ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 14 คริช บุตรีแห่งขุนพล
บทที่14 คริช บุตรีแห่งขุนพล
“ศัตรู! ศัตรูบุก! มีศัตรูอยู่ที่ท้ายขบวน!!”
คริชเป็นคนแรกที่ตอบสนองต่อเสียงตะโกน
ในขบวนขนส่งเสบียงประกอบด้วยรถม้าหลายคัน ซึ่งคริชอยู่ที่คันตรงกลางและไกลจากท้ายขบวนพอสมควร
แต่มียินเสียงร้องตะโกนนั้นดังมาจากที่ไกลๆ
“ท่านคริชรออยู่ตรงนี้ก่อน ใจเย็นๆ——”
แต่ไม่ทันที่ทหารคนนั้นจะพูดจบ ร่างของคริชก็หายไปแล้ว
รู้ตัวอีกทีเขาก็เห็นเธอยืนอยู่บนหลังคารถม้าคันถัดไปและจ้องมองไปที่ท้ายขบวน
คริชเมินเสียงตะโกนเรียกของชายคนนั้นและครุ่นคิดว่าจะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไงดี
นี่เป็นขบวนส่งเสบียงของโบแกน
ถ้ามันเสียหาย สิ่งแรกที่จะได้รับผลกระทบคืออาหารมื้อถัดไปของคริช
เธอตรวจสอบรถม้าที่ท้ายขบวนอย่างใจเย็น
มันกำลังตกขบวน —— คงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะจัดขบวนใหม่ในทันที
ที่นี่เป็นป่าด้านหลังแนวหน้าที่ควรจะปลอดภัยเลยมีการจัดกำลังพลคุ้มกันมาแค่ในจำนวนขั้นต่ำเท่านั้น
พวกเธอมีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะสู้กลับและจะยื้อได้อีกนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของศัตรู
คริชคิดหาความเป็นไปได้ต่างๆอย่างรวดเร็ว
——ศัตรูบุกฝ่าแนวหน้าเข้ามาเพื่อเข้าโจมตีช่องทางลำเลียงเหรอ?
แต่ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเธอน่าจะได้รับข่าวก่อน ม้าเร็วจะต้องมาถึงขบวนก่อนศัตรูแน่ๆ
——บางทีพวกเขาอาจจะผ่านเข้ามาโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว?
นั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันจะสร้างความเสียหายกับขบวนขนส่งอย่างมาก
และแทนที่จะมาก่อกวนขบวนขนส่งแบบนี้ ศัตรูน่าจะใช้โอกาสนี้ตัดช่องทางลำเลียงไปเลย ไม่ก็เข้าโจมตีแนวหลังของกองทัพหลักมากกว่า
ไม่ว่าจะยังไง การที่ศัตรูส่งทหารจำนวนขนาดนี้เข้ามาถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก และพวกเขาไม่น่าจะทำไปเพื่อลอบโจมตีรถม้าท้ายขบวนแบบนี้
แต่พวกเขาจะทำจริงๆ แปลว่าพวกเขาเฝ้ารอเพื่อหาโอกาสบุกเข้ามาอย่างรวดเร็วจนม้าเร็วมาส่งข่าวไม่ทัน
——หรือว่าจะเป็นการซุ่มโจมตี
นั่นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าพวกเขาส่งคนจำนวนน้อยๆเข้ามาล่ะ?
——ถ้าพวกเขาสามารถเข้ามาและซ่องสุมกำลังพลจากฝั่งนี้เพื่อทำการซุ่มโจมตีล่ะ?
