ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 19 การปฏิวัติและป้อมปราการอันชั่วร้าย
- Home
- All Mangas
- ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป
- ตอนที่ 19 การปฏิวัติและป้อมปราการอันชั่วร้าย
บทที่ 19 การปฏิวัติและป้อมปราการอันชั่วช้า
แม้ว่ากองทัพของราชอาณาจักรและจักรวรรดิจะมีโครงสร้างบางส่วนที่แตกต่างกัน แต่ทหารส่วนมากของทั้งคู่มักเป็นอาสาสมัคร ในขณะที่บางประเทศ ประชากรชายจะต้องเกณฑ์ทหารแทนการจ่ายภาษี แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เหล่าทหารจะถูกบรรจุเป็นกำลังพลสำรองหลังผ่านการฝึกซ้อมร่วมเดือน และจะต้องกลับมารับการฝึกเป็นเวลาหนึ่งเดือนในทุกๆปี (มักจะเป็นช่วงฤดูหนาวหลังการเก็บเกี่ยว)
หากมีสงครามเกิดขึ้น พวกเขาจะถูกเรียกตัวไปเป็นกำลังรบ แต่พวกเขาก็จะได้รับเงินตอบแทนและไม่ต้องกังวลเรื่องมื้ออาหารระหว่างการฝึก ดังนั้นทหารส่วนใหญ่จึงมาจากครอบครัวที่ยากจน
ในกองทัพคริสแตนด์ ทหารยศสิบโทขึ้นไปจะยึดอาชีพทหารเป็นงานหลัก บางคนเคยเป็นพลทหารธรรมดาที่ได้เลื่อนขั้นและกลายเป็นทหารเต็มตัว ในขณะที่ทหารยศสิบโทของจักรวรรดิยังเป็นแค่กำลังพลสำรองอยู่
ซึ่งความแตกต่างนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเรื่องการเงิน
ในกรณีของกองทัพคริสแตนด์ เงินหมุนเวียนในกองทัพส่วนใหญ่เป็นเงินสนับสนุนจากประเทศ
นอกจากนี้ ตัวโบแกนเองก็นำรายได้จากการขุดเหมืองและทำการเกษตรในที่ดินของเขามาใช้ว่าจ้างทหารชั้นล่างรวมถึงทหารยศสิบโทให้มาปฏิบัติหน้าที่เป็นงานประจำ
โบแกนสร้างผลงานมากมายในการรบที่ผ่านมา แต่เขากลับอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เดี่ยวหลังเล็กๆโดยมีคนรับใช้เพียงคนเดียวและทุ่มทรัพย์สินส่วนตัวเกือบทั้งหมดเพื่อสนับสนุนกองทัพ
โบแกนจึงเป็นทั้งทหารตัวอย่างและเป็นขุนนางส่วนน้อยที่อุทิศตนต่อหน้าที่ เขาเชื่อว่าผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับมามีไว้เพื่อเติมเต็มความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับและใช้มันไปกับกองทัพด้วยความเต็มใจ ซึ่งนั่นช่วยให้การทำหน้าที่ของเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผู้ติดตามของโบแกนหลายคนก็ยึดถือเขาเป็นแบบอย่าง และใช้เงินส่วนตัวในการสนับสนุนทหารของตนเองเช่นกัน นั่นทำให้ความแข็งแกร่งของกองทัพคริสแตนด์ไม่เคยลดน้อยถอยลง
ถึงกองทัพของคริสแตนด์ค่อนข้างโดดเด่นในเรื่องเงินสนับสนุน แต่นายพลคนอื่นๆก็มีวิธีการจ้างงานที่คล้ายกัน เลยอาจเรียกได้ว่ามันเป็นมาตรฐานของที่นี่
พวกเขาจะให้ความสำคัญกับความสามารถและคุณภาพของกองทัพ
นั่นคือจุดแข็งของกองทัพราชอาณาจักร
ในขณะที่จักรวรรดิ์มีอาณาเขตกว้างขวางและความแข็งแกร่งของกองทัพก็ขึ้นกับขุนนางที่ปกครองดินแดนนั้นๆ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพของทหารอยู่มาก
