ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 18 ทำงาน
บทที่ 18 ทำงาน
เป็นไปตามที่อเลฮาคาดไว้ —— คริชรับหน้าที่เป็นวิศวกรชั่วคราวและกำลังคุมการสร้างป้อมปราการนี้อยู่
“ช่วยตั้งแผ่นกระดานไว้ตรงนี้ด้วยค่ะ เอาแบบบางๆก็ได้ ขอแค่ใช้เป็นที่หลบลูกธนูได้ก็พอ แล้วก็ติดตั้งหอกแหลมต่อต้านทหารม้าเป็นระยะๆด้วยนะคะ ที่นี่ค่อนข้างไกลจากจุดข้ามแม่น้ำทางตะวันตก กลุ่มที่จะข้ามแม่น้ำตรงนี้ได้ส่วนใหญ่จะเป็นทหารม้า เราต้องเตรียมการรับมือให้พร้อมค่ะ”
“ครับผม แต่ว่ามันจะไม่เป็นไรจริงๆเหรอครับ? รั้วพวกนี้มันไม่…”
หัวหน้าช่างถามออกมาด้วยสีหน้าสับสน
รั้วกั้นที่อยู่เบื้องหน้า —— ที่ทอดยาวและหันเข้าหาแม่น้ำ เต็มไปด้วยรูโหว่และดูเปราะบางเหลือเกิน
“ค่ะ เพราะศัตรูคือทหารที่กำลังเหนื่อยจากการข้ามแม่น้ำ เราแค่ต้องถ่วงเวลาและทำลายขวัญกำลังใจที่เหลืออยู่เท่านั้น”
เธอพูดพลางชี้นิ้วออกไป… ชี้ไปที่แท่งไม้จำนวนมากที่ถูกตอกลงบนพื้นหญ้าด้วยระยะห่างสม่ำเสมอ
มันซ่อนอยู่ใต้พงหญ้า ถูกปักลึกลงไปในดินโดยมีเชือกขึงระหว่างไม้แต่ละแท่งเอาไว้
เป็นกับดักง่ายๆที่ทำให้ศัตรูสะดุดล้ม
ทหารของศัตรูจะตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด กระวนกระวาย และเหนื่อยล้าเมื่อต้องวิ่งข้ามแม่น้ำท่ามกลางฝนธนูที่โปรยปรายลงมา
การข้ามแม่น้ำจะทำให้ประสาทสัมผัสทื่อลง และเมื่อข้ามมาได้ พวกเขาจะรีบวิ่งเข้ามาเพื่อยึดพื้นที่บริเวณริมฝั่ง
ด้วยวิสัยทัศน์อุโมงค์*ที่มี แค่กับดักนี้ แค่เถาวัลย์ที่พันเป็นเชือกและซ่อนไว้ใต้พงหญ้าก็เพียงพอที่จะให้จิตใจของพวกเขาแตกสลาย
ไม่ว่าใครก็คงสติแตกถ้าเกิดสะดุดล้มท่ามกลางห่าฝนธนูที่ตกลงมา
ถึงมันจะถูกสร้างขึ้นมาแบบรีบๆเลยไม่ค่อยมีความทนทานเท่าไหร่ แต่ต่อให้เชือกขาดก็สามารถทำขึ้นใหม่ได้ในชั่วข้ามคืน
คนที่คิดจะก้มลงตัดเชือกให้คนอื่นๆระหว่างหลบลูกธนูก็มีแต่คนที่เตรียมใจตายไว้แล้วเท่านั้น และถ้าจะตัดมันทั้งหมดคงต้องแลกด้วยการเสียสละจำนวนมหาศาล
ลงทุนน้อยแต่ประสิทธิภาพสูง
คริชเพลิดเพลินไปกับการลองผิดลองถูกจนได้มาซึ่งผลงานชิ้นนี้
เป้าหมายไม่ใช่การสังหารข้าศึก
แต่ป้อมปราการที่เปราะบางนี้มีไว้เพื่อทำลายขวัญกำลังใจเท่านั้น
ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ป้อมนี้คงเปล่าประโยชน์และไม่คู่ควรที่จะเสียแรงสร้างด้วยซ้ำ
แต่หากมองว่ามันคือแนวรับที่ใช้ป้องกันไม่ให้ข้าศึกข้ามแม่น้ำ มันถือว่ามีประสิทธิภาพอย่างมาก—— เดิมทีฝ่ายบุกมักจะได้รับความเสียหายจากการข้ามแม่น้ำอยู่แล้ว
ขวัญกำลังใจของพวกเขาไม่ได้มีมากนัก แต่พวกเขาต้องเก็บซ่อนความกลัวไว้ด้วยแรงฮึดและบุกต่อไป
