ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 16 ทั้งสองเหตุผล
บทที่ 16 ทั้งสองเหตุผล
“…สร้างสนามรบเหรอ?”
“ค่ะ นายท่านจะได้ปะทะกับศัตรูที่พยายามข้ามแม่น้ำมาเพื่อขัดขวางการสร้างเขื่อน
ทีนี้เราก็แค่เปลี่ยนพื้นที่ฝั่งศัตรูให้เป็นดินโคลน”
คริชลากนิ้วไปตามแม่น้ำเบซเรนที่ไหนลงไปทางใต้
“แม่น้ำสายใต้เกิดน้ำท่วมในบริเวณนี้บ่อยๆและเมื่อพื้นที่ตรงนี้กลายเป็นบ่อโคลนแล้ว มันจะไม่แห้งเหือดไปง่ายๆ
ยิ่งถ้าเรากั้นแม่น้ำสายเหนือที่เป็นทางน้ำสายหลัก
เราจะบีบให้แม่น้ำสายใต้ล้นตลิ่งและเปลี่ยนพื้นที่บริเวณค่ายศัตรูให้เป็นดินโคลนค่ะ
ด้วยวิธีนี้ เราสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูและทีมส่งเสบียง แถมยังช่วยตัดกำลังของทหารม้าน่ารำคาญพวกนั้นด้วย”
ต่างจากคนอื่นๆในรุ่นราวเดียวกัน โบแกนให้ความสำคัญกับการบันทึกข้อมูลต่างๆมาก
เขาทุ่มเงินจำนวนมากไปกับการรวบรวมแผนที่ บันทึกเกี่ยวกับสงครามในอดีต หรือแม้แต่ภัยพิบัติต่างๆ
ซึ่งข้อมูลเกือบทั้งหมดนั่นอัดแน่นอยู่ในหัวของคริช
คริชต้องไปที่สนามฝึกสัปดาห์ละครั้งเพื่อเข้าร่วมการฝึกทหาร
แต่ในเวลาไม่นานก็ไม่มีใครเก่งพอที่จะสอนเธอได้—— ผลก็คือ เธอมักจะใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดส่วนตัวของโบแกน
ถ้าเธอจำเนื้อหาทุกอย่างในหนังสือทุกเล่มได้ เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องไปที่สนามฝึกและมีเวลาอยู่กับเบรี่มากขึ้น
คริชจึงใช้มันสมองที่ผิดมนุษย์ของเธอในการจดจำของสะสมจำนวนมหาศาลของโบแกน
“…อย่างนี้นี่เอง น่าสนใจมาก”
โบแกนไม่ได้มีความสามารถแบบคริช
แต่เพราะเขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนธรรมดา เขาจึงเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าอยู่เสมอ
เขาทบทวนเอกสารเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณนี้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะออกเดินทางและจำบันทึกที่คริชพูดถึงได้
วิเศษมาก โบแกนพึมพำกับตัวเอง
ความรู้ก็เป็นได้แค่ความรู้ หลักสำคัญคือวิธีที่จะประยุกต์และนำความรู้เหล่านั้นไปใช้
โบแกนพร่ำบอกเซเลเน่และผู้ติดตามของเขาอยู่ตลอดว่า อย่าหยุดที่จะเรียนรู้และอย่าหยุดเพียงแค่การเรียนรู้
ความรู้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อคนคนนั้นมีปัญญานำมันไปประยุกต์ใช้
คริชจึงเป็นเหมือนตัวตนในอุดมคติของโบแกน
โบแกนมีแนวคิดเรื่องการบัญชาการเชิงกลยุทธ์มานานแล้ว แต่ที่เขาเริ่มทำมันเป็นรูปเป็นร่างได้ก็เพราะคริช
แม้จะเป็นไปไม่ได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ถ้าได้ระดมความคิดด้วยกันพวกเขาอาจจะสามารถวางแผนกลยุทธ์ในระดับเดียวกับที่คริชทำได้
ผู้บัญชาการจะให้ความสำคัญกับการออกคำสั่งกองทัพและจัดการปัญหาเฉพาะหน้า ในขณะที่นักยุทธศาสตร์จะเป็นคนดูแลส่วนที่เหลือ
ด้วยวิธีนี้ โบแกนมองว่ามันจะช่วยพัฒนาความสามารถโดยรวมของกองทัพขึ้นอย่างมาก
ขุนนางคือตัวตนอันสูงส่งที่สั่งการกองทัพ
มันเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยม และในยุคสมัยที่เหล่าผู้บัญชาการต่างมุ่งมั่นในการจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง โบแกนนั้นถือเป็นคนหัวก้าวหน้า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โบแกนสรรค์สร้างระบบที่ไม่ยึดติดกับความสามารถส่วนบุคคล แต่จะเน้นการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนข้อมูลในหมู่เจ้าหน้าที่ทหารและผู้บัญชาการ มอบอำนาจและความรับผิดชอบที่เหมาะสมกับแต่ละคนแทน
นั่นคือที่มาของความแข็งแกร่งของกองทัพคริสแตนด์ที่เป็นที่เลื่องลือ และยังเป็นสาเหตุที่โบแกนเป็นที่รู้จักในฐานะยอดขุนพล
“…ถ้างั้นก่อนอื่นเราต้องสร้างความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ และทำลายขวัญกำลังใจของข้าศึกสินะ”
“ใช่ค่ะ นี่เป็นแค่การก่อกวนเท่านั้น… นายท่านอาจจะสร้างป้อมปราการง่ายๆไว้ใกล้ๆตลิ่งสำหรับป้องกันไม่ให้ศัตรูข้ามแม่น้ำมาก็ได้ ซึ่งศัตรูคงไม่ยอมให้เราสร้างป้อมที่นี่แน่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องข้ามแม่น้ำมาเพื่อขัดขวางเรา”
คริชลากนิ้วไปตามแม่น้ำ
การข้ามแม่น้ำจะนำมาซึ่งความเสียหายอันใหญ่หลวงเสมอ
เป้าหมายของคริชคือการสร้างสถานการณ์ที่บีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องทำมัน
“มันเป็นเรื่องง่ายในการตั้งรับศัตรูที่พยายามข้ามแม่น้ำจากพื้นโคลนเลน และมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะอ้อมผ่านภูเขาฝั่งตะวันออกที่สูงชันได้ด้วยกองกำลังขนาดใหญ่แบบนั้น
เราจะมีข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์อย่างมาก เพราะมันยากที่จะจัดขบวนรบระหว่างข้ามแม่น้ำ ในขณะที่ฝ่ายเราสามารถเตรียมการตั้งรับได้เต็มที่”
คริชชี้ไปที่ต้นสายของแม่น้ำ
“และต่อให้เขื่อนพัง เราก็แค่ย้ายไปที่ทะเลสาบใกล้ๆกับภูเขา และแสดงท่าทีว่าพวกเรากำลังจะยึดพื้นที่และสร้างเขื่อนอีกครั้งก็พอ
เพราะเป้าหมายคือการตรึงศัตรูไว้ที่นี่เพื่อป้องกันการถูกโจมตีขนาบข้าง
อีกอย่างตอนนี้เริ่มเข้าฤดูฝนแล้ว ถ้าฝนตกด้วยก็จะยิ่งเข้าทางค่ะ”
โบแกนและกาเรนหันมาพยักหน้าให้กัน
ส่วนเซเลเน่จ้องมองคริชอย่างหัวเสีย
“…เป็นแผนที่เยี่ยมไปเลย เราจะสร้างสนามรบที่อยู่ในการควบคุมของเราสินะ”
“ค่ะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน การที่นายท่านจะต้องฝ่าแนวรบทางเหนือของข้าศึกและจู่โจมเส้นทางลำเลียงมีความเสี่ยงสูงมาก หรือต่อให้ทำสำเร็จ แต่ถ้ากองทัพหลวงไม่เคลื่อนไหวก็ยังแก้ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องหาวิธีหยุดการเคลื่อนไหวของศัตรูจนกว่าทัพหลวงจะพร้อมโต้กลับค่ะ”
คริชชี้นิ้วไปที่กองทัพข้าศึกก่อนจะเปลี่ยนมาที่กองทัพของพวกเธอ
“ตอนนี้เสบียงของข้าศึกส่วนใหญ่เป็นสิ่งรวบรวมมาได้จากพื้นที่โดยรอบ
แต่มันผ่านมาหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่พวกเขามาถึง
พวกหมู่บ้านที่พวกเขาคอยรีดไถเสบียงน่าจะใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว และข้าศึกเองก็คงอยากจะย้ายฐานที่มั่นในเร็วๆนี้
