ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 13 ส่งตรงสู่สนามรบ
บทที่ 13 ส่งตรงสู่สนามรบ
ในปีอัลเบรันศักราชที่ 457
จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ เอลส์เรน มหาอำนาจแห่งทิศตะวันออก ได้เข้ารุกรานราชอาณาจักรอัลเบรัน
องค์ราชาแห่งราชอาณาจักรอัลเบรันนั้นประชวรหนักมาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว
และความขัดแย้งในการเลือกผู้สืบราชบัลลังก์ก็ปะทุขึ้น
แม้ว่าองค์ราชาเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าอาการประชวรจะทุเลาลง
และกษัตริย์หนุ่มของอัลเบรัน ก็ทรงประกาศชื่อผู้สืบราชบัลลังก์ออกมาแล้ว
แต่ปัญหาคือ แทนที่จะเป็นพระอนุชา(น้องชาย) กิลดันสไตน์
เขากลับเลือกพระราชธิดา(ลูกสาว)ของเขา องค์หญิงตัวน้อย เครเชนต้า เป็นผู้สืบราชบัลลังก์แทน
แน่นอนว่ามกุฎราชกุมารอย่างกิลดันสไตน์ ต้องไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
กิลดันสไตน์ยืนยันว่าเขามีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์โดยชอบธรรมตามกฎหมาย
ซึ่งตามกฎการสืบราชบัลลังก์ กิลดันสไตน์ควรจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปจริงๆตามที่กล่าวไว้
ทว่ากษัตริย์อัลเบรันกลับปฏิเสธ
สาเหตุเพราะกิลดันสไตน์มีด้านมืดที่เลวร้ายอยู่
กิลดันสไตน์ ขึ้นชื่อเรื่องการสังหารทาสอย่างโหดเหี้ยม——
ซึ่งแม้จะไม่เป็นที่ยอมรับอย่างเปิดเผยในอาณาจักร แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังมีอยู่——
เขาทำไปเพื่อความบันเทิง ใช้อำนาจในฐานะเชื้อพระวงศ์ในการกดขี่ผู้หญิงที่ยศต่ำกว่า
กษัตริย์อัลเบรันโต้แย้งว่ากิลดันสไตน์ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นกษัตริย์ และการตัดสินใจของพระองค์ก็ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก
แต่ไม่ว่าพฤติกรรมของเขาจะเป็นอย่างไร กิลดันสไตน์ก็มีสิทธิที่จะขึ้นครองราชย์
จึงมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการแหกกฎ หรือไม่ก็กังวลว่าองค์หญิงเครเชนต้าที่อายุเพียงเจ็ดขวบนั้นยังเด็กเกินไป
ผลก็คือเสียงของขุนนางแตกออกเป็นสองฝ่าย
ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
องค์ราชาจึงเชิญขุนนางชั้นสูงมาลงมติว่าใครจะได้ขึ้นครองราชย์
ซึ่งฝั่งกิลดันสไตน์ที่เสียเปรียบในด้านจำนวนพยายามยื้อเวลาโดยเลื่อนการเข้าร่วมการประชุมไม่ให้มีการลงมติเกิดขึ้น
จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เอลส์เรนจึงใช้โอกาสนี้ฉีกสนธิสัญญาสันติภาพ
พวกเขาโจมตีชายแดนฝั่งตะวันออกของราชอาณาจักรด้วยกองทัพใหญ่ที่มีกำลังพลกว่าหนึ่งแสนนาย