ดังนั้นสิ่งกีดขวางง่ายๆที่ใช้ขัดขวางการเคลื่อนที่ถึงมีประสิทธิภาพอย่างคาดไม่ถึง
—— พลทหารจะเดินตามผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเสมอ
คนที่นำทัพอยู่หน้าสุดเปรียบเสมือนผู้กล้า และเพราะมีผู้กล้าเหล่านี้ทหารคนอื่นๆจึงมีแรงใจที่จะมุ่งหน้าลุยต่อ
แต่ถ้าหากผู้กล้าคนนั้นสะดุดล้มและถูกลูกธนูปักตาย —— เหล่าทหารที่เดินตามก็จะตื่นจากฝันและตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังจะเป็นรายถัดไป
ทำลายขวัญกำลังใจให้สิ้นซาก —— ป้อมปราการอันชั่วร้ายนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนั้น
แต่ในฐานะผู้ที่สร้างมันขึ้นมา คริชไม่ได้เข้าใจในจิตใจที่ละเอียดอ่อนของพวกทหารดีขนาดนั้น
เพราะคริชมีกระบวนการคิดที่แตกต่าง ทำให้เธอไม่ถนัดเรื่องการคาดเดาความรู้สึกของคนอื่น
ความกลัว ความเศร้า หรือความโกรธ
ถึงเธอจะรู้ว่าคนอื่นกำลังรู้สึกอย่างไร แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงรู้สึกแบบนั้นแม้ว่าเบรี่จะพร่ำสอนเธออยู่ตลอดก็ตาม
สถานการณ์แบบไหนที่จะสร้างความหวาดกลัวและทำลายขวัญกำลังใจของทหารได้มากที่สุด?
ตอนแรกเธอตั้งใจจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของโบแกน แต่เมื่อเธอได้รับมอบหมายให้คุมงานสร้างป้อมปราการนี้ คำถามนี้จึงกลายเป็นอุปสรรคต่อเธออย่างมาก
หลังจากที่ขบคิดอยู่นาน คริชก็ตัดสินใจที่จะเก็บข้อมูลเพิ่มเติม
เธอเรียกพลทหารและทหารยศสิบโทมารวมกันที่เต้นท์และถามถึงประสบการณ์ที่น่ากลัวที่สุดในสนามรบของแต่ละคน
—— แต่ทว่า คนจะเป็นทหารต้องมีจิตใจที่กล้าหาญ ทุกคนจะต้องเข้มแข็งเยี่ยงวีรบุรุษ
ทหารทุกนายที่นี่เชื่อแบบนั้นและไม่อยากที่จะเปิดเผยความขี้ขลาดของตนออกมา
การเก็บข้อมูลในช่วงแรกจึงค่อยไม่คืบหน้านัก
แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อกาเรนเข้าร่วมด้วย
กาเรนเล่าเรื่องราวในตอนที่เขายังเป็นพลทหารธรรมดาและสารภาพความขี้ขลาดของตัวเองออกมา
เขาเล่าว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะหวาดกลัว แต่วีรบุรุษที่แท้จริงจะต้องตระหนักถึงความกลัวของตนเองและรวบรวมความกล้าที่จะก้าวข้ามมันไปให้ได้
ด้วยชื่อเสียงในอดีตและตำแหน่งเสนาธิการนายพลของกาเรน คำพูดของเขาสลักลึกในจิตใจและทำให้ทัศนคติของเหล่าทหารเปลี่ยนไป คริชจึงสามารถรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาได้มากมาย
และป้อมปราการอันชั่วร้ายนี้ก็ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลเหล่านั้น
ถึงหัวข้อซักถามจะถูกเปลี่ยนจาก ‘สถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวที่สุด’ กลายมาเป็น ‘วิธีเอาชนะความกลัว’ แต่คริชก็ไม่ได้สนใจ
