ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 15 ข้อเสนอของคริช
บทที่ 15 ข้อเสนอของคริช
โบแกนและกาเรนอยู่ข้างในเต็นท์
ชุดของโบแกนคล้ายกับของเซเลเน่และเขาก็ไม่ได้สวมเกราะเช่นกัน
ส่วนกาเรนยังสวมเกราะหนังสีดำ คงเพราะว่าติดเป็นนิสัยไปแล้ว
กาเรนพึ่งกลับเข้ามาทำงานในกองทัพเมื่อปีก่อน เขาได้รับหน้าที่เป็นเสนาธิการทหารให้โบแกนในสงครามครั้งนี้
“เราพึ่งได้ฟังรายงานมา ดูเหมือนว่าเธอจะทำผลงานไว้เยอะเลยนะคริช”
ผู้บัญชาการขบวนขนส่งเองก็อยู่ในเต็นท์ด้วย
ทั้งโบแกนและกาเรนต่างยิ้มออกมา
พวกเขาลุกขึ้นเมื่อเห็นคริชและกอดเธอเบาๆ
แต่ผู้บัญชาการกลับดูตื่นตระหนกทันทีที่คริชเข้ามาในเต็นท์
“คริชแค่ช่วยนิดหน่อย… ขอบคุณที่พาคริชมาส่งนะคะ คุณผู้บัญชาการ”
“ดะ ด้วยความยินดีครับ… ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณน่ะ”
เขาลนลานเมื่อเห็นคริชก้มหัวให้
“…คริช แล้วเธอทำอะไรไปบ้างล่ะ”
“อ้า จริงด้วยสิ คริช หลานควรจะรายงานให้ท่านนายพลฟังด้วยนะ”
คริชพยักหน้าให้กาเรน
“ได้ค่ะ เอ่อ…”
คำอธิบายของคริชนั้นค่อนข้างกระชับ
มีโจรป่าลอบโจมตีรถม้าที่อยู่ท้ายขบวน
เธอจึงไล่พวกเขาหนีไป
จากข้อมูลที่ได้มาจากหัวหน้าของโจรป่า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับเงินและข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการโจมตีขบวนขนส่งมาจากคนที่น่าจะเป็นสปายของเอลส์เรน
จากข้อสรุปที่คริชได้จากหัวหน้า เธอรายงานว่าในป่ายังมีโจรป่าอีกหลายกลุ่ม และพวกเขาก็น่าจะได้รับข้อเสนอแบบเดียวกัน
“ถึงจะไม่ทราบจำนวนแน่ชัด แต่เท่าที่เห็นด้วยตาก็มีประมาณสามสิบคนค่ะ
กว่าคริชจะไปถึงท้ายขบวน ฝ่ายเราก็เสียชีวิตไปเจ็ดคนแล้ว
คริชเลยจัดการโจรป่าไปสิบสามคน รวมหัวหน้าด้วย
ส่วนทหารคนอื่นๆจัดการไปเจ็ดคน
ดังนั้นน่าจะมีอีกประมาณสิบคนที่ยังเหลือรอดอยู่ค่ะ”
ล้อเล่นน่า? ผู้บัญชาการพึมพำเบาๆก่อนจะรีบปิดปากอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์กับตาและเขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“จริงๆคริชสามารถไล่ตามพวกเขาได้ แต่คริชกลัวว่าจะมีการโจมตีอีกระลอก คริชเลยให้ความสำคัญกับการทรมานหัวหน้าก่อน ดังนั้นข้อมูลนี้น่าจะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ค่ะ
“ทรมาน? คริชน่ะเหรอ…?”
