ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 2 ชีวิตประจำวันของเด็กสาว
บทที่ 2 ชีวิตประจำวันของเด็กสาว
ความโค้งงอของไม้ ความตึงของสายธนู และทิศทางของลม
คริชที่สัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านั้นค่อยๆดึงสายธนูอย่างเงียบเชียบ
แทนที่จะออกแรง คริชเพ่งสมาธิไว้กับบางสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ทุกส่วนของร่างกาย
มันคือ มานา พลังไร้รูปที่คริชเรียกมันว่า ‘เจ้าความรู้สึกปุกปุย’
เธอใช้มานาในการควบคุมแขนขาแทนการขยับกล้ามเนื้อ ราวกับเปลี่ยนร่างกายตัวเองให้กลายเป็นหุ่นเชิด
เลียนแบบท่วงท่าของนักล่ามืออาชีพที่เธอเคยเห็น คริชนำความทรงจำเหล่านั้นมาปรับใช้กับร่างกายของเธอเอง
เธอควบคุมร่างด้วยมานาเป็นกิจวัตร ดังนั้นอาการปวดกล้ามเนื้อจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย
เธอสามารถขยับร่างกายได้ดังใจนึก และอยู่ภายใต้การควบคุมตลอดเวลา เพื่อให้เข้าถึงตัวตนในอุดมคตินั่นเอง
แล้วเธอเรียนรู้ทักษะนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่? สอง? หรือไม่ก็สามขวบ?
คริชไม่ค่อยแน่ใจว่าตอนนั้นเธออายุเท่าไหร่ แต่น่าจะเป็นช่วงราวๆนั้น
ร่างกายของคริชนั้นยังเล็กและไร้พลังเหมือนกับเด็กทั่วๆไป แต่เมื่อควบคุมมันด้วยเวทย์มนต์แล้ว เธออาจจะแข็งแกร่งพอๆกับ…. ไม่สิ อาจจะแข็งแกร่งมากกว่าผู้ใหญ่เสียอีก
ด้วยเหตุนี้เธอจึงสามารถใช้ธนูที่เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กได้
แซ่กๆ— มีเสียงและการเคลื่อนไหวจากในพงหญ้า
ราวกับช่วงเวลานั้นถูกยืดออก คริชที่กำลังเพ่งสมาธิ กลั้นลมหายใจอย่างแผ่วเบา
และในเสี้ยววินาทีแห่งความเงียบนั้นเอง เสียงของสายธนูที่ตัดผ่านอากาศก็ดังขึ้น
ลูกธนูพุ่งออกไปและจมหายไปในพุ่มไม้ ตามมาด้วยเสียงร่างที่ล้มลงจากการถูกปลิดชีวิต
ต่อให้ไม่เห็นตัว คริชก็มั่นใจว่าเธอยิงโดน เธอเดินเข้าไปใกล้ แล้วจ้องมองกระต่ายที่นอนหมดสภาพด้วยสายตาไร้อารมณ์ ลูกธนูปักเข้าที่คอ เธอจับขามันยกขึ้นมา และมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำ
ที่นั่น เธอจับมันห้อยหัวแล้วกรีดมีดลงไปที่คอ เลือดจากหัวใจที่กำลังจะหยุดเต้น ไหลออกมาเจ่อนองและเปรอะเปื้อนบนพื้นอย่างรวดเร็ว
“อืม น่าจะใช้ได้”
การเอาเลือดออกให้เร็วที่สุดเป็นเคล็ดลับในการทำเนื้อให้อร่อย ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะมีกลิ่นคาว
คริชรีบเอาเชือกมัดขากระต่ายไว้กับต้นไม้แล้วจับมันห้อยหัวเอาไว้
ร่างที่กระตุกเกร็งค่อยๆอ่อนแรงลงก่อนจะแน่นิ่งไป
ขณะที่เธอมองกระต่ายที่กำลังหมดลมหายใจด้วยสายตาอันว่างเปล่านั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“….คริช ลูกกำลังทำอะไรน่ะ?”
“…ท่านพ่อ กับท่านตา?”