แค่ใช้ทองหรือสินบนนิดๆหน่อยๆ พวกเขาอาจจะจ้างทหารรับจ้างหรือโจรป่าได้
แค่มีสปายคนเดียวก็ทำได้แล้ว ซึ่งกรณีนี้ก็น่าเป็นแบบนั้น
มันมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะขัดขวางการขนส่งเสบียงโดยใช้คนจำนวนไม่มาก
แต่ก็ไม่มีอะไรมาฟันธงได้จนกว่าคริชจะได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง
คริชกระโดดลงจากรถม้าและพุ่งเข้าไปในป่า
ถนนในป่านั้นแคบเกินกว่าที่จะขี่ม้าสวนทางกลับไป
และคริชก็ไม่ชอบการขี่ม้าด้วย มันทำให้เธอเจ็บก้น
เธอจึงตัดสินใจว่าถ้าเธอวิ่งลัดป่าไปน่าจะเร็วกว่า
คริชเร่งมานาเพื่อใช้เป็นกล้ามเนื้อจำลองและวิ่งออกไปเหมือนสายลม
เธอพุ่งตัวผ่านแมกไม้ราวกับลูกธนูที่พุ่งจากคันศร
สายตาของเธอสอดส่องหาเส้นทางพลางถีบต้นไม้เพื่อเร่งความเร็วและเบี่ยงตัวหลบกิ่งไม้ที่อาจเกี่ยวเสื้อของเธอขาด
ไม่นานเธอก็มาถึงจุดหมาย
มีศัตรูอยู่ในระยะสายตา 24 คน
แต่พวกเขาจะต้องมีมากกว่านี้แน่
เกราะหนังที่สวมดูสกปรกและมีหลากหลายแบบ
ไม่มีตราสัญลักษณ์หรืออะไรที่บ่งบอกว่าเป็นทหาร
ถ้าดูจากภายนอกน่าจะเป็นโจรป่า
ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาจัดการได้ง่าย
คริชชักดาบและโจมตีในทันที
เธอจับและฟันดาบแบบกลับมือ*
ตัดคอไปหนึ่งคนและหลบออกมาก่อนที่เลือดจะกระเซ็นเปื้อนเสื้อ
เธอควงดาบในมือและฆ่าอีกสองคนในระหว่างที่อ้อมไปยังถนนด้านท้ายขบวน
ภายในชั่วพริบตา และทุกสายตาก็จับจ้องไปที่คริช
และกว่าที่พวกเขาจะตระหนักว่าเธอเป็นศัตรู เธอก็ตัดคอคนที่อยู่ใกล้ที่สุดไปอีกคนหนึ่ง
คริชเลี่ยงกระดูกคอ และฟันเฉพาะส่วนที่อ่อนนุ่มเท่านั้น
ใบดาบสีเงินโค้งคล้ายนางินาตะอาบไปด้วยของเหลวสีแดงสดและไร้ซึ่งรอยบิ่น
โดยใช้เลือดที่สาดกระเซ็นเป็นม่านบัง
ร่างของคริชหลบหายไปโดยไม่มีใครรู้ตัว
——และเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ดอกไม้สีแดงฉานดอกใหม่จะผุดขึ้นอีก
ทั้งโจรป่าที่บุกโจมตีและเหล่าทหารที่เกือบจะถูกฆ่า ทุกคนต่างรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
คริชไม่ชอบความสกปรก—— คราบเลือดสีแดงก่ำจะเปรอะเปื้อนเฉพาะบนใบดาบเท่านั้น
ผ้าคลุมสีเขียวแก่และเส้นผมสีเงินยังคงพลิ้วไหวโดยไร้ซึ่งสิ่งสกปรกใดๆ
ก่อให้เกิดความงามที่ดูแปลกประหลาดผิดที่ผิดทาง
“จัดการมัน จัดการยัยหัวขาวนั่นซะ!”
ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าโจรป่าตะโกนขึ้นโดยมีชายสามคนยืนคุ้มกันอยู่รอบๆ
ในตอนนี้คริชบั่นคอไปเก้าคนแล้ว
เธอหยิบมีดที่ห้อยอยู่กับเข็มขัดและขวางมันออกไป
มีดที่ถูกขว้างอย่างงดงามทั้งๆที่กำลังวิ่งอยู่นั้นพุ่งผ่านอากาศและปักลงที่คอของชายคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า
หัวหน้าและอีกสองคนข้างหลังตาเบิกโพลงเมื่อเห็นพรรคพวกล้มลง แต่พวกเขาก็ยังตั้งท่าพร้อมสู้
ไม่เหมือนกับพวกปลาซิวปลาสร้อยก่อนหน้านี้ พวกเขาดูมีฝีมือทีเดียว
แม้คริชจะสัมผัสถึงมานาจากพวกเขาไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะปลอดภัย
ถึงคริชจะมีมานาเป็นเหมือนสปริงเสริมแรงให้กับกล้ามเนื้อ แต่มันไม่ได้ทำให้เธอหนังเหนียวขึ้น
ต่อให้เป็นคริช ถ้าเธอโดนหักคอหรือฟันเข้าที่จุดสำคัญเบาๆก็ถึงตายได้
ถ้าพวกเขาเลือกทิ้งชีวิตและพุ่งเข้ามาจับตัวเธอไว้ เธอก็คงไม่รอดเหมือนกัน
อาวุธเดียวที่คริชมีคือความเร็วและพละกำลังที่เหนือมนุษย์
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เธอจึงจำเป็นต้องหาโอกาสโจมตีโดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว
ผู้ชายทางซ้ายใช้ขวาน ส่วนคนทางขวาใช้ดาบโค้งสั้น
ตัวหัวหน้าถือดาบดาบยาวที่มือขวาและโล่ที่มือซ้าย
คริชตัดสินใจพุ่งตัวออกไปทางซ้ายและลอดใต้แขนขวาของคนถือขวานไป
จังหวะที่เขาเหวี่ยงขวานเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
เพราะโจรป่าส่วนใหญ่จะสวมแค่เกราะอกหนังเบาๆและเกราะมือ ช่วงรักแร้ของพวกเขาจึงไร้การป้องกัน ——
และคริชก็รู้ว่าตรงนั้นมีการไหลเวียนเลือดเยอะ
คริชฟันเข้าที่รักแร้ขวาอย่างสบายๆ และฉีกตัวหลบออกมาจากชายคนนั้นในทันที
หัวหน้าโจรที่ตอบสนองได้ค่อนข้างเร็วฟันดาบยาวออกไปในแนวราบ
คริชย่อตัวหลบได้และฟันเข้าที่ข้อพับเข่าของเขา
โดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองหัวหน้าที่กำลังล้มลง คริชคว้ามีดอีกเล่มและปาใส่คอของชายที่กำลังพุ่งเข้ามาพร้อมดาบโค้งในมือ เธอปลิดชีวิตเขาในทันที——
จากนั้นเธอใช้เท้าเหยียบหัวหน้าที่กำลังนอนอยู่ และจ่อดาบไปที่คอก่อนจะมองไปรอบๆ
“หะ หัวหน้าแพ้แล้ว!”
“หนีสิวะ! เดี๋ยวก็โดนจับหรอก!”
พวกโจรป่าตัดสินใจได้เร็ว
เมื่อเห็นว่าเสียเปรียบ พวกเขาก็พร้อมทิ้งทุกอย่างและหนีหางจุกตูดกลับไป
คริชมองพวกเขาวิ่งหายเข้าไปในป่า เมื่อมันใจว่าการต่อสู้จบลงแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา
ต่อให้เป็นคริช ถ้าต้องวิ่งไกลขนาดนี้ก็มีเหนื่อยเหมือนกัน
ทหารที่อยู่รอบๆจ้องมองคริชตัวแข็งทื่อ
พวกเขาบางคนเคยคุยกับคริชมาก่อน แต่ก็ยังมีสีหน้าตกใจอยู่ดี
ทุกคนต่างพูดไม่ออกและจับจ้องไปยังเด็กสาวที่ดูแปลกประหลาด
คริชได้แต่สงสัยว่าพวกเขาจะยืนนิ่งกันทำไม
แต่ตอนนี้เธอต้องให้ความสำคัญกับการรีดข้อมูลจากหัวหน้าที่นอนหมดสภาพตรงนี้ซะก่อน
เธอเหยียบเข้าที่ไหล่ขวาและดึงแขนของเขาขึ้นมา
“ฮึ่ก ฮิ๊กก!?”
—จากนั้นก็กระชากไหล่ขวาของเขา
และตามด้วยไหล่ซ้าย
เสียงกรีดร้องที่ดังกังวาลไปทั่วป่าอีกครั้งทำให้พวกทหารได้สติ
“ทะ ท่านคริช…นะ นั่นคุณกำลัง……?”