สาเหตุที่พวกเขารอเวลาเป็นเดือนคงเพราะกำลังสร้างเส้นทางลำเลียงจากประเทศแม่และกำราบคนในพื้นที่ที่พยายามต่อต้านค่ะ”
นอกจากกำลังรบจำนวนสองหมื่นนาย กองทัพคริสแตนด์ยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยขนส่งอีกหนึ่งพันนาย
พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการแก้ไขปัญหาด้านการขนส่ง
โดยมีการเปิดรับสมัครแรงงานหรือคนขายบริการจากหมู่บ้านโดยรอบ หรือกระทั่งพ่อค้าด้วยถ้าจำเป็น
สมาชิกในหน่วยจะได้รับการฝึกสอนพิเศษด้านคณิตศาสตร์ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
แต่พวกเขาสามารถสร้างเส้นทางลำเลียงเสบียงที่มั่นคงได้สำหรับการรบแบบตั้งรับ
ซึ่งในทางกลับกัน กองทัพจักรวรรดิที่บุกมานั้นใช้วิธีที่ค่อนข้างป่าเถื่อน
เมื่อพวกเขาตั้งค่าย พวกเขาจะสร้างหน่วยกองโจรขึ้นมาและขูดรีดเสบียงจากพื้นที่ใกล้เคียงเป็นหลัก
การจู่โจมสายฟ้าแลบของข้าศึกนั้นมุ่งเน้นไปที่การยึดครองพื้นที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่าการวางเส้นทางลำเลียง
และถึงจะดูป่าเถื่อน พวกเขาก็ยังทำงานอย่างเป็นระบบ
จากประสบการณ์ในอดีต พวกเขาเคยพ่ายแพ้หมดท่าให้กับกลยุทธ์เผาแผ่นดิน ที่หมู่บ้านทั้งหมดถูกเผาราบเป็นหน้ากลองและถูกวางยาพิษในบ่อน้ำ
ดังนั้นถึงจะยังอาศัยเสบียงจากการปล้นเป็นหลัก
แต่พวกเขาจะจัดตั้งหน่วยขนส่งขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มบุกต่อ
เพื่อการก่อสร้างและคุ้มกันเส้นทางลำเลียง
หน่วยขนส่งจึงเป็นเหมือนแกนกลางสำคัญของการจู่โจม และจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อสร้างสายธารลำเลียงที่มั่นคงไปสู่พื้นที่ที่ยึดมาได้ —— ถึงพวกเขาจะยังใช้วิธีการปล้นในช่วงแรกเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจ
แต่หลังจากนั้น ทีมขนส่งจะมารับช่วงต่อ และเปลี่ยนจากการปล้นเป็นการส่งเสบียงที่มั่นคงกว่าแทน
พวกเขายังรวบรวมแรงงานและอาหารมาจากหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแจกจ่ายเสบียงด้วย
ดังนั้นแม้ว่ากองทัพจักรวรรดิจะทำการปล้นฆ่าและข่มขืน
แต่ในระหว่างการปล้น พวกเขาจะจัดการกับรถม้า เสบียง และทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่ชิงดินแดนผืนใหญ่จากศัตรูมาได้
พวกเขาจะสร้างเส้นทางลำเลียงจากทั้งแนวหน้าและจากจักรวรรดิเพื่อเตรียมการสำหรับการบุกเข้าไปให้ไกลขึ้น
นี่คือกลยุทธ์พื้นฐานในการเข้าโจมตีของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลส์เรน
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสามคนที่อยู่ที่นี่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
แต่คริชติดนิสัยชอบอธิบายข้อเท็จจริงต่างๆตราบใดที่เธอมีเวลาพอ
เพราะว่า ‘เรื่องทั่วๆไป’ ของเธอมักจะแตกต่างจาก ‘เรื่องทั่วๆไป’ ของคนอื่น
มันเป็นหนึ่งในทักษะการใช้ชีวิตที่เธอได้เรียนรู้มา
คริชจึง ‘เอาใจใส่’ พอที่จะอธิบายกฎหมายของราชอาณาจักรให้โจรป่าฟังก่อนที่จะเริ่มการทรมาน