ด้วยความที่ระบบสั่งการในเมืองหลวงเป็นอัมพาต นายพลแห่งทิศตะวันออก คาลเมด้า จึงถูกสังหารและสูญเสียดินแดนฝั่งตะวันออกไปโดยไม่ทันตั้งตัว
ขุนพลผู้กล้าแห่งทิศใต้ ดาเกรน การ์คา
และขุนพลแห่งทิศเหนือผู้มีสมญานาม ‘สายฟ้าฟาด’ — โบแกน คริสแตนด์
ร่วมมือกันและสามารถต้านทานการรุกรานของจักรวรรดิ์ไว้ได้ แต่ทว่าการสถานการณ์ในเมืองหลวงก็ยังไม่ฟื้นฟู
ตอนนี้ราชอาณาจักรอัลเบรันกำลังอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในตอนที่สงครามเริ่มขึ้น คริชยังอยู่ระหว่างการฝึกทหารและมีหน้าที่เสริมเป็นครูฝึกดาบ
ซึ่งตอนนี้เธอมีภารกิจที่จะต้องไปหาโบแกนที่สนามรบ
“ลูกอมนี่กินได้แค่วันละสองเม็ด ต่อให้หิวก็ห้ามกินเกินกว่านั้นนะคะ เดี๋ยวจะหมดซะก่อน”
“คะ คริชกินไม่หมดหรอก… คริชไม่ได้ตะกละแบบนั้นซะหน่อย”
ที่หน้าทางเข้าคฤหาสน์ คริชที่กำลังหน้าแดงรับถุงใบเล็กที่เต็มไปด้วยลูกอมมาจากเบรี่
ตอนนี้คริชตัวสูงขึ้นและอยู่ในช่วงที่เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่
แม้ว่าเธอจะโตขึ้น แต่เธอก็ยังตัวเล็กอยู่ดี
หน้าอกของเธอเริ่มนูนขึ้นมาเล็กน้อยและมีส่วนโค้งเว้ามากขึ้น
แขนขาของเธอยาวขึ้นและมีทรวดทรงที่ได้สัดส่วน
แต่ด้วยดวงตากลมโตทำให้เธอยังคงความเยาว์วัยและดูเด็กกว่าอายุ
เส้นผมสีเงินเป็นประกายทำให้ความสวยของเธอราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย
เธอดูเหมือนนางฟ้าขึ้นกว่าแต่ก่อนและน่าหลงไหลราวกับต้องมนต์เสน่ห์
คริชสวมชุดเดรสวันพีซสีเงินดำ คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีเขียวแก่
เธอสะพายกระเป๋าเป้ใส่เสบียงและน้ำ
และมีดาบโค้งเล่มเล็กกับมีดอีกสองเล่มห้อยอยู่ที่เอว
เธอไม่ได้สวมเครื่องป้องกันใดๆเลย
แม้คริชจะมีความสามารถ แต่เธอไม่ได้ถูกเรียกตัวให้เข้าร่วมกองทัพ
โบแกนไม่อยากพาเด็กผู้หญิงเข้าไปในสนามรบ
ที่เขายอมแพ้ให้เซเลเน่และอนุญาตให้เธอตามเขาไปได้เพราะว่าเธอเอาแต่ตามตื้อเขาไม่หยุด
แต่ว่าคริชไม่ได้มีความมุ่งมั่นแบบนั้น
ถึงเธอจะลังเลเล็กน้อยที่ต้องอยู่เฝ้าคฤหาสน์ เพราะว่าโบแกนกับเซเลเน่อาจตกอยู่ในอันตรายระหว่างออกรบ
แต่สุดท้ายเซเลเน่ก็โน้มน้าวให้เธอรออยู่ที่นี่และคอยปกป้องเบรี่
ไม่มีที่ไหนปลอดภัยในช่วงสงคราม
แม้คฤหาสน์ที่อยู่ห่างไกลจากสนามรบไม่สามารถการันตีได้
และคริชเองก็ไม่มีปัญหากับการต้องอยู่ปกป้องเบรี่ที่นี่
แต่ถึงอย่างนั้น เมืองนี้เองก็ถือเป็นที่ดินของกษัตริย์และมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แม้สงครามจะเริ่มมาหลายอาทิตย์แล้ว แต่การจลาจลที่พวกเธอกังวลก็ไม่ได้เกิดขึ้น
สถานการณ์ในเมืองการ์เกนยังคงสงบสุข——
และคริชกับเบรี่ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กับการทำอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข
การเดินทางของคริชในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น แต่เพื่อเอาจดหมายไปส่ง
แม้ว่าการส่งข่าวแบบนี้จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยพลาธิการก็ได้ แต่ว่าเอกสารบางอย่างของขุนนาง โดยเฉพาะผู้นำตระกูล จำเป็นต้องได้รับการอ่านและพิจารณาโดยเจ้าตัวเองเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น เอกสารเกี่ยวกับที่ดินที่ตระกูลคริสแตนด์ดูแลอยู่ เป็นต้น
ประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยกษัตริย์จะมีอำนาจสูงสุด
ส่วนขุนนางจะมีศักดิ์เป็นทหารควบคู่กับข้าราชการ
แน่นอนว่าดินแดนทั้งหมดถือเป็นที่ดินของกษัตริย์ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการกระจายที่ดินให้ขุนนางเข้าไปปกครอง
ผลกำไรจำนวนมากในพื้นที่จะตกเป็นของขุนนางผู้นั้น ดังนั้นการได้รับมอบที่ดินจึงถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าที่ดินทุกแห่งจะทำกำไรได้ดีและบางครั้งการบริหารที่ดินก็นำมาซึ่งปัญหาร้อยแปด
จดหมายที่คริชกำลังจะนำไปส่งล้วนเกี่ยวกับธุรกรรมและการกู้ยืมในที่ดินของตระกูลคริสแตนด์ทั้งสิ้น
จดหมายเหล่านี้จะตกอยู่ในมือคนนอกไม่ได้ และมันจะเป็นปัญหาใหญ่ถ้ามีใครซักคนเปิดอ่านมันเข้า
พวกมันจึงไม่สามารถถูกส่งรวมๆมากับจดหมายฉบับอื่นของกองทัพได้ ไม่ว่ากองทัพจะมีระเบียบที่เคร่งครัดแค่ไหน
ซึ่งวิธีแก้ง่ายๆคือฝากให้สมาชิกหรือคนรับใช้ในตระกูลเป็นคนเอาไปส่ง และนั่นหมายความว่ามันเป็นหน้าที่ของคริชไม่ก็เบรี่
จริงๆแล้วโบแกนก็สามารถไหว้วานทหารคนสนิทให้เอาจดหมายมาส่งได้เหมือนกัน
แต่พวกเขาเหล่านั้นติดตามโบแกนไปที่สนามรบหมดแล้ว
หากนี่แค่เป็นการซ้อมเดินทัพ พวกเธอก็แค่ต้องรอจนกว่าเขาจะกลับมาตามกำหนดการ
แต่สถานการณ์ในตอนนี้คือสงครามจริง
จดหมายจำนวนมากค่อยๆกองพะเนินขึ้น
มันมากจนจำเป็นต้องหาทางเอาไปส่งและหลังจากที่หารือกันซักพัก
ผลสรุปคือจะให้คริชเป็นคนไปเพราะเธอสามารถป้องกันตัวเองได้
ความจริงเบรี่ก็เคยฝึกฝนทักษะการป้องกันตัวเหมือนกัน
แต่จากมุมมองของคริชแล้วมันแทบจะไร้ความหมาย
คริชกังวลที่จะให้คนสวยๆอย่างเบรี่เข้าไปในที่ที่อันตราย และตัวเธอเองก็เป็นห่วงเซเลเน่กับโบแกนด้วย
สุดท้ายเธอจึงโน้มน้าวเบรี่ที่กำลังวิตกกังวลสุดๆให้ยอมปล่อยเธอไป
“ฉันรู้ว่าท่านคริชแข็งแกร่ง แต่ช่วยดูแลตัวเองในสถานการณ์อันตรายด้วยนะคะ แล้วก็ห้ามเข้าไปยุ่งกับอะไรแปลกๆด้วย เข้าใจมั้ยคะ?”
“ได้ค่ะ”
“ส่วนลูกอมเม็ดสุดท้ายในถุงเป็นของฉัน ช่วยนำมันกลับมาด้วยนะคะ”
คริชที่พึ่งโยนลูกอมเม็ดแรกเข้าปากตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินคำพูดของเบรี่ และรีบเปิดถุงดู
“อะ เอ่อ เม็ดไหน…?”