“…? เตรียมการทรมานค่ะ เผื่อว่ายังมีศัตรูซ่อนอยู่อีก”
จะถามทำไมกันนะ? คริชเอียงคอด้วยความสงสัย
มีเลือดสาดกระจายอยู่เต็มไปหมด
และท่ามกลางโลกสีแดงฉานนั้น มีเพียงคริชที่ยังงดงาม
แต่ทว่าท่าเอียงหัวไปด้านข้างของเธอมันไม่น่ารักอีกต่อไปแล้ว
มันมีแต่ความน่าขนลุกที่อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม
คริชกระโดดลงจากตัวหัวหน้า เธอยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะไปนั่งยองๆข้างหน้า
ใบหน้าที่เคยเหี้ยมโหดของโจรป่า ตอนนี้ขาวซีดและมีรอยน้ำตาไหลเป็นทางในขณะที่เธอพูดกับเขา
“โจมตีขบวนขนส่งเสบียงของกองทัพเป็นเรื่องไม่ดีนะคะ คุณรู้รึเปล่า?”
“อะ-อ้า กะ……”
“เอาเถอะ ไม่ว่าคุณจะรู้มั้ย แต่ตามประมวลกฎหมายของอัลเบรัน ในกรณีนี้คุณต้องได้รับโทษสูงสุดคือประหารชีวิต”
คริชชูนิ้วขึ้นราวกับกำลังอธิบายให้เด็กฟัง
“แต่ถ้าคุณเป็นทหารจากประเทศศัตรู คุณจะถูกปฏิบัติในฐานะเชลยสงคราม และหลังจากที่ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว คุณจะถูกนำตัวไปกุมขังที่แนวหลัง จะไม่มีการใช้ความรุนแรงระหว่างการสอบปากคำและสิทธิของคุณจะได้รับการปกป้องภายใต้สนธิสัญญาศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่า…”
ดวงตาสีม่วงกวาดมองไปตามร่างของชายที่นอนอยู่
เขาไม่มีตราสัญลักษณ์หรืออะไรแบบนั้นเลย
“ดูเหมือนคุณจะไม่มีหลักฐานอะไรที่ใช้ยืนยันตัวตนได้เลย คุณพอจะมีติดตัวบ้างรึเปล่าคะ?”
“ฮึ่กก…”
“จะให้เวลาห้าวินาที ถ้ามีช่วยแสดงออกมาด้วยค่ะ ไม่อย่างนั้นคริชจะถือว่าคุณไม่มีและคุณจะถูกกำจัดในฐานะโจรป่านะคะ”
ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ศูนย์
เมื่อคริชนับถึงศูนย์ เธอก็ยิ้มและพูดขึ้น
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่มีสินะคะ โดยปกติแล้วคุณถูกจับกุมตัวก่อนแล้วค่อยจัดพิธีประหาร แต่โชคดีที่ทหารมีสิทธิที่จะทำการประหารแบบไม่เป็นทางการได้เลย เช่นเดียวกับการทำร้ายร่างกายและทรมานเพื่อรีดข้อมูลก็สามารถทำได้ถ้าจำเป็น”
ถึงคริชจะไม่ได้ตั้งใจพูดเพื่อข่มขู่ แต่ฟังยังไงมันก็เป็นการข่มขู่อยู่ดี
ร่างของชายบนพื้นกระตุกเกร็งเมื่อคริชเหยียบลงไปที่แขนขวา
“คริชจะเริ่มการทรมานด้วยการตัดนิ้วทีละนิ้ว มันเป็นกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายอาชญากรรมของอัลเบรัน ได้โปรดเข้าใจด้วยนะคะ”
และโดยไม่ลังเล เธอก็ตัดนิ้วก้อยเขาขาดกระเด็น
“ฮิ๊-กึก-อ๊ากกกกกกกกกก———!?”
“นอกจากพวกที่วิ่งหนีไป ยังมีพรรคพวกอื่นที่ร่วมมือกับคุณอีกรึเปล่าคะ?”