ข้อสรุปที่ได้จากคำตอบของพวกเขาคือ ทหารจะต่อสู้เพื่อปกป้องพรรคพวกและกลัวที่จะต้องเหลือตัวคนเดียว
แน่นอนว่าความตายของตนเองก็เป็นเรื่องน่ากลัว แต่ถ้าพวกเขาเอาชนะความกลัวนี้ไม่ได้ เหล่าสหายร่วมรบก็ต้องเป็นฝ่ายรับเคราะห์แทน ดังนั้นทหารจึงพร้อมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องพวกพ้อง
พวกเขาให้ความสำคัญกับพวกพ้องที่กินข้าวร่วมหม้อกันมาและหวาดกลัวการถูกทิ้งให้เหลือตัวคนเดียว —— นั่นดูจะเป็นสิ่งที่ทหารทุกคนเห็นตรงกัน
แต่คริชไม่สนใจว่าคำตอบเหล่านั้นจะเป็นจริงหรือไม่
คริชมองว่ามันเป็นเพียงคติพจน์สวยหรูที่เหล่าทหารมีร่วมกันเท่านั้น
แต่เธอสนใจในกระบวนการที่นำมาซึ่งคำตอบเหล่านี้มากกว่า
หลังการสอบถามจบลง คริชก็ได้ข้อสรุปว่าพวกทหารก็เหมือนกับฝูงแกะที่มีสุนัขคอยต้อน
โดยมีสุนัขที่เรียกว่า ‘หัวหน้ากอง’ และแกะที่เรียกว่า ‘ผู้ติดตาม’
ผู้ติดตามจะทำตามความคิดของหัวหน้าและมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน
ในขณะที่หัวหน้ากองโดยส่วนมากจะเป็นทหารกล้าผู้ไม่หวั่นกลัว เป็นทหารมากฝีมือที่รับหน้าที่นำทัพเข้าโจมตี
ซึ่งในสนามรบก็ไม่ต่างกัน ผู้ติดตามนั้นจะตามหัวหน้าไปจนตัวตาย
ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็แค่ต้องฆ่าหัวหน้าที่เป็นจ่าฝูงเสียก่อน
เพราะหัวหน้าเป็นทหารในอุดมคติให้กับคนอื่นๆ
คริชคาดว่าการได้เห็นคนเหล่านั้นติดกับดักง่ายๆและถูกฆ่าตายอย่างไร้ทางสู้น่าจะส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างมาก
แค่นี้น่าจะเกินพอแล้วสำหรับทหารที่กำลังเหนื่อยล้าทั้งกายใจจากการข้ามแม่น้ำ
อีกอย่าง ตอนนี้ไม่มีเวลามาสร้องป้อมที่สมบูรณ์แบบ พวกเธอต้องการเพียงป้อมที่มีประสิทธิภาพ
คริชยังไม่ลืมเป้าหมายนั้น
“ถึงพวกเขาผนึกกำลังกันแล้วยึดป้อมนี้ไปก็ไม่เป็นไรค่ะ ต่อให้ทำได้ก็เปล่าประโยชน์”
แนวหลังของป้อม—— ส่วนที่หันออกจากแม่น้ำนั้นไร้ซึ่งการป้องกัน
จำนวนกับดักน้อยลงอย่างมากและไม่มีกระทั่งรั้วกั้น
นั่นทำให้ฝ่ายเราสามารถยึดคืนได้ง่ายๆ ถ้าพังก็ซ่อมใหม่ได้ ถ้าจำเป็นจะทิ้งไปเลยก็ได้
ป้อมปราการนี้จะไม่มอบความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ใดๆให้กับข้าศึก
ถ้าศัตรูตั้งใจจะยึดป้อมจริงๆ พวกเขาจะไม่สามารถกระจายกำลังโจมตีจุดอื่นๆได้และความเสียหายก็จะน้อยลง
ลึกๆแล้วคริชจึงอยากให้พวกเขามุ่งเป้ามาที่ป้อมมากกว่า
“โอเคค่ะ นี่น่าจะเรียบร้อย ขอฝากที่เหลือด้วยนะคะ ถ้ามีเวลาฝากมัดหญ้าเป็นบ่วงให้ศัตรูสะดุดล้มด้วย ส่วนวัสดุที่เหลือก็เก็บไว้ใช้ตอนซ่อมแซมก็ได้ค่ะ”
“ครับผม แล้วท่านคริชจะไปที่ไหนเหรอครับ?”