“คริชตัดไปแปดนิ้ว ก็เขาเป็นโจรนี่นา”
คริชที่ตอบออกมาอย่างสบายๆทำให้บรรยากาศภายในเต็นท์หนักอึ้ง
ผู้บัญชาการขบวนขนส่งพยายามรักษามาดไว้ แต่ความหวาดกลัวก็ยังฉายอยู่ในแววตา
สัตว์ประหลาด—— ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์เรียกเธอแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
เขาได้ยินมาว่าคริชฆ่าคนไปเป็นโหลโดยไม่ปล่อยให้เลือดกระเซ็นโดนตัวซักหยด จากนั้นก็ตัดนิ้วของโจรป่าทีละนิ้วอย่างไม่ลังเล
พอได้ยินคริชรายงานเรื่องนี้จากปากราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย เขาก็ตระหนักว่าสิ่งที่เขาได้ยินมานั้นตรงตามความจริงไม่มีผิดเพี้ยน
เด็กสาวคนนี้แตกต่างจากรูปลักษณ์ของเธอมากนัก
ในขณะที่อีกสามคนที่เหลือมีสีหน้าที่ค่อนข้างเงียบขรึม แต่พวกเขาก็ดูจะเข้าใจเธอ
ถ้ามองจากสิ่งที่เธอเจอในอดีตแล้ว เธอคงไม่รู้สึกผิดกับการทรมานโจรป่าเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่างทั้งสามคนก็สนิทกับคริชมากพอที่จะเข้าใจว่านิสัยที่แท้จริงของเธอเป็นยังไง
เธอจะอ่อนโยนกับคนที่ใกล้ชิดกับเธอ แต่จะไร้ความปรานีหากเป็นใครคนอื่น
หลังจากที่บรรยากาศมาคุอยู่ซักพัก เซเลเน่ก็ลูบหัวคริช ทำให้คริชยิ้มออกมา
“…อย่างนี้นี่เอง ลำบากน่าดูเลยสิ”
“ค่ะ คริชไม่คิดว่าจะถูกโจมตีระหว่างทาง เลยตกใจนิดหน่อย คริชไม่ได้อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เลยว่าจะให้เป็นหน้าที่ของพวกทหาร… แต่คริชก็ไม่อยากปล่อยให้มันสายเกินไป เหมือนตอนอยู่ที่หมู่บ้าน”
“งั้นเหรอ… ทำได้ดีมากเลยนะ”
โบแกนพยักหน้าและขอบคุณเธอ
“นั่นคือรายงานทั้งหมดของคริช แล้วก็คริชมีจดหมายมาด้วย…”
“อ้า จริงด้วย เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง เอ้า ทั้งสองคนเข้ามานั่งก่อนสิ”
โบแกนหันไปหาผู้บัญชาการ
เขากลับมาได้สติและพยักหน้า
เขาชิดเท้าและวางฝ่ามือขวาที่หน้าอกซ้าย
——ข้าขอมอบชีวิตนี้ให้ท่าน
เป็นความหมายของมัน
“ขออนุญาตจบการรายงานครับ!”
“ดีมาก ไปพักผ่อนให้เต็มที่”
===========================
หลังจากที่ชายคนนั้นออกไป เกเรนก็หยิบกาน้ำและรินของเหลวสีดำใส่แก้วสองใบ
มันเป็นเครื่องดื่มที่เรียกว่า ชาถั่วเหลืองดำ*
คริชส่งจดหมายให้โบแกนและวิ่งไปรับแก้วทั้งสองจากกาเรน
ก่อนจะนั่งลงและส่งใบหนึ่งให้เซเลเน่
คริชมองไปรอบๆราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง
เซเลเน่เห็นดังนั้นจึงยิ้มออกมา เธอหยิบนมและน้ำผึ้งที่ถูกคลุมด้วยผ้าบนโต๊ะออกมา
คริชหน้าแดงในขณะที่เททั้งสองอย่างใส่ในถ้วยชาเป็นปริมาณมาก
ชาถั่วเหลืองดำนั้นค่อนข้างขมและคริชดื่มมันไม่ได้ถ้าไม่เติมนมกับน้ำผึ้งลงไปเยอะๆ
“เบรี่สบายดีรึเปล่า?”