“อะ อ๊าก นิ้ว นิ้วช้านน…! นิ้วช้——”
ต่อไปก็นิ้วนาง
แค่คริชปล่อยดาบในมือให้ร่วงลงมา มันก็ตัดผ่านนิ้วไปอย่างง่ายดาย
“คริชจะแย่ถ้าคุณไม่ยอมตอบคำถามของคริชนะคะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คริชคงต้องถอดรองเท้าออกแล้วตัดนิ้วเท้าคุณด้วย”
“ฮิ๊— อุ ไม่ ไม่มีแล้ว”
“อื้ม อย่างนี้นี่เอง ถึงยังไงคริชก็จะฆ่าคุณอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าได้ตายเร็วๆก็น่าจะดีกว่าตายแบบเจ็บๆแหละเนอะ ดังนั้นช่วยตอบคำถามของคริชต่อไปด้วยนะคะ”
เสียงกรีดร้องของเขาดังไปทั่วป่า
พวกทหารที่พึ่งผ่านความเร่าร้อนจากการต่อสู้มาหมาดๆ ตอนนี้กลับสั่นกลัวเมื่อเห็นเด็กสาวตัดนิ้วของโจรป่าออกอย่างไม่ลังเล
ไม่มีใครกล้าปริปากในตอนที่นิ้วทั้งห้าในมือขวาถูกตัดออก
ถ้ามองในมุมมองของกองทัพ การกระทำของคริชเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ใจแข็งพอที่จะทรมานใครซักคนนั้นหายากมาก
ไม่ว่าพวกเขาจะเคียดแค้นคนที่สังหารพวกพ้องของเขามากแค่ไหน แต่ไม่มีทหารคนไหนสามารถตัดนิ้วคนโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้แบบเธอ
ไม่มีใครรู้สึกสบายใจที่ได้เห็นหัวหน้าของศัตรู ที่ฆ่าทั้งพวกพ้องและเกือบจะฆ่าเขาตาย ถูกปลิดนิ้วออกทีละนิ้ว
พวกเขาถูกบรรยากาศที่หนักอึ้งไปด้วยความสงสารและหวาดกลัวเข้าครอบงำ
“คำถามของคริชหมดแค่นี้ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือค่ะ”
คริชพูดด้วยสีหน้าเหมือนคนที่พึ่งเสร็จงาน ก่อนจะกระทืบเท้าลงที่คอของหัวหน้า
พร้อมกับเสียงกร็อบที่ไม่น่าพิสมัย ร่างของเขาชักกระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป
แต่กว่าจะมาถึงจุดจุดนี้ นิ้วแปดนิ้วก็กระจายเกลื่อนไปแล้วเรียบร้อย
คริชดึงมีดทั้งสองเล่มของเธอออกมาจากศพและเดินไปหาทหารที่เป็นผู้บัญชาการขบวนขนส่ง
“การโจมตีครั้งนี้น่าจะจบแล้วค่ะ มันเป็นการก่อกวนโดยใช้โจรป่า เดี๋ยวคริชคงต้องขอตัว แต่ก่อนอื่น คริชขอผ้าสะอาดซักผืนได้มั้ยคะ?”
“ดะ ได้ครับ”
ผู้การสั่งทหารใกล้ๆให้ไปเอาผ้ามาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อย
ทหารคนนั้นรีบวิ่งไปหยิบผ้าออกมาอย่างรวดเร็ว
คริชเช็ดคราบเลือดกับคราบน้ำมันออกจากดาบและมีดของเธออย่างระมัดระวัง
ก่อนจะเก็บมันกลับเข้าฝักและกวาดตามมองทหารรอบๆ
ถึงจะเป็นคริช แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าการตอบสนองของพวกเขาดูแปลกๆ
คริชพึ่งฆ่าโจรป่าไป แต่ที่นี่คือกลางป่า ไม่ใช่ในเมือง——
แถมเธออยู่กับขบวนขนส่งเสบียงของกองทัพด้วย
คริชก็แค่กำจัดโจรป่าตามหน้าที่ เธอปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมตามกฎของกองทัพและหลักจริยธรรม
ทุกคนน่าจะดีใจนี่นา แต่การตอบสนองของพวกเขากลับดูแปลกๆ
อ๋อ คริชประกบมือเข้าด้วยกันเมื่อเธอรู้ตัวว่าทำไม
วันนี้คริชไม่ได้มาเป็นทหาร เธอมาที่นี่เพื่อมาส่งจดหมายในฐานะลูกสาวนายพล
พูดง่ายๆคือตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ทหาร
เธอจึงได้ข้อสรุปว่าที่ทหารดูตกตะลึงเพราะเธอไปแย่งงานของพวกเขา
เธอจึงยิ้มออกมาและพูดขึ้นว่า
“ฝากแจ้งข้อมูลไปที่แนวหน้ากับท่านนายพลด้วยนะคะ เพราะคริชแค่มาส่งจดหมายและไม่ได้อยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
ดังนั้นคริชจะไม่ก้าวก่ายอะไรไปมากกว่านี้ค่ะ”
หลังจากที่เธออธิบายในสิ่งที่ไม่มีใครสนอยู่แล้วจบ เธอก็เดินเตาะแตะกลับไปทางเดิม
ภาพของเด็กสาวที่ค่อยๆหายลับไปโดยไม่มีเลือดเปื้อนตัวซักหยดทำให้ทหารทุกคนเสียวสันหลังวาบ
=========================
ในวันถัดไป พวกเขาใช้เวลาซักพักในการจัดขบวนใหม่ กว่าเดินทางจะออกจากป่าและมาถึงศูนย์บัญชาการฟ้าก็มืดแล้ว
ทหารจากขบวนขนส่งมีสีหน้าตึงเครียดในตอนที่คริชก้มหัวขอบคุณพวกเขาก่อนจะมุ่งหน้าไปที่เต็นท์บัญชาการ
กองทัพคริสแตนด์ได้มีการเข้าปะทะกับกองทัพข้าศึกอยู่สามครั้ง
แต่สถานการณ์ในตอนนี้กำลังอยู่ในการเฝ้าระวังและยังไม่มีกำหนดการณ์อะไรมากนัก
ระหว่างที่คริชกำลังถามทางไปยังเต็นท์ของโบแกน เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“คริช!”