“หน้าที่ของคริชจบแล้ว คริชเลยจะรอคำสั่งต่อไปของนายท่— เอ่อ ท่านนายพลค่ะ คริชจะมอบอำนาจสั่งการให้คุณ ดังนั้นคุณก็แค่ทำงานกับกองพลที่สาม… ฮ้าววว”
คริชยืดเส้นแล้วหาวออกมาเบาๆ
เธอทำงานทั้งวันทั้งคืนมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทำให้เธอนอนไม่พอ
ปกติคริชจะนอนเยอะกว่าคนอื่นๆเกือบสองเท่า ดังนั้นการนอนไม่พอจึงเป็นเรื่องสาหัสสำหรับเธอ
เธอหันหลังและกำลังจะมุ่งหน้ากลับไปนอนที่เต็นท์
“คริช งานเป็นยังไงบ้าง? ฉันแวะมาเยี่ยมน่ะ”
และในตอนนั้นเอง เซเลเน่ก็ควบม้าเข้ามาหา
“คริชบอกทุกอย่างที่จำเป็นไปหมดแล้ว ที่เหลือคริชฝากไว้กับหัวหน้าช่าง ถ้ามีอะไรก็ถามเขาได้เลย”
“…เอ่อ?”
หัวหน้าช่างทำหน้าตาตื่นตระหนกที่จู่ๆก็ได้รับมอบคำสั่ง ในขณะที่คริชดูจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย
คริชมีสีหน้าไร้อารมณ์ตามปกติ—— แต่เซเลเน่ที่อยู่กับเธอมานานสามารถจับสังเกตเล็กๆได้
ดวงตากลมโตของคริชหรี่ลงเล็กน้อยและเริ่มพูดงึมงำ นั่นเป็นสัญญาณว่าเธอกำลังง่วง
เมื่อเธอตรวจสอบท่าทางของคริชเสร็จ เซเลเน่ก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะดึงคริชขึ้นมาบนหลังม้า
เพราะคริชใส่กระโปรงเธอจึงนั่งแบบหันข้างและเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเซเลเน่ เซเลเน่ก็หยิกที่แก้มของเธอ
“อุวว… แก้ม…”
“เฮ้ออ… ไว้ค่อยคุยระหว่างทางกลับก็แล้วกัน เพราะงั้นอดทนอีกหน่อยนะ หัวหน้า ถ้าฉันขอพาตัวเธอไปจะเป็นอะไรมั้ย?”
“มะ ไม่เลยครับ… เราได้รับคำสั่งที่จำเป็นมาหมดแล้วครับ เสนาธิการคริสแตนด์”
“งั้นเหรอ ถ้าอยากได้วัสดุหรือคนงานเพิ่มก็บอกแล้วกัน แต่ก็นะ ถึงช่วงนี้จะไม่มีศึกหนักๆ เลยอาจจะยังไม่จำเป็นแต่… อยากได้คนมาช่วยงานซ่อมบำรุงเพิ่มรึเปล่า?”