“…ค่ะ เบรี่เป็นห่วงนายท่านมาก พวกเราสองคนคิดสูตรอาหารไว้เยอะแยะเลย เธออยากให้นายท่านได้ลองชิมด้วย”
“หึหึ ที่นั่นดูสงบสุขดีนะ ฉันเองก็อยากรีบกลับเหมือนกัน แต่ว่า…”
โบแกนที่กวาดตาอ่านจดหมายเสร็จใส่มันกลับลงไปในซองพร้อมพยักหน้า
“…แน่นอนว่าฉันคิดถึงอาหารของคริชกับเบรี่เหมือนกัน ถึงสถานการณ์ตอนนี้จะเริ่มสงบลงบ้างแล้ว แต่สนามรบก็ไม่ใช่ที่ที่น่าอภิรมย์อยู่ดี ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะกลับเร็วๆอยู่หรอก…”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ ยิ่งข้าศึกบุกเข้ามาได้ไกลขนาดนี้แล้ว ทางเดียวที่จะควบคุมสถานการณ์ได้คือต้องยึดวัลเฟไนท์กลับมาแล้วสร้างแนวป้องกันล้อมรอบมันไว้”
กาเรนพูดต่อจากโบแกน
ตำแหน่งของเขาคือเสนาธิการประจำตัวของนายพลและเป็นผู้ติดตามของโบแกน
แต่เมื่อไม่มีทหารคนอื่นๆอยู่ พวกเขาก็ทำตัวตามปกติ
ขุนนางนั้นมีอำนาจมากในการจัดการกองทัพและการรับคนเข้ามาทำงานผ่านเส้นสายส่วนตัวถือเป็นเรื่องปกติ
มันเป็นกฎที่ค่อนข้างยืดหยุ่น
จึงไม่มีใครคิดจะบ่นเรื่องที่อดีตนายร้อยได้ขึ้นเป็นเสนาธิการนายพล
อีกส่วนหนึ่งก็เพราะในช่วงที่เขาอยู่ในกองทัพ กาเรนค่อนข้างโด่งดังในฐานะนายร้อยผู้กล้าหาญและเก่งกาจ
และคนที่นับถือเขาในตอนนั้นส่วนใหญ่ก็กลายเป็นคนใหญ่คนโตในกองทัพคริสแตนด์
แม้นายร้อยจะรับหน้าที่สั่งการทหารเพียงร้อยนาย แต่พวกเขาก็ยังเป็นนักรบ
พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอันตราย แต่การเสี่ยงชีวิตก็มาพร้อมกับชื่อเสียงและความเทิดทูน
เหล่าทหารนับถือในตัวนายร้อยที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขและนำพาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จมากกว่านายพลที่ดูไกลเกินเอื้อมเสียอีก
กาเรนสร้างผลงานจนไต่เต้าจากพลทหารขึ้นมาเป็นนายร้อยได้อย่างรวดเร็ว
และยังได้ขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษในหมู่ทหารด้วยกัน
มีผู้คนมากมายขุ่นเคืองใจในความไม่เป็นธรรมที่กาเรนต้องลาออก และอีกมากมายที่ปิติยินดีในการกลับมาของเขาในฐานะเสนาธิการของโบแกน
ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าขุนนางผู้มีมานามักจะมีชีวิตยืนยาวเกินร้อยปี
ในขณะที่อายุขัยของมนุษย์ธรรมดานั้นสั้นกว่ามาก
นั่นช่วยให้กาเรนที่อายุมากแล้วไม่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งในการเลื่อนขั้น
เซเลเน่เองก็รับตำแหน่งเสนาธิการเหมือนกัน
แต่มันค่อนข้างเป็นเรื่องธรรมดาที่นายพลจะสืบทอดตำแหน่งให้กับทายาท
และมันก็ไม่ผิดที่จะให้ลูกๆของพวกเขาเข้ามาเป็นเสนาธิการเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับกองทัพ
เนื่องจากเซเลเน่คือผู้สืบทอดของโบแกน จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านการรับตำแหน่งเสนาธิการของเธออย่างเปิดเผย
และความสามารถในการเข้าสังคมของเธอก็ช่วยให้เธอปรับตัวเข้ากับคนในกองทัพได้ดี
เธอกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘สตรีแห่งดาบ’ ด้วยภาพลักษณ์ที่สง่างามและทักษะดาบของเธอ
แต่ปัญหากลับมาตกที่คริช
ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของเธอค่อนข้างคลุมเครือ
ถึงทุกคนจะรู้ความสามารถของเธอดี
แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้เธอข้ามขั้นไปเป็นเสนาธิการ
หรือแม้แต่การมอบยศให้เธอก็มีแต่จะสร้างปัญหา
ยศสิบโท (corporal) คือผู้นำในหมู่ทหารห้านาย
ยศร้อยเอก (captain) จะมีทหารยศสิบโทอยู่ใต้บังคับบัญชาสิบนาย
ยศนายร้อย (centurion) จะสามารถสั่งการทหารยศร้อยเอกได้สองนาย รวมแล้วจะมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาหนึ่งร้อยนาย
ตำแหน่งเหล่านี้ถือตำแหน่งสำหรับทหารทั่วๆไปและมีอัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตที่สูง
การให้ลูกสาวของนายพลเข้ารับตำแหน่งเหล่านี้อาจสร้างภาพลักษณ์ไม่ดีต่อสังคมได้
แม้ว่าตัวโบแกนเองจะเข้ากองทัพมาด้วยยศร้อยเอกเพราะสมัยนั้นเขายังเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยอยู่
แต่ตอนนี้เขาเป็นนายพลแล้ว
ถ้าจะให้ลูกสาวมารับตำแหน่งร้อยเอกก็คงไม่ดี
และโบแกนเองก็ไม่อยากส่งเธอไปแนวหน้าเพียงเพราะว่าเธอมีความสามารถ
ถ้าเทียบจากทักษะของเธอแล้ว เธอควรจะได้ยศที่สูงกว่านั้น
ซึ่งก็คือผู้บังคับกองพัน (battalion commander) ที่จะมีทหารยศนายร้อยอยู่ใต้บังคับบัญชาสิบนาย
สูงกว่านั้นก็จะเป็นผู้บัญชาการกองพล (corps commander) ที่จะรับคำสั่งจากนายพลโดยตรงและมีผู้บังคับกองพันอยู่ใต้บังคับบัญชาห้านาย
นอกเหนือจากนั้นก็จะมีผู้บัญชาการขบวนขนส่ง ที่รับหน้าที่ดูแลการส่งเสบียง
ซึ่งตำแหน่งเหล่านั้นเต็มหมดแล้ว
จริงๆแล้วคริชเหมาะที่จะรับตำแหน่งผู้บังคับกองพัน แต่จะสร้างตำแหน่งขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะก็ไม่ได้
สุดท้าย ตอนนี้เธอจึงเป็นได้แค่ ‘ลูกสาวของนายพล’ เท่านั้น
ทางที่ดีที่สุดคือให้เธอเข้าร่วม ‘การซ้อมยุทธวิธี’ ที่โบแกนพยายามจัดขึ้นตลอด
คริชจึงได้ฝึกหลักสูตรของทหาร—— ทั้งศึกษาด้านยุทธศาสตร์และการวางแผน
แม้ว่าจะเธอจะเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพแค่ในนามเท่านั้น
นั่นเป็นสาเหตุที่คนในกองทัพวางตัวกับเธอไม่ถูก
แต่เพราะคริชมักจะทำตัวเป็นสาวน้อยผู้สมบูรณ์แบบอยู่เสมอ
ทหารส่วนใหญ่จึงตัดสินใจปฏิบัติกับเธอในฐานะ ‘ลูกสาวของนายพล’ แทน
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างอิสระโดยไม่ถูกตำหนิ
ด้วยสถานะของเธอในตอนนี้ เธอสามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารหรือลูกสาวของนายพลได้ตามความเหมาะสม
ซึ่งมันค่อนข้างสะดวกทีเดียว
คริชเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องตำแหน่งและพูดจาสุภาพกับทุกคนอยู่แล้ว
ดังนั้นตำแหน่งที่คลุมเครือนี้จึงไม่ได้กวนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“คริช คิดยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้เหรอ?”
ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ทีเดียว
โบแกนรู้สึกดีใจที่มีคริชอยู่ด้วยในสถานการณ์แบบนี้
แนวคิดของเธอแปลกใหม่และมีประโยชน์มาก
ถึงโบแกนจะพยายามไม่ดึงเซเลเน่และคริชเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสนามรบเพราะพวกเธอยังเด็ก
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องยอมรับว่าพวกเธอมีประโยชน์แค่ไหน
เขาจึงถามคำถามนี้กับคริชและรอเธอด้วยความคาดหวัง
คริชขบคิดคำถามของโบแกนซักครู่พลางกวาดตามองไปบนแผนที่บนโต๊ะ
“ก่อนหน้านี้มีการโจมตีขบวนขนส่งบ้างมั้ยคะ?”
“ใช่ มีรายงานการโจมตีแบบนั้นเข้ามาหลายครั้งเลย
ถึงความเสียหายจะน้อย แต่นั่นก็ทำให้พวกทหารเริ่มไม่สบายใจ… ดูแล้วน่าจะเป็นแค่การก่อกวนล่ะนะ”
“ค่ะ คริชก็คิดแบบนั้น พวกเขาน่าจะจงใจสร้างความวุ่นวายเพื่อทำลายขวัญกำลังใจ
สำหรับตอนนี้ควรให้ความสำคัญในการเพิ่มคนคุ้มกันขบวนขนส่งมากกว่า…
ที่พอทำได้คงมีแค่การเตรียมรับมือ ถ้าจะให้ค้นหาทั้งป่ามันกินแรงเกินไป”
คริชชี้ไปที่ตัวหมากที่ใช้แทนทัพศัตรู
“ด้วยจำนวนที่มากกว่า ศัตรูมีทางเลือกอยู่หลายทาง
ในขณะที่ฝ่ายเราไม่มีทหารพอสำหรับการบุกโจมตีด้วยซ้ำ
เราจึงทำได้แค่ตั้งรับ พูดอีกอย่างคือพวกเขากำลังได้เปรียบอย่างมาก
ถ้าคริชเป็นพวกเขา… คริชจะบุกลงใต้ก่อน”
“คิดแบบนั้นเหมือนกันสินะ? ทำไมล่ะ?”
คริชพยักหน้าและยกถ้ายชาขึ้นมาจิบ ชาถั่วเหลืองดำในถ้วยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเพราะนมจำนวนมากที่ถูกใส่ลงไป
เธอตอบคำถามของโบแกนด้วยรอยยิ้มพึงพอใจบางๆ
“เพราะเรามีป่าขนาดใหญ่อยู่ข้างหลัง คริชเลยไม่โจมตีที่นี่
ถ้ากองทัพของเราหนีเข้าไปในป่า การกวาดล้างพวกเราจะเป็นเรื่องยาก
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดล้อมหรือลาดตระเวนหาทั่วทั้งป่า
เมื่อพวกเขาไล่ต้อนเราไม่ได้ เราก็จะสามารถมารวมตัวกันใหม่ได้อีกครั้ง
ที่นายท่านตั้งศูนย์บัญชาการไว้ที่นี่เพราะเหตุผลนี้ใช่มั้ยคะ?”