ทั้งสามคนรู้ถึงความเอาใจใส่ที่ไม่จำเป็นของคริช และถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม แต่พวกเขาก็ไม่ได้ขัดเธอเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าศัตรูจะตั้งคลังเสบียงไว้ใกล้ๆกับฐานหลัก—— ใกล้กับวัลเฟไนท์
แต่เสบียงส่วนใหญ่ถูกเตรียมไว้สำหรับการบุกลงใต้
ดังนั้นทรัพยากรที่ถูกแบ่งมาให้ทัพศัตรูทางทิศเหนือคงมีไม่มาก และถ้าเราย้ายสนามรบไปที่ภูเขาทางตะวันออก พวกเขาคงต้องหวังพึ่งเสบียงที่ส่งมาจากจักรวรรดิอย่างเดียว”
คริชชี้ไปที่พื้นที่รอบๆแม่น้ำเบซเรนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นบ่อโคลนและพูดต่อ
“ถึงตอนนั้น ภูมิประเทศรอบๆแม่น้ำสายใต้จะย่ำแย่ลงอย่างมาก ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไป ความได้เปรียบของศัตรูมีแต่จะลดลงเรื่อยๆ —— ก็ นั่นคือแผนการทั้งหมดค่ะ”
คริชถอนหายใจและจิบชาถั่วเหลืองดำหวานๆของเธอเพื่อดับกระหาย
ก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“การโจมตีลงใต้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสถานการณ์ทางทิศเหนืออยู่ในการควบคุม
ดังนั้น หากนายท่านสามารถกำจัดกำลังพลก้อนใหญ่จากสี่หมื่นคนที่ประจำการอยู่ทางเหนือได้
นั่นก็น่าจะทำให้แผนของพวกเขาสะดุดลง
ถึงคริชจะบอกไม่ได้ว่ากองทัพหลวงจะพร้อมโต้กลับเมื่อไหร่ หรือนายพลการ์คาจะยื้อแนวรบทางใต้ไว้ได้นานแค่ไหน แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามข้าศึกจะต้องจำใจหันกลับมารับมือกับนายท่านแน่ คิดว่ายังไงบ้างคะ?”
คริชเสนอแผนที่ดีและน่าพึงพอใจที่สุดที่เธอมีออกไป
ดังนั้นเมื่อพูดจบ เธอจึงหันไปสนใจกระเพาะที่ว่างเปล่าแทน
คุยจบแล้ว ถึงเวลาอาหาร งานเสร็จแล้ว ไหนของกิน ไหนขนม
ความคิดของคริชวนเวียนอยู่แค่นี้
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ทั้งสามคนกำลังตกตะลึงกับแผนของคริช
ย้ายศูนย์บัญชาการไปทางตะวันออก ——
แค่นี้พวกเขาก็จะไปข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่จะเอาชนะจำนวนที่เหนือกว่าและสร้างผลกระทบรุนแรงต่อแผนการของศัตรูได้
“…ครั้งนี้ฉันรู้สึกดีใจมากจริงๆที่รับเลี้ยงเธอมา เป็นแผนที่วิเศษมาก
ถ้าไม่ติดเรื่องปัญหายุ่งยากฉันก็อยากจะให้เธอได้รับตำแหน่งที่คู่ควรมากกว่านี้อยู่หรอก แต่ว่า… ขอโทษนะ เธอคงลำบากที่ต้องอยู่ในตำแหน่งครึ่งๆกลางๆแบบนี้”
โบแกนคิดแบบนั้นจากใจจริง
เขาเสียดายที่ความสามารถของเธอถูกกีดกันด้วยอายุและสถานะ
“เอ่อ…… นายท่าน คริชพอใจแล้ว ที่เป็นแบบนี้”
คริชเอียงคอด้วยความสับสนพลางตอบกลับอย่างใสซื่อ
คริชไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับสถานะปัจจุบันของเธอเลย
ถึงการมีอำนาจจะสะดวกสบาย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา
คริชเป็นคนจริงจังและขยันขันแข็ง แต่เธอต้องการแค่ชีวิตสบายๆที่ได้ทำงานบ้านกับทำอาหาร
และเพราะความปรารถนานั้นได้รับการเติมเต็มแล้ว เธอจึงไม่ได้ขวนขวายอะไรอีก
“หึหึ เอาเถอะ ก็สมเป็นเธอดี แต่ความคิดเห็นของคริชก็มีประโยชน์เสมอล่ะนะ… กัปตัน นี่อาจจะดึกไปหน่อยแต่ช่วยตามผู้บัญชาการกองพลทุกคนมาที เราจะเริ่มเคลื่อนทัพกันพรุ่งนี้”
“ได้เลย— ม้าเร็ว!!”