เนื่องจากขุนนางสามารถเข้าร่วมสงครามได้หากได้รับอนุญาต คุณภาพระหว่างทหารจากพื้นที่ชั้นในและพื้นที่ชั้นนอกจึงแตกต่างกันอย่างมาก (พื้นที่ชั้นในหมายถึงดินแดนที่อยู่ติดกับพื้นที่ที่องค์จักรพรรดิ์เป็นผู้ปกครอง)
อย่างไรก็ตาม ศาสนจักรเป็นผู้กุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจและการเมือง เมื่อพวกเขาประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์ เหล่าขุนนางจะต้องรวบรวมกำลังรบ สร้างเป็นกองทัพขนาดใหญ่ในระยะเวลาอันสั้นและบุกเข้าโจมตีในนามของพระผู้เป็นเจ้า
ศาสนจักรตั้งใจจะยึดครองดินแดนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้อันอุดมสมบูรณ์ของราชอาณาจักรในระหว่างความโกลาหลจากการแย่งชิงบัลลังก์
พวกเขาประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์และรวบรวมกำลังพลกว่าหนึ่งแสนนายจากขุนนางฝั่งตะวันตก
โดยศาสนจักรได้มอบเงินสนับสนุนให้แก่เหล่าขุนนาง แต่จะเก็บเกี่ยวกำไรจากดินแดนที่ยึดมาได้ไว้แทน
ซึ่งเหล่าขุนนางเองก็ยินดีกับการประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาจะได้รับเงินทุนในการขยายดินแดนและยอมร่วมมือกับขุนนางเพื่อนบ้านที่เคยเขม่นกันมาตลอด
ความแตกต่างด้านจำนวนเป็นข้อได้เปรียบในสนามรบ นี่เป็นสิ่งแรกที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้เมื่อพูดถึงสงคราม
ตราบใดที่ผลประโยชน์ได้รับการจัดสรรอย่างชัดเจน เหล่าขุนนางก็พร้อมจะจับมือกับคนอื่นๆและเข้าร่วมทัพใหญ่สำหรับการบุกโจมตี
กองทัพราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอและสร้างเส้นทางลำเลียงที่มั่นคง ในขณะที่กองทัพจักรวรรดิที่แม้จะมีความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพ แต่จะมุ่งเป้าไปที่การสร้างกองทัพขนาดใหญ่และรวบรวมเสบียงจากการปล้น
มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าวิธีไหนมีประสิทธิภาพมากกว่าในแต่ละยุคสมัย แต่ทว่าในศึกครั้งนี้ ความแตกต่างด้านโครงสร้างของกองทัพทำให้จักรวรรดิสามารถเข้ารุกรานดินแดนฝั่งตะวันออกของราชอาณาจักรได้สำเร็จ
========================================
ครูทเป็นแค่ชาวนาจนๆคนหนึ่งและตอนนี้เขาได้มาเป็นพลทหารในกองทัพจักรวรรดิอันเกรียงไกร—— เขาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังฝ่ายเหนือที่นำโดยนายพลซาร์เชนคาผู้โด่งดัง
ครูทเป็นลูกชายคนที่สามของครอบครัวชาวนาเล็กๆ เขาเบื่อชีวิตที่ยากลำบากในหมู่บ้านและการเห็นพ่อแม่ของเขาถูกขูดเลือดขูดเนื้อจากภาษี เขาจึงตัดสินใจมาสมัครเป็นทหาร
เป็นภูมิหลังธรรมดาๆสำหรับทหารคนหนึ่ง
ทหารไม่ได้มาเป็นทหารเพราะพวกเขาอยากจะเป็น แต่เพราะพวกเขาไม่มีทางเลือก
นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทหารของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลส์เรน
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของจักรวรรดิ์ก่อให้เกิดความอดอยากและงานของคนจนคือการสมัครเป็นทหาร
และเพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่านี้
‘สงครามศักดิ์สิทธิ์’ —— การปล้นฆ่าในนามของพระเจ้า จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะให้หมากตัวปัญหาเหล่านี้ได้ทำประโยชน์เสียบ้าง
‘ห้ามกระทำการสังหารหมู่ในเมืองที่มีจำนวนประชากรเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้’
นั่นคือสิ่งที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาศักดิ์สิทธิ์ ทว่ามันไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัญหาเรื่องมนุษยธรรม
แต่เป็นเพราะในเมืองใหญ่มีช่างฝีมือ นักปราชญ์ และพ่อค้าอาศัยอยู่ กฎนี้จึงถูกตั้งขึ้นเพื่อไม่ให้ทรัพยากรมนุษย์อันมีค่าถูกสังหารในระหว่างการปล้น ยกตัวอย่างเช่น การตายของพ่อค้าจะนำมาซึ่งการประท้วงของกลุ่มคนรวย ซึ่งจะเป็นปัญหาในการจัดระเบียบบ้านเมืองหลังสงครามได้
เหล่าพ่อค้ามักจะทำงานร่วมกันเพื่อรักษาความมั่นคงด้านการเงิน ดังนั้นถ้าพวกเขาฆ่าพ่อค้าในประเทศอื่น ก็จะส่งผลกระทบต่อการค้าในประเทศของตนเองด้วย
นั่นเป็นสาเหตุให้สนธิสัญญาศักดิ์สิทธิ์สั่งห้ามการกระทำเหล่านั้นภายในเมือง แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่หมู่บ้านเล็กๆที่ไม่เข้าเงื่อนไขจะไม่ได้รับการปกป้อง
หมู่บ้านต่างๆในพื้นที่ที่ถูกยึดครองกลายเป็นผู้รับเคราะห์จากกฎข้อนี้ มันเป็นข้อตกลงที่รู้กันดีในหมู่ทหารว่าหมู่บ้านคือสถานที่ที่ใช้ระบายความเกรี้ยวกราด
ซึ่งชายหนุ่มอย่างครูทก็หลงก้าวเข้ามาสู่นรกนี้โดยไม่รู้ตัว
ในระหว่างการฝึกอันทรหด มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทหารรุ่นพี่จะเล่าเรื่องการปล้นฆ่าในช่วงสงคราม
ถึงการฝึกจะโหด แต่ในระหว่างสงครามใครจะทำอะไรก็ได้ จะข่มขืนสาวงามในหมู่บ้านที่ไม่เคยชายตามองก็ได้ จะขโมยของมีค่าตามใจต้องการก็ได้ ถึงทุกอย่างจะเลวร้ายแค่ไหน แต่นั่นเป็นโอกาสเดียวจะใช้ชีวิตสุขสำราญตามใจอยาก
ถึงครูทจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่ลึกๆในใจเขาเป็นคนมีศีลธรรม
เขามีมุมมองต่างออกไปจากรุ่นพี่
ครูทไม่ต้องการความจริงที่ดำมืด—— แต่เขาหลงใหลในตำนานของวีรบุรุษ
เขาไม่ได้เข้าร่วมการฆ่าข่มขืนในศึกครั้งนี้และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้เพื่อข่มความรู้สึกขยะแขยงที่อัดอั้นอยู่
เสียงกรีดร้องยังดังติดอยู่ในหู เขาไม่อยากจะเชื่อว่าคนอื่นๆสามารถสังหารชาวบ้านไร้ทางสู้และทำเหมือนพวกเขาเป็นของเล่นได้ลงคอ