มีชายสองคนก้าวออกมาจากพุ่มไม้หนา
ชายร่างผอมสูง ที่ไว้หนวดรอบๆปากนั้นคือกอร์คา
พ่อบุญธรรมของคริช เขาเป็นนักล่ามือฉมังตั้งแต่ยังหนุ่ม
ส่วนอีกคนคือพ่อของเกรซ —- หรือก็คือคุณตาของคริช กาเรน
เขาเป็นฮีโร่ของหมู่บ้าน อดีตทหารผู้คว้าชัยในศึกถึง 7 ครั้งและได้เลื่อนยศเป็นนายร้อย
เส้นผมสีขาวหยาบกระด้างบวกกับประสบการณ์ที่โชกโชน ทำให้เขาดูเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก
แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคุณตาที่ใจดี และชอบตามใจคริชเอามากๆ
คริชเองก็ค่อนข้างติดคุณตาของเธอเช่นเดียวกัน
พรานป่าในหมู่บ้านมักจะออกล่าเป็นคู่
กอร์คาเองก็เช่นกัน เขามักจะไปกับกาเรน ผู้เป็นทั้งพ่อของเกรซและอาจารย์ของเขาอยู่เสมอ
ดูเหมือนวันนี้พวกเขาจะล่าเหยื่อได้สำเร็จ แท่งไม้ที่พาดบนบ่าของทั้งคู่มีร่างหมูป่าถูกมัดติดอยู่
เมื่อดูจากลูกธนูสามดอกที่ปักบนร่างนั้น บอกได้เลยว่ามันเป็นการล่าที่สาหัสเอาการ
มันเป็นหมูป่าที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ถือเป็นเหยื่อตัวใหญ่เลยทีเดียว
“อิฮิฮิ คริชกำลังฝึกยิงธนู คริชคิดว่ามันคงจะง่ายขึ้นสำหรับท่านพ่อ ถ้าคริชช่วยล่าสัตว์ได้ด้วย”
ทุกอย่างเป็นไปตามที่พูด
แม้ว่าคำอธิบายของคริชจะถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้ตรงประเด็น
ความจริงแล้ว คริชยังไม่พอใจและต้องการเนื้อมาเติมใส่หม้อเพิ่ม แต่เธอไม่อยากให้คนอื่นมองเธอเป็นเด็กตะกละ
เธออยากให้พวกเขาคิดว่า เธอแค่มาฝึกยิงธนูแล้วบังเอิญจับกระต่ายได้ มากกว่า
คริชนั้นเป็นเด็กที่อีโก้สูงและหลงตัวเอง เธอมักจะตั้งมาตรฐานสูงลิ่วสำหรับตัวเองเสมอ
ทั้งคอยดูแลความสะอาด รักษามารยาทต่อหน้าผู้อื่น มุ่งมั่นในทุกๆอย่างที่เธอมองว่าเป็นสิ่งดีงาม
ไม่ว่าจะเป็นเพราะมุมมองเรื่องความงามที่สมบูรณ์แบบ หรือแค่ความคิดที่หยิ่งยโส
สุดท้ายแล้วทั้งหมดมันมีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่าเธอจะต้องเหนือกว่าคนอื่นๆ
สำหรับคริช การจมปลักอยู่กับสัญชาตญาณพื้นฐานหรืออารมณ์ความรู้สึกก็ไม่ต่างอะไรกับความโง่เขลา
เธอจึงเลือกใช้ชีวิตตามหลักเหตุผลและไม่ไขว้เขวจากอารมณ์ใดๆ —— ดังนั้น ความอยากอาหารที่ควบคุมไม่ได้ของเธอจึงเป็นเรื่องน่าอับอาย น่าสมเพช เป็นจุดด่างพร้อยอันใหญ่หลวงที่ขวางกั้นระหว่างเธอกับตัวตนในอุดมคติ
แน่นอนว่าคริชเองก็เป็นมนุษย์ —— บางครั้งเธอก็แอบคิดว่า แค่นี้ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ถ้ามันอดใจไม่ไหวก็ช่วยไม่ได้นี่นา
ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่น็อตในหัวของคริชนั้นไม่ปกติ
ทำให้เธอประเมินตัวเองสูงเป็นพิเศษ และนั่นหมายความว่าเธอจะไม่อนุญาตให้ตัวเองมีจุดบกพร่องใดๆ
“คือว่า มันมีกระต่าย บังเอิญผ่านมา….คริชเลยลองเล็งดู เอ่อ…. แล้วก็ ทะ ท่านพ่อน่าจะเหนื่อยจากการล่าสัตว์ทุกวัน ก็เลย… คริชก็เลยคิดว่ามันน่าจะดีถ้าได้กินเนื้อเพิ่ม เอ่อ…”
——คริชไม่ได้ตะกละ คริชแค่อยากจะช่วย
เธอไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับความอยากอาหารเลยซักนิด ทั้งหมดก็เพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ที่ดูแลเธอมาเป็นอย่างดี
แม้จะพยายามอธิบายสิ่งเหล่านั้นออกมาอย่างหนักแน่น แต่เธอยังรู้สึกผิดอยู่แก่ใจว่าตัวเองกำลังทำเรื่องน่าขายหน้า ผลลัพธ์ที่ได้ คือคำพูดตะกุกตะกักที่ฟังยังไงก็รู้ว่าเป็นคำแก้ตัว
“สะ สรุปแล้ว คริชแค่อยากจะช่วยท่านพ่อ…”
แต่สำหรับคริช มันคือการอธิบายที่สมบูรณ์แบบ
และเธอมั่นใจมากว่าพวกเขาจะต้องไม่คิดว่าเธอเป็นคนตะกละอย่างแน่นอน
“คุคุ เข้าใจล่ะๆ เป็นเด็กดีจังเลยนะ”
คุณตากาเรนยิ้มให้คริชอย่างขบขัน
แน่นอนว่าคำแก้ตัวของเธอใช้ไม่ได้ผลกับพวกผู้ใหญ่ พวกเขาแค่ปล่อยเธอไปเพราะมันตลกดีที่เห็นเธอพยายามคิดหาข้ออ้าง
คริชเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงหัวเราะทุกครั้งที่เธอแก้ตัว
“เอเฮะเฮะ ขอบคุณค่ะ”
คริชยิ้มอย่างมีความสุข โดยไม่รู้ตัว เธอเชื่ออย่างสนิทใจว่าข้ออ้างของเธอได้ผล
กาเรนยิ้มให้กับความพยายามที่ดูน่าขบขันของหลานสาว ก่อนจะหยิบธนูทำมือของเธอขึ้นมาดู —— ในขณะที่ชายอีกคน พ่อของเธอยืนนิ่งงันด้วยความสับสน
หลังจากที่ปะติดปะต่อความคิดทั้งหมด กอร์คาก็เอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
“….กระต่ายนั่น ฝีมือคริชเหรอ?”