“นั่นก็ขึ้นกับความเสียหายที่เกิดขึ้นครับ… แต่โครงสร้างของมันค่อนข้างเรียบง่าย แค่กำลังคนของเราตอนนี้ก็น่าจะพอแล้วครับ”
“…งั้นเหรอ แต่ยิ่งมองเท่าไหร่ก็ยิ่งดูเป็นป้อมที่น่าเป็นห่วงชะมัด เหมือนว่าจะพังลงมาเองถ้าทิ้งไว้ซักครึ่งปีงั้นแหละ”
ป้อมนี้ถูกสร้างจากไม้ที่ไหลมาตามน้ำ มันชื้นพอที่จะดับไฟและสามารถรับมือกับธนูเพลิงได้ดี แต่นั่นก็ทำให้มันผุเร็วขึ้นด้วย
“…เราใช้มันไม่ถึงครึ่งปีหรอก ไม่เห็นเป็นไรเลย”
คริชงอนเล็กน้อยที่โดนหยิกแก้ม
สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างมันให้เร็ว มันจึงเป็นแค่ฉากหน้าที่ไร้ซึ่งความทนทาน
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เซเลเน่ ผู้ศึกษาพื้นฐานการสร้างป้อมปราการมาอย่างดี รู้สึกว่ามันเป็นของนอกรีต
เธอรู้ว่าคริชสามารถสร้างป้อมที่ดีกว่านี้ได้ แต่ว่าจงใจสร้างมันออกมาแบบนี้
แต่ยังไงมันก็เป็นเรื่องของรสนิยมมากกว่า
“ฉันรู้น่า แต่ว่ามันเป็นเรื่องความรู้สึกต่างหาก”
เซเลเน่ดึงร่างที่อบอุ่นและง่วงซึมของคริชเข้ามากอดพลางลูบหัวเธอไปด้วย
เธอทำมันจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว
หัวหน้าช่างได้แต่เหม่อมองภาพของเด็กสาวผู้งดงามบนหลังม้าทั้งสองคน
ความสนิทกันของทั้งคู่เป็นที่รู้กันดี
คริชนั้นมีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดและไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอจะทำสีหน้าแบบนั้นออกมาก็ต่อเมื่ออยู่กับเซเลเน่
แม้ว่าความแปลกประหลาดของคริชจะเป็นที่พูดถึงในหมู่ทหาร แต่ว่าความสวยงามและความน่ารักของเธอก็เป็นที่รู้จักไม่แพ้กัน
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเซเลเน่ที่เป็นเหมือนไอดอลของพวกเขา ภาพของเซเลเน่ที่คอยบ่นนู่นนี่กับคริชทำให้พวกทหารมองว่าพวกเธอเป็นคู่พี่สาวที่งดงามและมีเสน่ห์ กับน้องสาวที่แปลกนิดหน่อยแต่ก็เป็นอัจฉริยะ
เซเลเน่ไม่เคยทำตัวแย่ๆใส่พวกเขา เธอไม่ได้เย่อหยิ่งเหมือนขุนนางคนอื่นๆ
เธอพร้อมที่จะพูดคุยกับพลทหารธรรมดาเมื่อมีเหตุจำเป็น
และความเต็มใจที่จะยอมรับคำแนะนำต่างๆที่เป็นประโยชน์ของเธอทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก
เหมือนกับที่เกรซทำในหมู่บ้าน ความนิยมของเซเลเน่ช่วยปกป้องคริชจากเจตนาร้ายรอบๆตัว
“…จริงๆเลย”
ในขณะที่เซเลเน่ควบม้ากลับไปที่เต็นท์ เปลือกตาของคริชก็ปิดลงและผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของเซเลเน่
เซเลเน่ถอนหายใจออกมา แต่ก็ยังลดความเร็วของม้าลงเพื่อไม่ให้คริชตื่น
ถ้าได้เห็นเธอหลับปุ๋ยเหมือนเด็กในสนามรบ —— ในสมรภูมิแนวหน้าแบบนี้ ก็คงมีบางคนนึกตำหนิว่าเธอผ่อนคลายจนเกินไป แต่ทว่าทั้งคู่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและพรสวรรค์ด้านการรบ ทำให้พวกเธอเหมือนเป็นยาใจเสียมากกว่า และด้วยวัย 14-15 ปี —— ช่วงอายุที่ก้ำกึ่งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่นั้นช่วยเยียวยาจิตใจและเพิ่มความกล้าให้พวกทหารเป็นอย่างดี
