านเรียนรู้ผ่านความล้มเหลวมามากมายและแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้ง ข้าคอยเฝ้าดูท่านอยู่ตลอดและได้เห็นมันกับตา”
“…วัลเตอร์”
อเลฮากำหมัดแน่น
ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
การจู่โจมแบบสายฟ้าแลบครั้งนี้ มันขึ้นกับเวลาว่าของศัตรูจะเข้ายึดตลิ่งได้เมื่อไหร่
กองกำลังที่เหลือบนภูเขาก็หวังพึ่งไม่ได้แล้ว จำนวนคนก็สูสี—— ไม่สิ ด้อยกว่าด้วยซ้ำ
หลังจากที่ล้มเหลวในการข้ามแม่น้ำและขาดเสบียง การถูกซุ่มโจมตีและถูกบุกเต็มกำลังแบบนี้ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารแตกสลายแบบไม่มีทางหวนคืน
อเลฮารู้เรื่องนั้นดี
“ข้าจะระวังหลังให้เอง ทาร์กันเป็นผู้บัญชาการที่ดี ท่านจำเป็นต้องมีผู้ติดตามแบบเขา… ข้าจะออกไปรับหน้าศัตรูแทนให้ เรียกเขากลับมาแล้วถอยทัพกลับไปด้วยกันเถอะ”
อเลฮาก้มหน้าอดกลั้นความเจ็บปวดในใจและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“…ผมจะล้างแค้นให้คุณ วัลเตอร์ ขอสาบานด้วยชื่อของผม”
“นี่สิถึงจะเป็นนายน้อยที่ข้ารู้จัก… โชคดีนะ ขอพระเจ้าโปรดอวยพรให้ท่าน”
“ผมจะเอาเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ไปฝากคุณบนสวรรค์เอง”
วัลเตอร์ยิ้มแล้วควบม้าออกไป
อเลฮาทำได้แค่มองส่งแผ่นหลังนั้นเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ในฐานะนายพลดังเดิม
=============================================
TL note: บทเสริมสร้างจินตนาการอีกแล้วว ลำบากสุดคือแก้แผนที่นี่แหละ55555
ตอนแรกคิดว่าอเลฮาเคลื่อนทัพตามโบแกนไปหมื่นนาย แต่พอมาแปลบทนี้แล้วตัวเลขมันแปลกๆ เลยกลับไปอ่านบทที่ 15 ใหม่ ปรากฎว่าไม่ใช่ส่งทหารไปหมื่นนาย แต่เป็นทิ้งทหารไว้หมื่นนาย แปลว่าส่งทหารไปประมาณสองหมื่นนายต่างหาก
อีกอย่างในบทนี้ก็ไม่ได้บอกว่ากองพลของโคคิสที่ส่งไปทางตะวันตกได้ข้ามแม่น้ำรึเปล่า แต่ถ้าคิดจากแผนที่จะให้ขบวนขนส่งอ้อมหลบ คิดว่ายังไงก็ต้องข้ามแหละ