“ค่ะ ตอนนี้คริชกำลังรีดเลือดอยู่”
เมื่อได้ยินคำตอบ เขาขมวดคิ้วแล้วจ้องมองที่คริช
“ใครเป็นคนสอนลูกน่ะ พ่อจำไม่ได้ว่าเคยสอนลูกนะ…”
“….? คริชเคยเห็นท่านพ่อทำมาหลายครั้ง”
เมื่อเห็นคริชเอียงคอด้วยความสงสัย กอร์คาถึงกับหลุดปากพึมพำกับตัวเอง เป็นไปไม่ได้
แน่นอนว่าเขาเคยให้คริชดูเขายิงธนูหลายครั้ง
แต่มันก็แค่นั้น
เขาไม่เคยตั้งใจจะสอนเธอใช้ธนูเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีแล้วคริชเป็นแค่เด็กผู้หญิง จะให้มาเป็นนักล่าไม่ได้อยู่แล้ว
“คริชแค่เรียนรู้จากการสังเกตเลยยังไม่เก่งเท่าท่านพ่อ แต่อย่างน้อยตอนนี้คริชยิงธนูให้ตรงเป้าได้แล้ว อิฮิฮิ”
เขาหันไปมองที่กระต่ายตัวนั้น มันมีลูกธนูทะลุผ่านคออย่างงดงาม
สำหรับพรานป่าฝีมือดีอย่างกอร์คา ต่อให้เขาไม่ได้เห็นตอนเธอยิง
แค่ดูจากตำแหน่งและความลึกของลูกธนูก็บอกได้เลยว่าเธอมีความสามารถแค่ไหน
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรง
“…..แค่เห็นหลายๆครั้งงั้นเหรอ”
กอร์คารู้ดีถึงความสามารถในการเรียนรู้อันน่าสะพรึงกลัวของคริช
แต่เมื่อได้มาเห็นกับตา ได้เห็นทักษะเขาที่ขัดเกลามานับแรมปีถูกเรียนรู้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ
คริชคงจะสลัก ‘ท่ายิงธนูที่เธอเคยเห็น’ ไว้ในความทรงจำ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั้งตกผลึกออกมาเป็นทักษะของเธอเอง
ทั้งวิธีที่กอร์คาถือธนู ท่วงท่าการยืน และการผ่อนลมหายใจ เธอจำมันได้ทั้งหมด ทำความเข้าใจและจับจุดสำคัญได้จากการเห็นเพียงไม่กี่ครั้ง
เธอมีสติปัญญาและพรสวรรค์ที่ไม่ปกติ
แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจ แต่เขาก็หยุดความกังวลในอกไม่ได้
กาเรนเอ่ยปากพูด โดยทิ้งกอร์คาที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดไว้
“คริช หลานทำธนูนี่ขึ้นมาเรอะ?”
“ค่ะ ถึงจะไม่ใช่ของดีอะไร แต่อย่างน้อยก็พอใช้ล่ากระต่ายได้”
“หลานพลาดนิดหน่อยเรื่องการเลือกไม้นะ ถึงจะตัดออกมาได้สวย แต่ก็ต้องใส่ใจเรื่องการมัดปมและสายธนูด้วย ไว้ครั้งหน้าตาจะทำให้ดูก็แล้วกัน”
“เอเฮะเฮะ…. ขอบคุณมากค่ะ”
คริชยิ้มเมื่อกาเรนลูบหัวเธอ ก่อนจะหันนัยน์ตาสีม่วงไปยังกอร์คา
“….มีอะไรเหรอคะ? ท่านพ่อ”
“อ๋อ เปล่าหรอก…..คริช ลูกไม่ได้เข้าป่าลึกเกินไปใช่มั้ย?”
“ค่ะ ตามที่ถูกห้ามไว้ กระต่ายก็จับได้จากแถวๆนี้”
“มันมีตำนานเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในป่าลึก พ่อรู้ว่าลูกฟังเรื่องนี้จนเบื่อแล้ว แต่ก็ระวังตัวด้วยนะ”
“ได้ค่ะ ท่านพ่อ”
น่าจะได้เวลาแล้ว ขณะที่เธอพยักหน้าอย่างว่าง่าย คริชหยิบมีดออกมา และกรีดไปตามที่ท้องและขาของกระต่าย
เธอที่กำลังอารมณ์ดี ตั้งใจจะชำแหละเครื่องในออกมา แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะเครื่องในไม่ได้ออกมาง่ายอย่างที่คิด
“…อืมม?”