เพราะอายุขั้นต่ำในการเป็นทหารคือ 15 ปี ดังนั้นสำหรับทหารส่วนใหญ่ พวกเธอนั้นยังเด็กและน่าปกป้อง
เหล่าทหารกล้าผู้พิทักษ์สององค์หญิงแห่งคริสแตนด์ —— เป็นเรื่องที่เหมือนหลุดออกมาจากบทกวี
ทหารในกองทัพคริสแตนด์เองต่างก็เป็นคนดีและไม่มีใครไม่พอใจกับเรื่องนี้
ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนของเซเลเน่
เซเลเน่รู้เรื่องข่าวลือด้านลบเกี่ยวกับคริช แต่คริชกลับไม่ใส่ใจมันเลยแม้แต่น้อย
เซเลเน่มั่นใจว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปสถานะของคริชจะต้องย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
ปกติแล้วเซเลเน่จะไม่ยอมให้ใครเป็นด้านนี้ของคริชเป็นอันขาด
แต่เพราะคริชนั้นไม่เหมือนใคร คนที่ไม่รู้จักเธอดีพอจึงหวาดกลัวเธอ
ซึ่งเซเลเน่ไม่สามารถแก้ไขมันได้
คริชก็คือคริช และไม่ว่าเซเลเน่จะพูดยังไง ด้านนั้นของคริชก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เซเลเน่จึงครุ่นคิดหาวิธีที่จะแก้ไขภาพลักษณ์ของคริชแทน และได้ข้อสรุปว่าการแสดงอีกด้านของเธอออกมาน่าจะช่วยปรับสมดุลใหม่ได้
คริชเป็นคนเงียบขรึมและไม่สุงสิงกับใคร เธอสุภาพและจริงจัง —— แต่เพราะเธอได้รับการเอาอกเอาใจมาตลอดตอนอยู่ที่หมู่บ้าน เนื้อแท้ข้างในของเธอยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เธอจึงทำตัวเป็นเด็กเมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ภายนอก
ขนาดเซเลเน่ที่ค่อนข้างมั่นใจในหน้าตาของตัวเองยังรู้สึกว่าคริชนั้นสมบูรณ์แบบ เป็นสาวงามที่ไร้ที่ติ ในกรณีของเธอ ความเป็นเด็กนั้นเหมือนเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งด้วยซ้ำ
ซึ่งแผนการของเซเลเน่นั้นได้ผลค่อนข้างดี และเซเลเน่ก็พึงพอใจกับผลลัพธ์ของมัน
แต่ถึงอย่างนั้นเซเลเน่เองก็ยังมีส่วนที่เป็นเด็กอยู่
ปกติแล้วความน่ารักของคริชจะแสดงออกมาเมื่อเธออยู่กับคนที่ไว้วางใจ และเมื่อเบรี่ไม่อยู่ที่นี่ คริชจะทำตัวแบบนี้กับเซเลเน่เท่านั้น
ความคิดที่แปลกแยกของคริชนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังใสซื่อบริสุทธิ์และไร้เดียงสายิ่งกว่าใคร
แม้ว่าจะไม่รู้ตัว แต่ลึกๆแล้วเซเลเน่ก็แค่อยากอวดว่าเธอเป็นคนเดียวที่คริชทำตัวออดอ้อนใส่
จะไก่หรือไข่ ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม แต่การกระทำของเซเลเน่ก็ช่วยให้คริชสามารถใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพได้อย่างราบรื่น
==================================================
อัพเดตคราวนี้ขอคาบข่าวดีจากคนแต่งนิยายมาโปรโมตกันหน่อยนะครับบ
นิยายเรื่องนี้จะได้ตีพิมพ์ฉบับภาษาญี่ปุ่นในวันที่ 15 มกราคม 2024!!
https://tobooks.shop-pro.jp/?pid=177621169
ภาพประกอบดีงามมากๆ ใครสนใจก็กำตังเตรียมอุดหนุนกันได้ ส่วนผมสั่งแน่นอนไม่ต้องห่วง55555
หวังว่าจะมีสนพ.ซื้อลิขสิทธิ์มาแปลไทยให้อ่านกันนะครับ