“เอ๋? อ๋อ… ฟุฟุ ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้นหรอกค่ะ มันเป็นการอวยพรให้ท่านคริชกลับมาอย่างปลอดภัย
ช่วยนำลูกอมกลับมาให้ฉันทีนะคะ”
“…? เอ่อ ได้ค่ะ”
แม้คริชจะรู้สึกเหมือนส่วนแบ่งของเธอถูกขโมยไป แต่เธอก็ทำได้เพียงพยักหน้า
“…เอาล่ะ ใกล้ถึงเวลาเดินทางแล้วค่ะ เดี๋ยวจะไปไม่ทันรถม้าเอานะคะ”
“โอเคค่ะ บ๊ายบายเบรี่ ดูแลตัวเองด้วย”
“ค่ะ แน่นอน ระหว่างที่ท่านคริชไม่อยู่ ฉันจะฝึกทำอาหารให้เก่งขึ้นกว่านี้นะคะ”
“แบบนั้นมัน งืออ……”
คริชยังไล่ตามฝีมือการทำอาหารของเบรี่ไม่ทันซักที
คริชก้มหน้าลงเมื่อคิดว่าระยะห่างนั้นกำลังจะกว้างขึ้นไปอีก
และนั่นทำให้เบรี่อดยิ้มไม่ได้
“ฟุฟุ ถ้าคุณกลับมาอย่างปลอดภัยเมื่อไหร่ ฉันจะเตรียมสูตรใหม่เอาไว้ให้ แล้วเราค่อยมาทำอาหารด้วยกันอีกนะคะ”
“…ก็ได้ค่ะ”
คริชตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
===========================
คริชจะต้องนั่งรถม้าส่งสารของกองทัพไปที่คลังเสบียง
จากนั้นก็จะเข้าร่วมกับขบวนรถส่งเสบียงไปที่แนวหน้า
การเดินทางใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน
และในวันที่ห้า คริชก็เดินทางจากเมืองการ์เกนทางทิศเหนือมาถึงคลังเสบียงที่ตั้งอยู่ที่ชายป่าฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของราชอาณาจักร
ที่นี่เธอจะเข้าร่วมกับขบวนขนส่งเสบียงและมุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบ
หลายๆอย่างเปลี่ยนไปในช่วงพักเบรกของวันที่หกเมื่อพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
ตลอดห้าวันที่ผ่านมา ทหารที่ร่วมเดินทางกับคริชเป็นกลุ่มที่เคยเจอกับคริชมาก่อน และพวกเขารู้ว่านิสัยของเธอเป็นยังไง
ดังนั้นในช่วงพักเบรก ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับคริชที่กำลังนั่งบนผ้าปูและมองทิวทัศน์อย่างเหม่อลอย
—— แต่ในวันที่หก ทหารและรถม้าที่คริชนั่งเป็นคนละกลุ่มกัน
พวกเขารู้จักคริชผ่านข่าวลือที่เล่าต่อๆกันมาเท่านั้น
แม้จะเป็นลูกบุญธรรม แต่คริชก็ยังเป็นลูกสาวของนายพลโบแกน
เช่นเดียวกับที่เซเลเน่มีชื่อเสียงในเรื่องอัจฉริยะภาพทางการทหาร ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการที่เธอคอยแข่งขันกับคริชมาโดยตลอด
ชื่อเสียงของคริชก็เป็นที่เลื่องลือในหมู่ทหารในกองทัพเช่นกัน
แต่เพราะปัญหาด้านการสื่อสารของเธอ โบแกนจึงไม่ได้พาเธอไปออกงานสังคมหรืองานเลี้ยงของชนชั้นสูง
ดังนั้น ไม่เหมือนกับเซเลเน่ที่เป็นที่รู้จักในฐานะลูกสาวของนายพลผู้สง่างามและกล้าหาญ ชื่อเสียงของคริชนั้นมาจากข่าวลือลับๆจากในสนามฝึกเท่านั้น
และเรื่องราวส่วนมากก็ถูกบิดเบือนจนเกินจริง