“หวา…”
เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาและกอดคริช แก้มของทั้งคู่เบียดแนบกันแน่น
เส้นผมสีทองเป็นประกายใต้แสงจันทร์ และแก้มขาวใสของเธอก็นุ่มนวลชวนสัมผัส
ตอนนี้เซเลเน่สูงกว่าคริชประมาณครึ่งศีรษะ
ที่หางตาของเธอมีหยดน้ำตาเอ่อขึ้นมาในขณะที่ยิ้มให้คริช
“ขอบคุณพระเจ้า ฉันเป็นห่วงแทบแย่ตอนได้ข่าวว่ามีการลอบโจมตี เธอโอเคมั้ย? บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
“อิฮิฮิ อย่างที่เห็น คริชสบายดี เซเลเน่เองก็ดูสบายดีเหมือนกัน”
เซเลเน่สวมกางเกงขี่ม้าทรงบานสีแดง**
เธอคลุมผ้าคลุมสีแดงที่ปักลวดลายสีทองทับเสื้อกั๊กสีดำที่ทำจากผ้าหนาๆ
ทั้งเสื้อซับในและกางเกงขี่ม้าถือเป็นเครื่องแต่งกายพื้นฐานสำหรับสวมใต้ชุดเกราะ
แต่ตอนนี้เธอไม่ได้สวมเกราะอยู่ นั่นหมายความว่าสถานการณ์ในค่ายปลอดภัยดี
“อื้ม จะว่าไป เธอจะไปหาท่านพ่อใช่มั้ย?”
“ค่ะ ต้องเอาจดหมายไปส่ง”
“งั้นไปกันเลยดีกว่า ป่านนี้ท่านพ่อกับท่านกาเรนคงเป็นห่วงแย่แล้ว”
เซเลเน่เดินจูงมือคริชอย่างมีความสุข
พอเห็นแบบนั้นแล้วคริชก็รู้สึกสบายใจ
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้างคะ?”