“ใช่ ถูกต้องแล้ว แผนของเราตรงตามที่เธอบอกเลย”
“ผู้บัญชาการสูงสุดของศัตรูที่สั่งการทหารกว่าแสนนายคงมองเรื่องนี้ออกได้ไม่ยาก
ดังนั้นเขาจะไม่ยกทัพหลักมา แต่จะทิ้งกองกำลังสามหมื่นนายเพื่อกันเราไว้ที่นี่
และแบ่งหนึ่งหมื่นนายที่เหลือลงไปเสริมทัพทางใต้”
คริชขยับตัวหมากที่มีสัญลักษณ์หนึ่งหมื่นลงไปทางใต้
*TL note: อันนี้เป็นแผนที่ที่ผมลองวาดคร่าวๆจากข้อมูลที่มี อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
“หนึ่งหมื่นนายนี้จะใช้สกัดกั้นแนวรบทางใต้ ในขณะที่ทัพหลักสี่หมื่นนายเข้าโจมตี
ต่อให้ทัพหลวงส่งกำลังเสริมมาช่วย พวกเขาก็จะถูกขนาบด้วยทัพของข้าศึกจากวัลเฟไนท์
ทัพหลวงจึงต้องใช้ทางอ้อมซึ่งจะเสียเวลามากค่ะ
ภูมิประเทศในพื้นที่ทางใต้เป็นที่ราบโล่ง ข้าศึกจะสามารถรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วจนกองกำลังทางใต้ต้องถอยร่นไปไกล
จากที่ประมาณการณ์ไว้มีทหารข้าศึกอยู่ที่วัลเฟไนท์ประมาณสองหมื่นนายใช่มั้ยคะ?”
“ใช่ จากที่ได้ยินมาล่ะนะ”
“ถ้าอย่างนั้นการยึดวัลเฟไนท์คืนในระหว่างที่ข้าศึกบุกลงใต้คงเป็นเรื่องยากค่ะ
ตอนนี้กองทัพเอลส์เรนสามารถตรึงแนวรบและยึดดินแดนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ได้
หรือไม่พวกเขาอาจจะร่วมมือกับสาธารณรัฐกัลชานเพื่อยึดพื้นที่ตอนใต้ทั้งหมดในคราวเดียว”
ทั้งสามคนขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังสมมติฐานของคริช
ราชอาณาจักรมีพื้นที่ขนาดใหญ่
บริเวณชายแดนฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือมีแนวสันเขาที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนอยู่
ประชากรที่อาศัยอยู่บนภูเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนของประเทศใดแต่เป็นชนเผ่า
พวกเขาจะไม่มายุ่งวุ่นวาย ตราบใดที่อาณาเขตของพวกเขาไม่ถูกรุกราน
ทางทิศเหนือมีมหารัฐอาร์นา ที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันกับราชอาณาจักรมาตลอด
เรียกได้ว่าทิศเหนือเป็นพันธมิตรและไม่มีความจำเป็นต้องกังวล
ตามจริงแล้วพวกเขาเสนอที่จะส่งกำลังเสริมมาช่วยด้วยซ้ำ
ถ้าเป็นไปได้คงไม่อยากให้ราชอาณาจักรอัลเบรันที่เกื้อกูลกันมาต้องล่มสลาย
ส่วนที่ต้องกังวลคือทิศใต้และตะวันตก
ราชอาณาจักรเคยทำสงครามกับสาธารณรัฐกัลชานทางใต้อยู่หลายครั้ง
แม้ว่าตอนนี้จะสงบศึกกันแล้ว แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถือโอกาสเข้าโจมตี
เช่นเดียวกับราชอาณาจักรเอลเดรันด์ทางตะวันตก
แต่ทว่า ตอนนี้พวกเขากำลังทำสงครามกับสาธารณรัฐกัลชานอยู่
เอลเดรันด์มีกำลังทหารที่อ่อนแอกว่าทั้งคู่จึงไม่สามารถทำสงครามกับสองประเทศพร้อมๆกันได้
จึงมีแค่สาธารณรัฐกัลชานทางใต้ที่อาจเคลื่อนไหว
“ถ้าเป็นแบบนั้น คงเป็นเรื่องยากที่ราชอาณาจักรอัลเบรันจะโต้กลับได้