ภาพน่าสยดสยองของการข่มขืนที่คนทั้งคนถูกปฏิบัติราวกับเป็นสิ่งของยังคงแผดเผาในดวงตาของเขาและทำให้เขานอนไม่หลับไปหลายวัน
มีเพียงหัวหน้าของเขา สิบโทออร์ซาน ที่คอยปลอบใจ
ออร์ซานเก่งเรื่องการใช้ดาบ เขาเป็นชายที่กล้าหาญและแน่วแน่
ปกติเขาเป็นคนสบายๆและร่าเริง หยาบคายนิดหน่อยและชอบคุยแต่เรื่องในซ่อง
ครูทคิดว่าออร์ซานจะต้องเข้าร่วมการปล้นฆ่าแน่ๆ แต่จริงๆแล้วเขากลับเป็นชายที่น่ายกย่องและเกลียดการข่มขืนเป็นที่สุด นั่นทำให้ทัศนคติที่ครูทมีต่อออร์ซานเปลี่ยนไป
“…เมื่อนานมาแล้ว หมู่บ้านของฉันก็เคยโดนเผาเหมือนกัน จริงๆฉันเป็นคนของราชอาณาจักรมาก่อน แต่ว่าตอนนั้นหมู่บ้านของฉันยอมให้ทหารจักรวรรดิ์มาหลบซ่อนตัว พอความแตกหมู่บ้านก็เลยโดนเผา”
ออร์ซานเล่าอดีตของเขาให้ครูทฟัง
การจับกุมและคุมขังทหารของศัตรูในฐานะนักโทษเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่การให้ที่หลบภัยถือเป็นการทรยศต่อราชอาณาจักร
หมู่บ้านจึงถูกเผาเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู—— เป็นที่รู้กันว่าการข่มขืนชาวบ้านก็สามารถทำได้
แต่ทหารนายร้อยที่ถูกส่งมาเพื่อเผาที่นี่ กลับเดินมาที่กลางหมู่บ้านและป่าวประกาศให้ชาวบ้านรีบหนี
ผู้เสียชีวิตจึงมีแค่คนเลือดร้อนบางคนที่พยายามสู้กลับเท่านั้น
ออร์ซานเล่าว่านายร้อยคนนั้นคงลังเลที่จะเผาหมู่บ้าน
และต้องขอบคุณเรื่องนั้นที่ทำให้เขาสามารถหนีมาที่จักรวรรดิและได้ทำงานเป็นทหาร
“ในตอนแรกฉันเคียดแค้นเขา… แต่พอเวลาผ่านไป ฉันก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ถ้าวันนึงฉันได้เลื่อนขั้นเป็นนายร้อย ฉันก็อยากจะเป็นแบบเขา เท่ใช่มั้ยล่ะ? ……แต่สุดท้ายก็ติดแหง่กอยู่ที่ยศสิบโทแบบนี้”
ออร์ซานพูดออกมาราวกับเด็กหนุ่มที่กำลังเล่าเรื่องราวของฮีโร่ที่เขาหลงใหล
ครูทเองก็นับถือเขา
ในสงครามมีเพียงการฆ่าหรือถูกฆ่า
แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องละทิ้งความเป็นมนุษย์
ออร์ซานเป็นเหมือนผู้กล้าที่ครูทจินตนาการไว้ไม่มีผิด
ในคืนนั้น พวกเขาฝึกซ้อมด้วยกันภายใต้แสงจันทร์และฟังเรื่องเล่าสัพเพเหระของออร์ซานไปด้วย
ครูทได้รู้จักกับเพื่อนคนอื่นๆของออร์ซานละพบว่าพวกเขาไม่ได้เป็นแบบที่คิดไว้เลย พวกเขาเป็นคนรักษากฎระเบียบ เป็นทหารที่ดี
ครูทจึงตัดสินใจว่าจะก้าวต่อไปพร้อมกับพวกเขา และซักวันหนึ่งเขาจะเลื่อนขั้นแล้วปฏิวัติความเน่าเฟะในกองทัพนี้
นั่นเป็นเป้าหมายของเขา
ทุกๆคนต่างหัวเราะและตบไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างครูท พร้อมกล่าวชื่นชมในความทะเยอทะยานของเขา
ในที่สุดครูทก็ได้เจอที่ที่เขาควรอยู่ ร่วมกับสหายที่แสนอบอุ่นเหล่านี้
และในวันนี้——
“เฮ้ย เฮ้ย อย่าเกร็งนักสิ ไม่เป็นไรน่า ไม่มีธนูดอกไหนยิงมาถึงตรงนี้ได้หรอก”
“ผะ ผมรู้น่า หัวหน้า…”