กาเรนตะโกนเสียงดังราวกับทั้งเต็นท์กำลังสั่นสะเทือน จนคริชต้องเอามือปิดหู
‘ม้าเร็วมาแล้วครับ’ ทหารหนุ่มรายงานตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้ามาข้างใน
“ไปตามผบ.กองพลกับเสนาธิการทุกคนมาโดยด่วน”
“ครับผม! ตามผบ.กองพลกับเสนาธิการทุกคน รับทราบครับ!”
“ดี ไปได้”
คนส่งสารหนุ่มวิ่งออกไปหลังจากชำเลืองมองคริชและเซเลเน่
เขามีหน้าตาดีและสวมชุดเกราะเกล็ดเหล็กที่งดงาม
ดูแล้วน่าจะเป็นขุนนาง
ม้าเร็วผู้ทำหน้าที่ส่งข้อมูลคือบทบาทที่สำคัญมาก โดยเฉพาะการรับส่งคำสั่งจากนายพล
ดังนั้นสถานะทางสังคมของพวกเขาจึงมีความสำคัญเช่นกัน
เพื่อป้องกันความสับสนจากข้อมูลที่ผิดพลาดหรืออะไรทำนองนั้น
ขุนนางจึงมักจะถูกเลือกให้เป็นผู้ส่งสาร
“ขอโทษนะคริช เธอคงจะเหนื่อย แต่ช่วยอยู่กับพวกเราก่อนนะ”
“เอ๋?…… ได้ค่ะ”
ตอนนี้ค่ำแล้ว
คริชยังไม่ได้ทานมื้อเย็นที่เธอควรจะได้กินตั้งแต่มาถึงด้วยซ้ำ
คริชกวาดสายตาไปรอบๆพลางเอามือกุมท้องเบาๆ
เซเลเน่ยิ้มออกมา เธอลุกขึ้นและส่งขนมปังให้คริช
เมื่อเห็นดังนั้น โบแกนและกาเรนก็เข้าใจและส่งเสียงหัวเราะออกมา
ทำให้ใบหน้าของคริชกลายเป็นสีแดงก่ำ
“ไม่เอาน่า ถ้าหิวก็บอกตรงๆก็ได้ ไม่มีใครห้ามเธอกินหรอกนะ”
“งืออ……”
“มาดนักกลยุทธ์อัจฉริยะเมื่อกี้หายไปไหนแล้วฮะ? เอ้านี่ น้ำผึ้ง เธอชอบไม่ใช่เหรอ?”
สุดท้ายคริชก็ได้กินอาหารอย่างเก้ๆกังๆโดยมีเซเลเน่ยืนบ่นอยู่ข้างๆ
===========================
หนึ่งเดือน คือหนึ่งรอบโคจรของดวงจันทร์ มี 28 วัน
แบ่งเป็นสี่ส่วน คือหนึ่งสัปดาห์ มี 7 วัน
ในหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง
12 ชั่วโมงจากดวงอาทิตย์ขึ้น ถึงดวงอาทิตย์ตก
และอีก 12 ชั่วโมงสำหรับช่วงกลางคืน
แต่นั่นก็เป็นแค่การกะแบบคร่าวๆ เพราะระยะเวลาของกลางวันจะเปลี่ยนผันไปตามฤดูกาล
ในฤดูร้อน กลางวันจะยาวขึ้น 1 ชั่วโมง
ส่วนฤดูหนาว กลางวันจะสั้นลง 1 ชั่วโมง
นาฬิกาถูกประดิษฐ์ขึ้นจากการผสมผสานผลึกเวทย์เข้ากับจักรกลเพื่อลั่นระฆังในเมืองอย่างแม่นยำทุกๆชั่วโมง แต่นาฬิกาไม่ใช่สิ่งที่จะพกพาไปไหนมาไหนได้ง่ายๆ
ในพื้นที่ที่ห่างไกลจากตัวเมืองเช่นนี้จึงไม่มีทางรู้เวลาที่แม่นยำ
แต่ถ้าดูจากความง่วงและความหิวที่คริชกำลังเผชิญ
นี่น่าจะเลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว
ผ่านมา 6 ชั่วโมงตั้งแต่ที่พระอาทิตย์ตกดิน มันเลยเวลานอนปกติของคริชมานานมากแล้ว