“คริช หลานทำพลาดไปนิดหน่อยนะ ถ้าจะถลกหนังกระต่ายต้องเริ่มจากตรงนี้—-“
กาเรนเข้าไปช่วยเธอพลางหัวเราะเบาๆ และชำแหละกระต่ายอย่างง่ายดาย
“…อย่างนี้นี่เอง”
คริชมองด้วยความประทับใจ
——- แต่กอร์คาสังเกตเห็นแววตาอันผิดมนุษย์ที่สะท้อนออกมา ราวกับงูที่กำลังจ้องเหยื่อ
นัยน์ตากลมโตของคริชนั้นงดงาม แต่บางครั้งกอร์คาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวจากดวงตาสีม่วงคู่นั้น
เมื่อไรก็ตามที่เธอกำลังสังเกตอะไรบางอย่าง คริชจะจดจ่ออยู่กับมันราวกับกำลังหลุดเข้าไปในห้วงความคิด
เหมือนกับในครั้งนั้น ตอนมีศพเด็กที่ตกลงมาจากหน้าผา มันเป็นภาพที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังต้องผงะ
กอร์คายังจำสายตาที่คริชมองศพที่แหลกละเอียดนั้นได้ แม้จะเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เธอกลับสำรวจพวกเขาอย่างใจเย็นด้วยสายตาผิดมนุษย์นั้น
เมื่อคริชรู้สึกตัวว่ากำลังถูกจ้องมอง
เธอจึงหันกลับไปหากอร์คา แล้วเอียงศีรษะด้วยความฉงน
หลังจากนั้นก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอหน้าแดงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมา
“ถึงจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่คริชยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ….”
เรื่องแค่นี้ยังไงก็ควรทำได้อยู่แล้ว —— จากมาตรฐานสูงส่งที่คริชตั้งไว้กับตัวเอง เธอจึงเข้าใจว่าที่กอร์คามองเธอเพราะว่าเธอทำพลาดในเรื่องง่ายๆ
คริชที่เข้าใจความหมายของสายตานั้นผิดไปอย่างสิ้นเชิง เบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย
มันเป็นท่าทางที่ดูน่ารักน่าชังราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ
เมื่อเห็นลูกสาวทำท่าทีสมวัยแบบนั้น กอร์คาจึงส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดไร้สาระออกจากหัว
“…ตอนที่พ่อยังเด็กก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ทำได้แค่นี้ก็เก่งมากแล้วล่ะ”
“ใช่เลย แต่ก่อนกอร์คาน่ะไก่อ่อนจะตาย เกือบจะถลกหนังมือตัวเองด้วยซ้ำ เทียบกันแล้วคริชยังใจแข็งกว่าเยอะ”
——- ใจแข็งเหรอ
ไม่ ไม่ใช่เลย กอร์คาคิด
แม้กระทั่งตอนนี้ที่เขาเคยชินกับการชำแหละเหยื่อแล้ว เขายังรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ต้องคว้านลำไส้ของสัตว์ที่พึ่งหมดลมหายใจไปไม่นาน การกลั้นใจมองเครื่องในที่กระจัดกระจายออกมาไม่ใช่เรื่องสนุกแม้แต่น้อย
แต่คริชยังคงสงบนิ่งในขณะที่เธอจัดการกับเครื่องในและเปลี่ยนกระต่ายให้กลายเป็นเนื้อ
หรือว่าคริชไม่มีความกลัวแบบคนปกติทั่วไปกันนะ? กอร์คาคิด
“ท่านพ่อ คริชขอช่วยชำแหละหมูป่าด้วยได้มั้ย?”
“…. อา ได้สิ แต่ลูกต้องไปล้างมือก่อนนะ เลือดที่ติดอยู่ในซอกเล็บจะล้างออกยากถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป”
“ได้ค่ะ”
คริชเดินเตาะแตะไปยังแม่น้ำเพื่อล้างเอาคราบเลือดออกจากมือ
ขณะที่มองเธอเดินจากไป กอร์คาก็ส่ายศีรษะ
ไม่ว่ายังไงก็ตาม คริชก็ยังเป็นลูกสาวสุดที่รักของเขาไม่เปลี่ยนแปลง
ต่อให้เธอแตกต่างออกไป มันก็เป็นหน้าที่ในฐานะพ่อที่จะต้องยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น
เมื่อคิดได้เช่นนั้น กอร์คาก็นึกสมเพชตัวเองที่หวาดกลัวเธอ
ทั้งกอร์คาและเกรซรู้อยู่แล้วว่าคริชนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ
เธอฉลาดและมีไหวพริบ เป็นอัจฉริยะที่ไม่ว่าจะทำเรื่องใดก็ตามก็สามารถจับเคล็ดได้อย่างรวดเร็ว
แต่ในทางกลับกัน เธอไม่ถนัดเรื่องการสื่อสาร เธอตีความคำพูดออกมาตามความหมายที่ตรงตัวเท่านั้น และบ่อยครั้งที่จะเกิดความเข้าใจผิดแม้กระทั่งในบทสนทนาทั่วไป
เพราะเธอฉลาดเกินไปงั้นเหรอ? หรือมีเหตุผลอื่นกันนะ?