เราจะถูกบังคับให้เซ็นสัญญาสงบศึกแลกกับดินแดนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้”
คริชพูดข้อสรุปที่ได้ออกมาเบาๆโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
เพราะยังไง เรื่องนี้ก็ไม่มีผลอะไรกับชีวิตของคริชที่ดินแดนทางเหนือของอาณาจักรอยู่แล้ว
ด้วยการสนับสนุนจากมหารัฐอาร์นาทางตอนเหนือ
ถ้ากัลชานกับเอลส์เรนอยากจะยึดดินแดนมากไปกว่านั้น
พวกเขาจะต้องรบกับสองประเทศ
พูดง่ายๆคือถ้าคิดจะทำลายราชอาณาจักร พวกเขาก็ต้องทุ่มหมดหน้าตัก
ดังนั้นตราบใดไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น ชีวิตสงบสุขของคริชก็ยังคงปลอดภัย
“อย่างนี้นี่เอง ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอจะบอกแล้ว
ถ้ามองจากความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จักรวรรดิจะทำมันก็สมเหตุสมผลล่ะนะ
…แล้วเธอพอจะมีวิธีป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นรึเปล่า?”
โบแกนถามต่อด้วยสายตาจริงจัง
กาเรนกับเซเลเน่เองก็มองคริชด้วยสายตาแบบเดียวกัน
จากการประชุมหารือกันหลายต่อหลายครั้ง
พวกเขาได้ข้อสรุปแบบเดียวกับคริชเรื่องการเคลื่อนไหวของศัตรูที่เป็นไปได้มากที่สุด
แต่คริชสามารถไปถึงข้อสรุปนั้นจากความเป็นไปได้มหาศาลได้อย่างมั่นใจและง่ายดาย
แถมยังมีเรื่องน่าตกใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จักรวรรดิจะร่วมมือกับประเทศทางใต้อีก
ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวอาจนำไปสู่ความเสียหายมหาศาล
ความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
มันก่อให้เกิดความหวาดกลัวในความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดและนำพาให้ไขว้เขวไปจากทางเลือกที่ถูกต้อง
การที่คริชอธิบายอย่างสบายๆและมั่นใจนั้นทำให้พวกเขาตกตะลึงมากกว่าเรื่องสติปัญญาของเธอซะอีก
ความแน่วแน่และความสามารถในการเฟ้นหาต้นไม้ต้นเดียวในป่าแห่งความเป็นไปได้ และเลือกมันออกมาโดยไม่ลังเล
แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักเธออยู่แล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้
พวกเขายังไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่สอง
ดังนั้น เมื่อได้เห็นเธอตอบคำถามแรกได้อย่างง่ายดาย ความคาดหวังของพวกเขายิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
วิธีป้องกัน นั่นเป็นสิ่งที่โบแกนอยากรู้
คริชจ้องมองไปบนแผนที่และจำลองการเคลื่อนไหวของศัตรู
“จากความเป็นไปได้สูงสุดที่คริชพูดก่อนหน้านี้ ศัตรูตั้งใจจะเล่นกับเวลา
หน้าที่ของพวกเขามีแค่ขวางเราไว้ที่นี่
พวกเขาจึงแค่ตั้งค่ายไว้เฉยๆโดยไม่คิดว่าเราจะโจมตี
คริชว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องทวงความได้เปรียบคืนมา”
“…แต่ยังไงล่ะ?”