“คริช อย่าพึ่งหลับ อดทนอีกนิดเดียว”
“……อืออ หิว ง่วง……”
คริชได้อธิบายแผนต่างๆให้เหล่าผู้บัญชาการกองพลที่มารวมตัวกันที่นี่ฟังอีกครั้ง
แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้จบแค่นี้
แผนที่คริชบอกคือกลยุทธ์โดยรวมแบบคร่าวๆ ทีนี้พวกเขาจะต้องหารือเรื่องการเคลื่อนทัพอย่างละเอียด——
เรื่องยุทธวิธีนั่นเอง
พวกเขาจดจ่ออยู่กับแผนที่และโต้เถียงกันว่าจะวางกองพลต่างๆไว้ที่ไหน—— นั่นเป็นจังหวะที่คริชเริ่มสัปหงก
แต่เซเลเน่จะคอยหยิกแก้มและปลุกเธอให้ตื่นทุกครั้ง
กองพลที่หนึ่ง มีความสามารถโดยรวมสูงที่สุดในกองทัพคริสแตนด์
กองพลที่สอง จะมุ่งเน้นเรื่องการสู้รบเป็นพิเศษ
กองพลที่สาม เก่งเรื่องการตั้งรับ รวมถึงการสร้างค่ายชั่วคราว
กองพลที่สี่ ถนัดเรื่องการเคลื่อนทัพด้วยยุทธวิธีที่ซับซ้อน
การปรึกษาหาวิธีที่จะดึงประสิทธิภาพของแต่ละกองพลออกมาให้ได้มากที่สุดนั้นใช้เวลานาน
แต่คริชเป็นคนต้นคิดที่เสนอกลยุทธ์นี้
เธอจะบอกว่าง่วงนอนแล้วออกไปเฉยๆไม่ได้ จึงต้องจำใจเข้าร่วมการประชุมจนดึกดื่น
คริชขยี้ตาอย่างงัวเงียในขณะที่เซเลเน่จูงมือเธอไปที่เต็นท์หลังเล็กๆ
ข้างในมีข้าวของเครื่องใช้เพียงเล็กน้อย ที่มุมเต็นท์มีเตียงแบบง่ายๆที่ทำจากฟางปูด้วยผ้าคลุมอยู่
เซเลเน่พาคริชนั่งลงบนเตียงและเทซุปจากเหยือกที่หยิบติดมือมาด้วยใส่ลงในถ้วย
เธอหยิบขนมปังที่พกมาและนั่งลงข้างๆคริช
ขนมปังถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กๆ จุ่มในน้ำซุป และป้อนเข้าปากของคริช
คริชเคี้ยวอย่างเชื่องช้า กลืนมันลงไป และพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“อาหย่อย…”
“เอ้านี่ ถือซุปไว้ เดี๋ยวฉันป้อน”
“อื้ออ…”
ปกติคริชจะนอนตั้งแต่สองชั่วโมงหลังดวงอาทิตย์ตกและตื่นแต่เช้าพร้อมกับเบรี่
ร่างกายของเธอมาถึงขีดจำกัดจากการที่ต้องอยู่จนดึกดื่น บวกกับภาระทางจิตใจจากการประชุม
แถมเธอยังไม่ได้กินอะไรในระหว่างนั้นเลย
ตอนนี้ระดับสติปัญญาของคริชจึงตกต่ำถึงขีดสุด
แต่เพราะที่นี่มีแค่เซเลเน่ คนที่คริชไว้วางใจ คริชจึงขยับไปด้วยสัญชาตญาณเท่านั้น
“ถึงโตแค่ไหนเธอก็ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่ดี กับฉันหรือเบรี่ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าทำตัวแบบนี้ต่อหน้าทหารคนอื่นเชียว ตกลงมั้ย?”
“อื้อ… ตกลง”
“…จริงๆนะ? นี่เข้าใจจริงมั้ยเนี่ย…?”