เขารู้ตัวดีว่ามีหลายคนในหมู่บ้านที่มองว่าคริชประหลาด
เขาและเกรซมักจะพูดคุย บางครั้งก็โต้เถียง และพยายามหาทางออก ที่จะช่วยให้ลูกสาวของพวกเขาอยู่ร่วมกับคนอื่นๆได้
จะยอมรับทั้งในด้านดีและด้านแย่ พวกเขาจะรักและเลี้ยงดูเธอราวกับลูกแท้ๆของตัวเอง
สำหรับพวกเขาที่ไม่มีโชคเรื่องลูก คริชนั้นเปรียบเสมือนพรจากพระเจ้า
แม้ตอนนี้พวกเขาจะเข้าใจแล้วว่าเธอนั้นไม่ปกติ
แต่สิ่งที่สำคัญคือ ทั้งกอร์คาและเกรซมีชีวิตที่มีความสุขมากตั้งแต่รับคริชเข้ามา
——ไม่ว่าเธอจะแตกต่างแค่ไหน ได้โปรดให้เธอได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจและสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นๆได้ทีเถอะ
ด้วยความคิดเช่นนั้น กอร์คาเฝ้ามองลูกสาวของเขาพลางตัดสินใจอย่างแน่วแน่
_________________________________________________________________
เช่นเดียวกับหินเกลือที่ได้จากเหมือง
เหยื่อที่ได้จากการล่าก็จะถูกแบ่งในฐานะทรัพย์สินของหมู่บ้าน เนื้อที่ล่ามาได้จะถูกส่งให้กลุ่มผู้หญิงในโรงแล่เนื้อ ที่นั่นมันจะถูกแปรรูปด้วยกรรมวิธีต่างๆ เช่น การตากแห้ง หรือบ่ม ก่อนจะแจกจ่ายให้ทุกๆคนในหมู่บ้าน
แต่ถ้าทุกอย่างที่ล่าได้กลายเป็นของส่วนกลาง พรานป่าก็จะขาดความกระตือรือร้นในการล่า
ดังนั้นพรานป่าจึงได้รับสิทธิพิเศษในการนำเนื้อบางส่วนที่ตนล่ามาได้กลับบ้าน ส่วนมากจะเป็นส่วนเนื้อติดมันที่เสียง่าย
โดยปกติแล้วเนื้อหมูป่าจะอร่อยขึ้นเมื่อตากและบ่มไว้จนได้ที่
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรออีกสามวันถึงจะได้เพลิดเพลินไปกับส่วนแบ่งที่ได้มา
แต่สำหรับสัตว์เล็กๆอย่างกระต่ายหรือนกนั้นเป็นข้อยกเว้น
พวกสัตว์ใหญ่อย่างกวางและหมูป่านั้นมีแค่พรานป่ามืออาชีพที่จะสามารถล่ากลับมาได้ แต่ถ้าเป็นกระต่ายหรือนก ต่อให้เป็นเด็กก็สามารถจับกลับมาได้อย่างปลอดภัย ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะอนุญาตให้นำกลับบ้านได้เลย
มันเป็นกฎที่รู้กันในหมู่พรานป่าว่าห้ามเข้าป่าเพื่อล่าแต่สัตว์เล็ก พวกมันถือเป็นแค่ของแถมเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้พรานป่าที่ล่าแต่สัตว์เล็กมักจะโดนดูถูก และต่อให้พรานจับสัตว์เหล่านี้ได้ก็จะนำไปให้โรงแล่เนื้อเพื่อแจกจ่ายอยู่ดี ดังนั้นกฎที่ว่าจึงไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด
แต่ครั้งนี้กระต่ายถูกจับโดยคริช ซึ่งไม่ได้เป็นพรานป่า ดังนั้นกระต่ายตัวนี้ย่อมตกเป็นของครอบครัวโดยชอบธรรม
คริชจึงนำกระต่ายกลับบ้านอย่างพึงพอใจ
คืนนั้น เนื้อกระต่ายครึ่งหนึ่งถูกโยนลงหม้อ ส่วนอีกครึ่งนำมาย่างไฟ เป็นเนื้อปริมาณที่หรูหราเมื่อเทียบกับปกติ กระต่ายตัวอ้วนอุดมไปด้วยไขมัน เมื่อนำไปเคี่ยว รสชาติที่ชุ่มฉ่ำก็จะผสมลงไปในซุป และเมื่อนำไปย่างก็จะมีน้ำมันไหลเยิ้มออกมา
กาเรนเองก็ถูกเชิญมาร่วมมื้อเย็นด้วย เมื่อทั้งสี่คนนั่งล้อมวงรอบโต๊ะอาหาร หัวข้อของบทสนทนาก็หนีไม่พ้นเรื่องของคริช
“…. มันเป็นอาหารที่หลานจับเองกับมือเชียวนา อร่อยรึเปล่า?”
“ค่ะ ท่านตา ครั้งล่าสุดที่คริชได้กินกระต่ายคือตอนงานเทศกาล… มันผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่เนื้อกระต่ายก็อร่อยมาก”
เมื่อคริชกัดไปที่น่องของกระต่าย ความรสชาติที่ชุ่มฉ่ำก็กระจายไปทั่วปาก
การผสมผสานระหว่างเกลือ สมุนไพร และเนื้อที่ถูกย่างบนเตาไฟร้อนๆ กำลังร่ายรำอยู่บนลิ้นของคริชและรังสรรค์รสชาติที่แสนวิเศษ
ตอนนี้ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความสุข
ซุปที่ชิมก็อร่อยไม่แพ้กัน
รสของเนื้อที่ละลายออกมาทำให้ซุปมีรสชาติดีและเข้มข้น เหมาะกับการกินคู่กับขนมปังอย่างมาก
“ใช่มั้ยล่า? เอ้า เอาของตาไปด้วยสิ”
“เอ๋ เอ่อ….ดะ ได้คะ”
คริชรับเนื้อจากกาเรนอย่างเก้ๆกังๆ พลางยิ้มบางๆ
กาเรนยิ้มแล้วหันไปพูดกับกอร์คา
“กอร์คา คริชบอกว่าเธอไม่ได้กินมาตั้งนานแล้ว นานๆทีก็เอากระต่ายกลับมาฝากเธอซะบ้างสิ คริชเป็นเด็กกำลังโตนะ”
“อ๊ะ คริชไม่ได้หมายความแบบนั้— “
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่ต้องอายไปหรอก สมัยก่อนตาก็ขอกินข้าวเพิ่มจนพุงกางตลอดนั่นแหละ”
คริชหรี่ตาอย่างมีความสุขเมื่อกาเรนลูบหัวเธอแรงๆ
เกรซหัวเราะอย่างร่าเริง ขณะที่กอร์คาพยักหน้าและครุ่นคิด
“นั่นสินะครับ ผมกับเกรซเป็นพวกกินน้อยเลยไม่ทันสังเกต…. แต่มันอาจจะน้อยไปหน่อยสำหรับคริช”
“ใช่ค่ะ… เห็นอย่างนี้คริชเป็นเจ้าหนูจอมตะกละล่ะนะ เวลาพ่อค้าเร่แวะมาทีไร เธอจะจ้องชีสกับปลาตาเป็นมันตลอดเลย”
“……….เอ๋?”