พวกเขากำลังซุ่มอยู่ในแม่น้ำ ซ่อนตัวอยู่ใต้เงามืดริมตลิ่ง
การข้ามแม่น้ำกลายเป็นนรกไปแล้ว
แม่น้ำถูกย้อมเป็นสีแดงฉานและมีซากศพลอยอยู่เต็มไปหมด
เมื่อสามวันก่อน กองทัพจักรวรรดิทำลายเขื่อนได้สำเร็จ
และในวันนี้กระแสน้ำในแม่น้ำมีกำลังลดลง พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะบุกโจมตีเต็มกำลัง
กองทัพของซาร์เชนคาได้รับชัยชนะในการสู้รบที่เขื่อนและยึดพื้นที่บริเวณนั้นได้สำเร็จ
ข้าศึกทางนี้ก็แตกพ่ายและเคลื่อนทัพหนีไปแล้ว—— นั่นเป็นรายงานที่อเลฮาได้รับจากรองนายพล ดาคราชาร์ที่คอยสั่งการกำลังพลที่อยู่บนภูเขา
จักรวรรดิได้เปรียบในด้านจำนวนทั้งบนภูเขาและริมทะเลสาบ
ดาคราชาร์เองก็เป็นนายพลที่เก่งกาจ
แค่นั้นก็แทบจะการันตีชัยชนะแล้ว แต่ทุกอย่างดูราบรื่นเกินไปจนทำให้อเลฮาตั้งข้อสงสัย
อเลฮารู้จักการล่าถอยอย่างมีชั้นเชิงของคริสแตนด์ และเขาไม่คิดว่าคริสแตนด์จะยอมทิ้งจุดยุทธศาสตร์สำคัญไปง่ายๆแบบนี้
หลังจากได้รับรายงาน อเลฮาตั้งใจจะเฝ้าระวังและคอยติดตามสถานการณ์ต่อไปอีกหน่อย
ในแง่นั้น เขาถือเป็นนายพลที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผู้คนรอบตัวของเขาไม่คิดแบบนั้น
พวกเขาเชื่อว่าคริสแตนด์กำลังเพลี่ยงพล้ำและต้องต่อสู้ในศึกที่เขาไม่เต็มใจ
ทุกคนต่างดีใจและกู้ร้องสรรเสริญดาคราชาร์และอเลฮา
อเลฮาเคยสังหารนายพลมากประสบการณ์อย่างคาลเมด้าในระหว่างการบุกโจมตีมาแล้ว
เพราะพวกทหารรู้ว่าเขามีความสามารถแค่ไหน พวกเขาเลยกลายเป็นฝูงแกะตาบอด
พวกเขาเชื่อว่าโบแกน คริสแตนด์ถูกบังคับให้สู้ตามคำสั่งของราชอาณาจักร ซึ่งตอนแรกอเลฮาก็คิดแบบนั้นและนั่นทำให้เขาเริ่มโลเล
บางส่วนในใจของอเลฮาก็รู้สึกเห็นด้วยและคิดว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะเข้าโจมตี
เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาหลงระเลิงกับชัยชนะและหลังจากกุมชัยในศึกบนภูเขาได้ ขวัญกำลังใจของพวกทหารก็ยิ่งพุ่งทะยาน
อเลฮาที่ถูกคลื่นแห่งความเร่าร้อนพัดพาไปจึงตัดสินใจสั่งโจมตีแบบเต็มกำลัง
ครูทได้ประจำตำแหน่งที่ปีกขวาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังที่เข้าตีป้อมปราการ
พวกเขาได้ยินมาว่าลูกสาวของนายพลคริสแตนด์ —— คริช คริสแตนด์ เป็นคนดูแลการสร้างป้อมประการบิดเบี้ยวนี้ด้วยตัวเธอเอง
แต่มันดูอ่อนแอเสียจนชวนคิดว่าแค่มีลมพัดแรงๆก็คงพังลงมาเอง
เมื่อคืนพวกทหารยังคุยกันสนุกปากว่าการบุกป้อมนี้มันง่ายยิ่งกว่าแย่งลูกอมจากมือเด็กซะอีก
บางคนถึงกับพูดเรื่องหยาบโลนว่าจะจับลูกสาวของคริสแตนด์ทั้งสองคนเปลื้องผ้า
แต่เมื่อได้ยืนอยู่ต่อหน้าลูกธนูที่โปรยปราย สำหรับครูท ป้อมปราการนี้ดูแข็งแกร่งราวกับปราสาทสูงตระหง่าน
เขาพยายามอย่างสิ้นหวังที่จะหยุดร่างกายไม่ให้สั่นกลัวและหายใจเข้าลึกๆ
“กลัวเหรอ?”