แต่เซเลเน่ก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพลางลูบหัวคริช มองไปยังคริชที่เพลิดเพลินไปกับขนมปังราวกับลูกนกที่ถูกป้อนอาหาร
ตาของคริชหรี่ลงเล็กน้อยอย่างมีความสุข
พอเซเลเน่ป้อนอาหารให้คริชเสร็จ เธอก็ถอดเสื้อคลุมกับอุปกรณ์ต่างๆของคริชออก
และคลุมตัวคริชไว้ด้วยผ้าห่ม
“…ยังกับฉันเป็นคนใช้เลย ฉันไม่ใช่เบรี่นะรู้มั้ย”
“……? เซเลเน่ก็คือเซเลเน่ คริชไม่จำผิดหรอก”
“ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ช่างเถอะ รีบๆนอนได้แล้ว”
คริชทำหน้าสับสนที่ถูกเซเลเน่จิ้มที่แก้ม เธอจับมือของเซเลเน่ไว้และดึงเข้ามาใกล้ๆ
คริชเป็นคนขี้หนาวและต้องการความอบอุ่น
เซเลเน่บ่นพึมพำขณะปีนขึ้นไปบนเตียง แต่เมื่อคริชกอดเธอ เธอก็ยิ้มและกอดคริชกลับอย่างอ่อนโยน
คริชหลับตาลงด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายและมีความสุข
ลมหายใจของเธอค่อยๆช้าและสงบลง
“หลับเร็วชะมัด…”
เซเลเน่ถอนหายใจออกมาและจูบลงที่หว่างคิ้วของคริช ปัดผมนุ่มสลวยของเธอออกไปด้านข้าง
เซเลเน่ก้มลงมองมือของตัวเองที่กำลังสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัวไปมา
—— เมื่อไม่กี่วันก่อน เซเลเน่พึ่งฆ่าคนเป็นครั้งแรก
ในระหว่างทางที่ไปรายงานคำสั่งให้ผบ.กองพล เธอเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้และฆ่าคนไปสองคน
เพราะเธอฝึกกับคริชทุกวัน พวกเขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ตึงมือและเธอก็ไม่มีเวลาที่จะมัวลังเลในสนามรบ
แต่ในตอนที่เธอนอนอยู่บนเตียงคนเดียว ความทรงจำนั้นก็จะผุดขึ้นมาและทำให้เธอตัวสั่น
เธอยังจำความรู้สึกของดาบที่ตัดผ่านเนื้อพร้อมกับใบหน้าที่ทุกข์ทรมานนั้นได้
ในสนามรบเต็มไปด้วยเสียงต่างๆมากมาย
เสียงของใครซักคนที่ร้องเรียกหาแม่ หาคนรัก เสียงของคนที่หวาดกลัวความตาย เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของคนที่กำลังควานหามือขวาของตัวเอง
คืนนั้นเซเลเน่ถึงกับอาเจียนออกมาและอาการไม่ดีจนถึงวันถัดไป
ถึงจะมีกาเรนคอยปลอบ แต่เธอก็แทบนอนไม่ได้เลยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ความรู้สึกนั้นยังคงติดค้างอยู่ในมือของเธอ
เซเลเน่เหม่อมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของคริชที่กำลังหลับอย่างสงบสุข
ไม่น่าเชื่อว่าเธอพึ่งฆ่าไป 13 คน
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ถึงอย่างนั้นคริชก็ยังใจเย็นเกินไป
เธอพูดด้วยน้ำเสียงปกติในตอนที่บอกว่าเธอฆ่าและทรมานโจรป่ายังไง
ราวกับกำลังเล่าว่าเธอพึ่งกินอะไรไปเป็นมื้อเย็น
แต่แทนที่จะมองว่าน่ากลัว เซเลเน่กลับคิดว่ามันน่าเศร้า
เธอเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกเหรอ? หรือว่าหลังจากที่เสียพ่อแม่ไปกันนะ?
เซเลเน่ไม่รู้เรื่องนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา
เธออาจจะเป็นแบบนี้ ไปตลอดชีวิตสินะ
มโนธรรมของคริชนั้นแตกต่างไปจากคนอื่นๆ และบางครั้งเธอก็เข้าใจผิดในเรื่องง่ายๆ
เธอเป็นคนมีความสามารถ แต่ก็ไม่ปกติ
สำหรับเธอ คนอื่นๆก็คงเหมือนกับเป็นสิ่งมีชีวิตคนละชนิด
คริชพร้อมทำทุกอย่างถ้ามีเหตุจำเป็น เธอจะไม่ลังเล เธอจะทำมันจนสำเร็จด้วยความเยือกเย็นและดูไร้เมตตา
นั่นเป็นสาเหตุที่ผู้คนหวาดกลัวและหลบเลี่ยงเธอ
เซเลเน่เคยคิดว่าชาวบ้านที่นั่นเลวร้ายมากที่ปฏิบัติกับคริชแบบนั้น