คริชที่กำลังยัดขนมปังและเนื้อเข้าปากให้เร็วที่สุดเท่าที่จะไม่ดูเสียมารยาท ถึงกับตัวแข็งค้าง ตาเบิกโพลง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
เธอพยายามปฏิเสธด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
“มะ ไม่จริงนะ คริชไม่ใช่เจ้าหนูจอมตะกละ…”
ทั้งสามคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“คริช นี่หลานคิดว่าเราไม่รู้เรอะ”
“หุหุ ลูกนี่น่ารักจังเลยนะ…. ถึงลูกจะตัวเล็ก แต่ทุกคนในหมู่บ้านก็รู้ว่าลูกกินเก่งแค่ไหน”
แก้มสีขาวของคริชเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว เธอเริ่มห่อตัวด้วยความอับอาย
“นะ นั่นเป็นเรื่องโกหก… มันไม่ใช่เรื่องจริง…”
ปกติคริชจะมีข้ออ้างร้อยแปดเพื่อตอบสนองความต้องการของเธอ เธอมักจะสร้างเหตุผลและคำแก้ตัวที่สมบูรณ์แบบเสมอ อย่างน้อยก็ในความคิดของเธอ…
แต่เมื่อได้ยินว่าข้อบกพร่องของเธอเป็นที่ล่วงรู้ไปทั้งหมู่บ้าน
มันทำให้เธอถึงกับช็อค
“ผู้หญิงคนอื่นๆแอบเรียกลูกว่าหนูคริชจอมตะกละด้วยล่ะ”
——มันเป็นภาพลักษณ์ทางสังคมที่ตรงข้ามกับอุดมคติของเธออย่างชัดเจน
คริชน้ำตาคลอเบ้าด้วยความอับอาย หน้าเธอแดงเหมือนลูกแอ๊ปเปิ้ล
เมื่อเห็นท่าทางสมวัยของเธอที่กำลังโอดครวญด้วยความเขินอายนั้น
ทำให้ทั้งสามคนหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ปกติลูกจะทำตัวเป็นคุณหนูผู้สมบูรณ์แบบ แต่พอเห็นแบบนี้แล้วมัน…”
“ที่อดไม่ได้แบบนี้เพราะปกติลูกจะรักษามาดไว้ตลอดล่ะนะ”
ขณะที่ฟังกอร์คาและเกรซพูดคุยกัน กาเรนก็พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“อย่าอายพ่อแม่ไปเลยคริช แค่กินเก่งนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป คริชเองก็ขยันทำงานทุกวัน ไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะ”
“ปะ ปัญหาไม่ใช่เรื่องนั้น…”
สาเหตุหลักของความอยากอาหารที่ไม่รู้จบของคริชมาจากปริมาณการใช้มานาต่อวันของเธอ
มันเป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับผู้ที่มีปริมาณมานาสูงกว่าปกติ
อาหารที่ทานเข้าไปจะถูกย่อยสลายอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนไปเป็นมานา
ในช่วยหลายปีที่ผ่านมา ปริมาณการใช้มานาของเธอเพิ่มสูงขึ้นตามการเจริญเติบโต จนถึงจุดที่ต้องดึงพลังงานจากอาหารไปใช้ทั้งหมด
เพราะนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอกินจุผิดกับรูปลักษณ์ภายนอก มันจึงไม่ใช่เรื่องที่คริชจะสามารถแก้ไขอะไรได้ มันเป็นผลที่สืบทอดผ่านทางสายเลือด เป็นสายเลือดที่ไม่มีอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
ผู้คนในหมู่บ้านจึงไม่มีใครเข้าใจสาเหตุของความอยากอาหารของเธอ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องน่าเศร้าเล็กๆสำหรับคริช
“ตอนเกรซเด็กๆ เธอไม่เคยช่วยงานบ้านเลยซักนิดแถมยังทำตัวเอาแต่ใจอีกต่างหาก หลานเป็นเด็กขยันแต่ขี้อายเกินไปหน่อย อยากได้อะไรก็บอกมาได้นะ ถ้าหิวจะขออาหารเพิ่มก็ได้”
“โธ่ หยุดเลยค่ะ คุณพ่อ”
“มะ ไม่ใช่นะ คริชไม่ได้ตะกละจริงๆนะ… ”
ราวกับไม่อยากยอมรับ คริชยังคงส่ายหน้าและหันไปมองเกรซเพื่อขอความช่วยเหลือ
เมื่อเห็นท่าทีของคริช เกรซก็ขำออกมาเบาๆ
“ฮุฮุ หัวแข็งจริงๆ เอ้า พวกเราไม่แกล้งลูกแล้วก็ได้ เพราะงั้นกินต่อเถอะนะ”
เกรซที่กินอิ่มแล้วลูบหลังคริชเบาๆด้วยรอยยิ้ม
คริชยังคงนั่งเงียบ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความอับอาย ขณะที่ซดน้ำซุปอย่างเก้ๆกังๆ
“ดูสิ พวกคุณสองคนล้อเธอจนเธองอนแล้วเห็นมั้ย”
“แต่คุณเป็นคนเริ่มนี่นา”
“ใช่เหรอ?”