คริชชี้ไปที่พื้นที่ตรงกลางระหว่างกองทัพคริสแตนด์กับเอลส์เรน
พื้นที่ป่าบริเวณรอยต่อทางตะวันออกเฉียงเหนือ—— จุดที่แม่น้ำอัลซ์เรนไหลจากภูเขาไปสู่เมืองวัลเฟไนท์
“ตรงนี้เป็นแนวเข้าปะทะที่วางไว้สินะคะ ทั้งสองทัพจะเผชิญหน้ากันที่สองฝั่งของแม่น้ำอัลซ์เรน”
“ใช่แล้ว”
“ศัตรูคงคาดการณ์เรื่องนี้ไว้เหมือนกัน การข้ามแม่น้ำมีความเสี่ยงสูง
ยิ่งถ้าศัตรูตั้งทัพอยู่อีกฝั่ง เราจะไม่สามารถตอบโต้ได้เลย
จากสถานการณ์ในตอนนี้ แม่น้ำทำให้เราเสียเปรียบ”
“แม่น้ำงั้นเหรอ…”
คริชพยักหน้า
“อย่างแรกคือเราจะย้ายศูนย์บัญชาการไปทางตะวันออกแล้วจ้างแรงงานจากหมู่บ้านข้างเคียงมาทำเขื่อนกั้นแม่น้ำไว้
ตรงจุดที่น้ำจะไหลไปที่วัลเฟไนท์”
คริชชี้ไปที่ทางตะวันออกของแผนที่ เธอจิ้มลงไปที่ทะเลสาบเล็กๆ—— จุดที่แม่น้ำแบ่งออกเป็นสองสาย
แม่น้ำสายเหนือ แม่น้ำอัลซ์เรนจะไหลไปที่วัลเฟไนท์
ส่วนอีกสาย แม่น้ำเบซเรน จะไหลลงไปทางใต้มากกว่า
“แน่นอนว่าศัตรูจะส่งกองทัพตามเราไปทางตะวันออกด้วยแต่แค่บางส่วน
ศัตรูคงมองว่าเขื่อนนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการบุกยึดวัลเฟไนท์ของกองทัพหลวง
…ดังนั้น พวกเขาน่าจะทิ้งคนไว้ที่นี่ซักหมื่นคน”
“นั่น…ก็ฟังดูมีเหตุผล แต่เธอตั้งใจจะสร้างเขื่อนเพื่อเหตุผลอื่นสินะ”
“ใช่ค่ะ”
“ก็พอเข้าใจอยู่หรอก ถ้ากะจังหวะดีๆ แล้วทำลายเขื่อนเพื่อปล่อยน้ำออกมา
น้ำหลากจะทำลายค่ายของศัตรูที่อยู่ริมตลิ่งได้
แต่ก็มีโอกาสสูงที่ศัตรูจะมาขัดขวาง พวกเขาไม่ปล่อยให้เราสร้างเขื่อนได้ง่ายๆแน่
แถมโอกาสที่น้ำหลากจะสร้างความเสียหายให้ศัตรูก็น้อยด้วยนะ?”
“ใช่ค่ะ ตามนั้นเลย”
สีหน้าของทั้งสามคนดูสับสนเมื่อเห็นคริชพยักหน้า
“เป้าหมายของคริชคือการสร้างสนามรบที่เหมาะสมเท่านั้น เพราะงั้นเลยไม่เป็นไรค่ะ”
===========================
TL note:
*ชาถั่วเหลืองดำ: เป็นเครื่องดื่มที่มาจากการนำถั่วเหลืองดำหรือถั่วเหลืองผิวดำ (Black soybean) มาคั่วให้สุกและต้มในน้ำร้อนแล้วกรองกากออก มีกลิ่นหอมและรสชาติอ่อนๆ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
ผู้มีจิตศรัทธาสามารถโดเนทให้ผู้แปลได้ที่
——————————
พร้อมเพย์: 0943075995
——————————
คำเตือน: การโดเนทไม่ได้ทำให้แปลเร็วขึ้นแต่อย่างใด