“ผะ ผมไม่ได้กลัวซักหน่อย…”
“ฮะฮ่าฮ่า งั้นเรอะ แต่ฉันไข่หดหมดแล้วนะ เฮ้ย แล้วแกล่ะว่าไง”
ออร์ซานส่งเสียงเรียกชายที่อยู่ถัดจากเขา ชายคนนั้นที่เป็นสิบโทเหมือนกันหัวเราะและพยักหน้า
“เออสิ ตะกี้พึ่งฉี่ราดไปเนี่ย”
“หยะแหยงว่ะ… ก็นะ ยังไงก็เหอะ มีแต่คนบ้านั่นแหละที่จะไม่กลัวในสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกันหมด ทำใจให้สบายเถอะ”
“…ครับผม”
“เฮ้ย พวกที่บุกเข้าไประลอกแรกเป็นไงบ้าง?”
“ล้มเหลว ไปไม่ถึงป้อมด้วยซ้ำ… เหมือนได้ยินใครตะโกนว่าเชือกด้วย”
“แม่งเอ้ย พวกมันทำกับดักไว้ด้วยเรอะ”
ในเวลานั้นเอง สัญญาณจากนายร้อยก็ดังขึ้น
ครูทกำดาบและโล่ในมือแน่นราวกับจะเอาชนะร่างกายที่สั่นกลัว
“——ทุกหน่วย บุก!!”
พวกเขายืนขึ้นและพุ่งขึ้นจากแม่น้ำทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกน
ทั้งความกลัวและความศรัทธาผสมปนเปกันจนทำให้ครูทรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่บนฟ้า
“ไปกัน ออร์ซาน อย่าตายล่ะ”
“เออ แกก็ด้วย ——— เฮ้ย!”
สิบโทที่คุยเล่นกับออร์ซานจนถึงเมื่อกี้ถูกธนูปักเข้าที่เท้า
ถึงจะยกโล่ใหญ่ขึ้นบังเหนือหัวแต่มันก็ไม่สามารถกันการโจมตีได้ทั้งหมด
สิบโทคนนั้นล้มลงและถูกเสียบด้วยลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วน
เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะที่ร่างกายจะแน่นิ่งไป
“…ครูท! ยืนทำบ้าอะไรอยู่! ไปเร็ว!”
“คะ ครับ…”
รอบตัวเขามีทหารที่สะดุดอะไรบางอย่างจนล้มและถูกลูกธนูเสียบตาย
ใครบางคนร้องตะโกนเตือนเกี่ยวกับกับดักที่พื้น
แต่มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะระวังเท้าในขณะที่มีฝนธนูเทกระหน่ำลงมา
“ชิห์”
ออร์ซานเหวี่ยงดาบลงที่พื้นเพื่อตัดเชือกที่ทำจากเถาวัลย์
“ครูท ชูโล่เหนือเหนือหัวเอาไว้ ที่เหลือต้องพึ่งดวงอย่างเดียวแล้ว ไม่ว่าจะเก่งมาจากไหนถึงคราวตายก็ต้องตาย นายเดินระวังพื้นให้ดี—— ไม่สิ ไม่ต้องพูดมากแล้วเดินตามฉันมาก็พอ นั่นคือทั้งหมดที่นายต้องทำ เข้าใจมั้ย”
“คะ ครับผม…!”