เกรซหัวเราะอย่างสนุกสนาน และพูดต่อ
“เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อน จริงๆเลย ลูกทั้งทำความสะอาดบ้านกับทำอาหารทุกวัน แถมวันนี้ยังออกไปล่าสัตว์ในป่าแล้วได้กระต่ายกลับมาอีก…. นี่จะไม่เหลืออะไรให้แม่ทำแล้วนะ ลูกน่าจะออกไปเล่นข้างนอกให้มากกว่านี้หน่อยนะ”
คริชตอบด้วยใบหน้าที่ยังแดงก่ำและมีน้ำตาคลอเบ้า
“เอ่อ คือว่า… คริชก็ชอบทำความสะอาดกับ ทะ ทำอาหารเหมือนกัน”
คริชพยายามจะสื่อว่าที่เธอทำอาหารเพราะว่าเธอชอบทำ ไม่ใช่เพราะความตะกละ
แต่จากสายตาที่อบอุ่นของทั้งสามคน เธอรู้สึกว่าข้ออ้างนี้ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว
คริชงอนและทำแก้มป่อง แต่เกรซก็ใช้นิ้วจิ้มมัน
“ไม่เอาน่า อย่างอนสิ ฮุฮุ”
“งืออ….”
ปยุ๊วว~ เสียงอากาศถูกปล่อยออกมา พร้อมกับคริชที่ครวญครางด้วยความเขินอาย
และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้งในบ้านหลังนี้
___________________________________________________________
หลังมื้อเย็นจบลง ตอนนี้พวกเธอกำลังอยู่ในป่าพร้อมกับจานอาหาร
คริชและเกรซกำลังมุ่งหน้าไปที่ลำธารที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
พวกเธอจะไปอาบน้ำและล้างจานที่นั่นวันละสองครั้ง
สายน้ำไหลกระทบกันเป็นฟอง ล้อมรอบด้วยป่าใหญ่
แสงจากพระจันทร์เสี้ยวตกกระทบผิวน้ำที่ไหลเอื่อยๆ
ผิวที่งดงามเด็กสาวกำลังถูกทำความสะอาดด้วยมือแม่ของเธอ
ผมสีเงินถูกอาบด้วยแสงจันทร์พร้อมกับผิวที่เปล่งประกายราวหิมะ
เกรซ ที่เปลือยกายเช่นกัน ถอนหายใจขณะที่กำลังอาบน้ำให้คริช
“ลูกนี่สวยจริงๆนะ เหมือนกับนางฟ้าตัวน้อยๆเลย”
“สวยเหรอ?”
โดยไม่มีเศษเสียวของความเขินอาย คริชอ้าแขนและตีน้ำอย่างสนุกสนาน
แม้เธอจะงอนในช่วงมื้อเย็น แต่เมื่อถึงเวลาอาบน้ำ เธอก็กลับมาอารมณ์ดี
เด็กสาวผู้เงียบงันและไม่แสดงอารมณ์ใดๆ—— นั่นเป็นสิ่งที่คนอื่นๆพูดถึงคริช
แต่สำหรับเกรซ การแสดงออกของเธอนั้นมากมายและหลากหลาย
เกรซยิ้มและพยักหน้าพลางมองคริชที่กำลังเล่นน้ำเหมือนเด็กๆ
“ใช่แล้ว มากๆเลย คริชสวยที่สุดในโลก เหมือนกับเจ้าหญิงเลยล่ะ”
“เอะเฮะเฮะ”
คริชเข้ามาเกาะเกรซแล้วซุกไปที่หน้าอกของเธอ
เกรซสางผมคริชเบาๆ พลางปูผ้าบนพื้นหญ้าแล้วขึ้นไปนั่ง โดยแช่เท้าไว้ในแม่น้ำ
เธอให้คริชนั่งบนตักและเช็ดเส้นผมสีเงินให้แห้งก่อนที่คริชจะหนาว
ขณะที่เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน เกรซก็ยิ้มออกมา
“ดูนู่นสิ พระจันทร์วันนี้เหมือนชื่อคริชเลยนะ เป็นคริชที่สวยมากเลยล่ะ”
“……?”