“อยู่ระหว่างเฝ้าระวังน่ะ… เราทำอะไรไม่ได้เลย มันแย่มากเราที่เสียวัลเฟไนท์ไป”
วัลเฟไนท์คือเมืองป้อมปราการที่ตั้งอยู่ใจกลางดินแดนฝั่งตะวันออกของราชอาณาจักร
มันเป็นเมืองที่มีกำแพงสูงตระหง่านและขุดคูน้ำจากแม่น้ำไว้รอบเมือง
จนขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ไม่มีวันตีแตก
แต่ด้วยการจู่โจมอย่างกะทันหัน ตอนนี้มันกลายเป็นฐานทัพข้าศึกที่ไม่มีวันตีแตกแทน
วัลเฟไนท์มีเส้นทางที่ใช้เดินทางเข้าสู่ใจกลางอาณาจักรอยู่ด้วย ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการยึดมันกลับคืนมา
กองทัพเอลส์เรนคอยคุ้มกันเส้นทางลำเลียงเสบียงไปยังวัลเฟไนท์อย่างระมัดระวัง
พวกเขาวางกองกำลังสี่หมื่นนายเพื่อรับมือกับโบแกนทางทิศเหนือ
และอีกสี่หมื่นนายสำหรับดาเกรนทางทิศใต้
ในทางกลับกัน กองทัพของโบแกนมีกำลังพลเพียงสองหมื่นนาย
ส่วนกองทัพของดาเกรนดูเหมือนว่าจะเกณฑ์คนมาได้ถึงสามหมื่นนาย
แต่ถึงอย่างนั้นความแตกต่างด้านจำนวนก็ยังมากเกินไป
และถึงแม้ว่าจะตั้งรับเอาไว้ได้ แต่พวกเราก็ไม่มีกำลังพลพอที่จะโต้กลับ
การยึดวัลเฟไนท์ต้องใช้เวลาอย่างมากไม่ว่าจะด้วยวิธีใด
ซึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการตัดท่อลำเลียงและขังข้าศึกไว้ข้างใน
แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้และฝ่ายเราทำได้เพียงเฝ้าระวัง
เพราะปัญหาความขัดแย้งภายในของราชอาณาจักร ทำให้พวกเขาไม่สามารถส่งกองทัพหลวงออกมาและทำการจู่โจมกลับได้
“เมืองหลวงมัวทำอะไรกันอยู่เนี่ย
แหกตาดูซักหน่อยก็น่าจะรู้ไม่ใช่รึไง ว่ามันมีแต่แย่กับแย่ถ้าเราไม่รีบยึดวัลเฟไนท์คืนมาน่ะ”
“อืมม เอลส์เรนเป็นประเทศใหญ่ ถ้าพวกเขาสะสมกองกำลังไว้ที่วัลเฟไนท์มากพอ เราก็คงทำได้แค่คอยรับมือตามสถานการณ์”
คริชมองเห็นความเป็นไปได้มากมายที่ศัตรูอาจจะทำ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตอนนี้พวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้แล้ว
พวกเขาอาจจะตรึงกำลังไว้เพื่อยึดครองพื้นที่
หรืออาจจะบุกเข้าไปให้ลึกขึ้น ไม่ก็ลงทางใต้ก็ได้
ถึงพวกเขาไม่น่าจะบุกขึ้นเหนือเพราะที่นี่มีป่าขนาดใหญ่อยู่ แต่พวกเขาก็ยังมีทางอื่นให้เลือกมากมาย
“นี่มันแย่ที่สุดเลย ทำไมเราถึงได้แต่รอให้ศัตรูสะสมกองกำลังมากขึ้นเรื่อยๆกันล่ะ”
เซเลเน่เป็นลูกสาวของโบแกนผู้มีสมญานาม ‘สายฟ้าฟาด’
เธอเรียนรู้จากเขาและนับถือเขาผู้เป็นพ่อของเธอมาโดยตลอด
นั่นทำให้เธอมีนิสัยมุทะลุและชื่นชอบกลยุทธ์แบบนั้นมากกว่า
สถานการณ์ในตอนนี้จึงเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจมากสำหรับเธอ
“ถ้าเราไม่ทำพลาดก็อาจจะยังมีข้อได้เปรียบอยู่นะคะ”
“แต่ปัญหาคือเราทำพลาดอยู่เรื่อยเลยน่ะสิ”
เซเลเน่ทำแก้มป่องจนเดินมาถึงเต็นท์ของโบแกน
“นี่เซเลเน่เองค่ะ หนูพาคริชมาแล้ว”
“เข้ามาได้”
เมื่อได้ยินเสียงตอบจากโบแกน เซเลเน่ก็เปิดทางเข้าเต็นท์และจูงมือพาคริชเข้าไป
=========================
TL note:
*ใน eng ใช้คำว่า backhanded grip
น่าจะหมายถึงการจับแบบให้ปลายดาบอยู่ฝั่งนิ้วก้อยซึ่งผมไม่รู้จะแปลว่าอะไรดี 55555
** flared-hip riding pant ตรงต้นขาจะพองๆออก เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่
ผู้มีจิตศรัทธาสามารถโดเนทให้ผู้แปลได้ที่
——————————
พร้อมเพย์: 0943075995
——————————
คำเตือน: การโดเนทไม่ได้ทำให้แปลเร็วขึ้นแต่อย่างใด