ห่างไปไม่ไกล ครูทเห็นนายร้อยของเขาถูกลูกธนูจำนวนมากยิงตาย
เขาเคยเป็นพลทหารธรรมดามาก่อนและมีใบหน้าที่ดุดัน
เขามีทักษะดาบที่แม้แต่ออร์ซานก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ นายร้อยคนนั้นสามารถรับมือกับพลทหารสองคนพร้อมกันได้สบายๆ
แต่เขากลับต้องมาตายอย่างไร้ทางสู้
“อย่าไปมอง เดิน ต่อไป…… มองแค่ข้างหน้า……”
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ครูทเห็น ก่อนที่เขาจะทำตามที่ออร์ซานบอก
ฝืนใจตัวเองให้เชื่อในตัวพวกเขา
ที่หางตาเขาเห็นสหายของเขาค่อยๆล้มลง
แต่เขาพยายามไม่สนใจ
ขอแค่เดินตามออร์ซานต่อไป
“อึก…”
ลูกธนูเฉี่ยวขาของออร์ซานไป เขาคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ยังเดินหน้าต่อ
แต่ลูกธนูก็ยังยิงเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ลูกธนูเฉี่ยวขาของออร์ซานไปอีกดอก
ฟังจากเสียงธนูที่แหวกอากาศและเสียงปะทะจากโล่แล้ว น่าจะมีลูกธนูจำนวนมหาศาลถูกยิงมาที่พวกเขา
ถ้าเงยหน้ามองฟ้าตอนนี้จะเห็นอะไรกันนะ?
ออร์ซานยังวิ่งต่อ
ครูทก็วิ่งตาม
ออร์ซานคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
ครูทยังวิ่งตาม
ออร์ซานล้มลง
ครูทหยุดวิ่ง
“คะ คุณออร์ซาน…”
“ไป ทะ ทิ้งฉันไว้…”
—— โล่ของออร์ซานมีลูกธนูปักจนเหมือนกับเม่น
ลูกธนูสามดอกปักเข้าไปในแขน ที่ไหล่ก็ด้วย ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด —— หัวธนูทะลุออกมาจากร่างที่นิ่งสนิทของออร์ซาน
ครูทมองไปรอบๆ ทุกคนตายกันเกือบหมดแล้ว
ในที่สุดครูทก็รู้ตัวว่าเขาได้กลายเป็นหัวขบวนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เขาไม่เห็นใครในหน่วยของเขาอีกแล้ว
ครูทรู้สึกอุ่นที่หว่างขา
เขาพึ่งฉี่ราดตัวเอง เขาคิดจะหันหลังหนีแต่แม่น้ำช่างอยู่ห่างไกลเหลือเกิน
ในทางตรงกันข้าม ป้อมปราการมรณะนั้นกลับตั้งอยู่เบื้องหน้า
“อะ อะ อา— อ้า!!!!!!!!!!!!!”
ธนูจำนวนมหาศาลกำลังเล็งเป้ามาที่เขา ครูทยกโล่ขึ้นแล้วออกวิ่ง
เป็นความกลัวหรือความกล้ากันแน่ที่ผลักดันให้เขาไปต่อ?
เขาวิ่งผ่านศพออร์ซาน และวิ่งไปให้ไกลขึ้นอีก
ลูกธนูปักลงข้างเท้าของเขา
ถ้าโชคร้ายก็ตาย ไม่มีความจำเป็นต้องหันไปมอง
รั้วกั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขอแค่ปีนข้ามไปได้ก็จะไม่ต้องเจอลูกธนูอีก
“เอ๋?”
จู่ๆครูทก็ลงไปนอนอยู่กับพื้น ที่เท้าของเขามีหญ้าที่ถูกผูกเป็นบ่วงพันอยู่
เขาตะเกียกตะกาย พยายามจะยืนขึ้น
เขาสะดุดล้มอีกครั้ง และเงยหน้าขึ้น
ธนูจำนวนมากยังคงเล็งมาที่เขา
ลูกธนูเสียบทะลุแขนขวา แขนซ้าย และช่องท้อง
ตาขวามืดบอด รู้สึกเหมือนมีแรงกระแทกที่หน้าอก
เขาดิ้นรนและส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีโอกาสได้เหวี่ยงดาบที่หมั่นฝึกฝนมาด้วยซ้ำ
และชีวิตกับความฝันอันเยาว์วัยของครูทก็สิ้นสุดลงที่นี่
========================================
TL note: จบไปหนึ่งตอนแบบอึนๆ ดูเหมือนว่าออร์ซานจะเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่กาเรนเคยปล่อยให้หนีไปได้
เลยอพยพไปที่จักรวรรดิแล้วสมัครเป็นทหาร แต่เจอนรกบนดินที่คริชสร้างเข้าไปเลยดับอนาถ แอบเสียดายนิดๆเหมือนกัน