คริชเงยหน้ามองท้องฟ้าและเอียงคอด้วยความสงสัย
เกรซพูดต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“พระจันทร์เสี้ยวที่ไม่สมบูรณ์แบบ ในภาษาโบราณ เรียกว่าคริช มันเป็นพระจันทร์แบบเดียวกับในวันที่กอร์คาขอแม่แต่งงาน…. เพราะมันงดงามมาก แม่เลยตั้งใจจะตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อของมัน”
“อย่างนี้นี่เอง”
“….ลูกดูไม่สนใจเท่าไหร่เลย”
เกรซงอนเล็กน้อย พลางใช้มือสองข้างประกบแก้มของคริชขึ้นมา
“มันเป็นเหมือนเครื่องรางนำโชค ว่าซักวันนึงลูกจะได้พบความสุขแบบที่แม่มี”
“เครื่องราง?”
“ใช่แล้ว เหมือนกับตอนที่แม่ได้เจอกับกอร์คา ลูกอาจจะได้พบคนแบบนั้น แต่นั่นอาจจะเร็วไปซักหน่อยสำหรับลูกล่ะนะ ฮุฮุ”
คริชเอียงคอด้วยความสงสัยอีกครั้งขณะจ้องมองท้องฟ้า
พระจันทร์บนฟ้าก็เป็นแค่พระจันทร์ เป็นพระจันทร์แหว่งๆ แสงสว่างเลยน้อยกว่าปกติ นั่นคือทั้งหมดที่เธอเข้าใจ —— เธอไม่รู้ว่ามันสวยตรงไหน
จริงอยู่ที่พระจันทร์ไม่ได้สกปรก* แต่มันก็เป็นแค่ตัวแยกความแตกต่างระหว่างวันที่ฟ้าโปร่ง กับวันที่เมฆครึ้มเท่านั้น
(ในภาษาญี่ปุ่นคำว่าสวย-kirei อาจแปลว่าสะอาดได้ด้วย)
เธอจึงไม่เข้าใจความหมายที่เกรซบอกว่ามันเป็นเครื่องราง และเอียงคออย่างสับสน
“อืมม มันดูเข้าใจยากไปหน่อยสำหรับคริช…”
“ไม่ต้องคิดมากก็ได้นะ…. ซักวันนึง คริชก็จะเข้าใจเอง”
อย่างนั้นเหรอ? คริชเริ่มสับสนมากกว่าเดิม เกรซหัวเราะแล้วอุ้มคริชให้ลุกขึ้นยืน หลังจากเช็ดตัวคริชจนแห้ง เกรซก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“พรุ่งนี้ลูกจะไปซ้อมรึเปล่า”
“ค่ะ เพลบอกให้หนูไปช่วยฝึกเขา”
“ลูกกลายเป็นคุณพี่สาวไปแล้วสินะ…. แม่ไม่ห้ามลูกหรอก แต่ทั้งสองคนต้องระวังตัวไม่ให้บาดเจ็บล่ะ ลูกเกิดมาสวยขนาดนี้ ถ้ามีรอยแผลเป็นคงน่าเสียดายแย่”
“ท่านแม่ ไม่ต้องบอกทุกครั้งก็ได้ คริชน่ะ—-”
“ก็แม่เป็นห่วงนี่นา มานี่ ยกแขนขึ้น”
เมื่อคริชยกแขนอย่างว่าง่าย เกรซก็จัดการสวมชุดกระโปรงและส่งชุดชั้นในให้ จากนั้นก็จูบที่หน้าผากเบาๆ
“พ่อแม่ก็เป็นแบบนี้แหละ ทำใจซะ”
“มูวว โอเคค่ะ…”
คริชทำแก้มป่องขณะรอเกรซใส่เสื้อผ้า ก่อนจะคล้องแขนกัน ทั้งคู่เดินจูงมือและยิ้มให้กันโดยไม่ได้เอ่ยพูดอะไร
เป็นชีวิตประจำวันที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและสงบสุข แม้จะมีเรื่องขัดใจบ้างเล็กๆน้อยๆ
เป็นชีวิตที่เรียบง่ายแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข คริชที่ได้รับความรักจากพ่อแม่นั้น ไม่เคยรู้สึกไม่พอใจกับชีวิตที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย
เธอแค่อยากให้คืนวันแบบนี้ดำเนินต่อไปตลอดกาล
“เอาล่ะ รีบกลับกันดีกว่า แม่ไม่อยากทิ้งกอร์คอให้รอนานเกินไป”
“ได้ค่ะ”
แต่นั่นจะเป็นวันสุดท้ายที่เธอได้ใช้ชิวิตร่วมกับครอบครัวของเธอในหมู่บ้านแห่งนี้
======================================================
TL Note: สวัสดีครับ ผมพึ่งเคยมาแปลนิยายลงเว็บครั้งแรก เพราะยังงงๆกับระบบอยู่ กว่าจะได้มาแนะนำตัวก็ปาไปบทที่สองซะแล้ว 55555
เนื้อหา 90% จะแปลมาจากเวอร์ชั่นอังกฤษอีกที เพราะงั้นถ้ามีส่วนไหนผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับต้องขออภัยด้วยนะครับ
ตอนแปลบทแรกคิดว่ายาวแล้ว เจอบทสองเข้าไป ยาวกว่าบทแรกอีกเกือบเท่าตัว ผมนี่แทบกระอักเลย
แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นมุมน่ารักๆของหนูคริชมากขึ้นกว่าเดิม
ทางนี้ตั้งใจจะลงให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละตอน ยังไงก็ขอฝากนิยายแปลเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจกันด้วยนะครับบ