แต่ตอนนี้เซเลเน่เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม และมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
“……ไม่ว่ายังไง คริชก็ยังเป็นคริช”
คริชจะยังทำตัวตามปกติเสมอ แม้ว่าคนอื่นๆจะเกลียดหรือหวาดกลัวเธอ
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คริชคงไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้คนที่เธอเคยสนิทด้วยจะเริ่มตีตัวออกห่างและถูกทิ้งเหลือตัวคนเดียว
คริชก็ยังเป็นคริช
และคริชคงจะมุ่งหน้าต่อไปโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเหงา
เหมือนตัวตลกที่ยังเต้นรำต่อไป โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเหลือเธอคนเดียวในโรงละครแห่งนี้
เซเลเน่เหม่อมองที่คริชที่ออดอ้อนเธออย่างมีความสุข
คริชชอบนอนกับคนอื่น
อาจเพราะว่ามันรู้สึกดี หรือเพราะทำให้รู้สึกสบายใจ หรือบางทีอาจแค่เพราะว่ามันอุ่นเฉยๆ
เซเลเน่ไม่รู้เหตุผล
คริชมักจะตามติดเบรี่ไปทุกที่ในคฤหาสน์ ชอบให้โอ๋ เธอดูสนุกกับที่ได้ทำงานบ้านและทำอาหารด้วยกัน
แต่ว่า ต่อให้คริชเสียสิ่งเหล่านั้นไป…
“……เฮ้ออ”
ที่น่าเศร้าที่สุดคือเธอคงไม่รู้สึกเสียใจด้วยซ้ำหากต้องสูญเสียความสุขเหล่านั้นไป
คริชขาดบางสิ่งที่ล้ำค่าไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว
และต่อให้เธอเสียสิ่งสำคัญไป เธอก็ไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่ามันสำคัญกับเธอแค่ไหน
หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาสองปี เซเลเน่ก็เริ่มเข้าใจคริชขึ้นมาก
เธอได้เห็นด้านที่น่ารักของคริชมากมาย — และด้านที่น่าเศร้าเช่นกัน
เซเลเน่เริ่มรู้สึกอยากที่จะปกป้องเธอ
นั่นเป็นสัญชาตญาณของแม่? หรือว่าพี่สาว?
จะยังไงก็ช่าง
เซเลเน่สลัดความคิดออกจากหัว พลางไล่นิ้วไปตามเส้นผมสีอ่อนของคริช
อาจจะฟังดูอวดดีไปหน่อย แต่ฉันจะคอยอยู่เคียงข้างเธอเอง
ฉันจะสู้เพื่อปกป้องความสุขของคริช ความสุขที่ตัวเธอเองยังไม่รู้ว่ามีมันอยู่
‘…ถึงแม้ท่านคริชจะต่อสู้ได้เก่งกว่าใครทุกคน
ถึงแม้ว่าเธออาจจะเป็นวีรสตรีที่ได้จารึกชื่อในประวัติศาสตร์
แต่ท่านคริชที่ฉันรู้จักเป็นแค่เด็กขี้อ้อนที่ชอบทำอาหารเท่านั้น…… เพราะแบบนั้น ฉันถึงไม่เห็นด้วยค่ะ’
ในตอนที่คริชเริ่มไปที่สนามฝึกทหาร เบรี่คัดค้านหัวชนฝา
ตอนนั้นเซเลเน่มองคริชเป็นแค่เด็กแปลกๆคนนึงเท่านั้นเลยไม่ได้ใส่ใจนัก
แต่พักหลังมา เซเลเน่เริ่มเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้นมากขึ้น
และเธอพึ่งจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเมื่อได้ยินการรายงานของคริชในวันนี้
อา เบรี่คงจะเข้าใจคริชดีกว่าใครทุกคน
เธอคงคิดแบบเดียวกับฉันในตอนนี้มาตลอดสินะ
“ถึงฉันจะยังอ่อนหัดอยู่ แต่ว่า…”
เซเลเน่พูดกับคริชด้วยเสียงที่เบาราวเสียงกระซิบ
“ซักวันนึง ฉันจะปกป้องเธอเอง เพื่อที่เธอจะได้ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอีก”
หลังจากที่จูบลงที่หว่างคิ้วของคริชอีกครั้ง เซเลเน่ก็ค่อยๆหลับตาลง
===========================
TL note: หายไปนานเลยต้องขออภัยด้วยครับบ
ช่วงนี้มหาลัยเปิดเทอมเลยแล้วเลยไม่ค่อยมีเวลาแปลเท่าไหร่ คงจะลงอาทิตย์ละตอนแบบที่ผ่านมาไม่ได้แล้วครับ ;w;
ก็จะพยายามหาเวลามาแปลเรื่อยๆ แต่คงไม่มีกำหนดการแน่นอนแล้วครับ