เช่นว่าเธอเป็นปีศาจที่มีพละกำลังเหนือชายใดๆ
หรือไม่ก็เป็นสัตว์ประหลาดที่แม้แต่ทหารเจนศึกยังต้องขาสั่น
ส่วนใหญ่แล้วผู้คนมักจะพูดถึงทักษะดาบที่หลุดโลกของคริช—— นั่นเป็นข่าวลือที่แพร่กระจายไปมากที่สุด
ในหมู่คนที่เคยประมือกับเธอมาก่อนไม่เคยมีใครปริปากเรื่องความน่ารักของเธอเลย
นั่นเพราะคงไม่มีใครอยากบอกว่าเขาโดนเด็กสาวหน้าตาน่ารักเหมือนนางฟ้าอัดลงไปนอนคลุกฝุ่นมา
พวกเขาจึงเก็บซ่อนความจริงนั้นไว้และบรรยายว่าเธอเป็นสัตว์ประหลาดที่โหดเหี้ยมและน่าหวาดกลัวแทน
และยิ่งเรื่องราวกระจายไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งถูกใส่สีตีไข่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
นั่นเป็นสาเหตุให้พวกทหารมองเธอด้วยสายตางุนงงในตอนที่คริชแสดงตราสัญลักษณ์รูปสายฟ้ากับนกอินทรีย์บนผ้าคลุม
และแนะนำตัวเองในชื่อ คริช คริสแตนด์
พวกเขาได้แต่แอบมองเธอไกลๆและไม่มีใครกล้าเข้าไปคุยกับเธอจนกระทั้งช่วงเย็นนี้
“ค่ะ คริชถูกรับมาเลี้ยง…”
ก่อนออกเดินทาง คริชก็บอกไปแล้วว่าคริชเป็นลูกของโบแกนนี่นา เขาจะถามอีกทำไมกันนะ?
คริชเอียงหัวไปด้านข้างเล็กน้อย มันเป็นท่าที่ดูน่ารักมากด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ
เมื่อมีทหารนายหนึ่งเข้าไปหาคริชที่นั้งอยู่ใต้ต้นไม้ คนอื่นๆก็เริ่มสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ทหารนายนั้นสวมชุดเกราะหนัง ถุงมือ และสนับแข้ง
เขาถือโล่ที่มือซ้ายและมีดาบสั้นขนาดสองฟุตห้อยอยู่กับเอว
ข้างใต้ตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรที่เป็นรูปดาบชี้ขึ้นฟ้า มีแถบผ้าสีดำห้อยอยู่
บ่งบอกว่าเขาเป็นพลทหารยศสิบโท
เกราะหนังนั้นเหมาะในการรองรับแรงกระแทกและดาบทื่อๆจะไม่สามารถฟันมันขาดได้
หนังที่ใช้จะถูกทำให้แข็งขึ้นด้วยขี้ผึ้งและมันแข็งพอที่จะเบี่ยงปลายหอกออกไปด้านข้างได้
เกราะของชายคนนี้เป็นของคุณภาพดีทีเดียว ดูเหมือนว่าจะเป็นของส่วนตัวมากกว่าเครื่องแบบมาตรฐาน
พลทหารยศร้อยเอกที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาห้าสิบคนขึ้นไปจะต้องจัดหาอุปกรณ์สวมใส่ให้ตัวเอง
แต่ในทางกลับกัน พลทหารที่มียศต่ำกว่านั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนเครื่องแบบตามใจชอบ เพราะมันจะส่งผลต่อการทำงานร่วมกันได้ และมันเป็นกฎที่พวกเขาต้องใช้เครื่องแบบมาตรฐาน
แต่ถ้าหากว่าของที่พวกเขาซื้อมานั้นเป็นแบบเดียวเครื่องแบบมาตรฐานก็ไม่มีปัญหา
มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจากตระกูลที่มั่งคั่งจะซื้ออุปกรณ์สวมใส่คุณภาพดีไว้ใช้เอง
ชายคนนี้เองก็น่าจะมาจากตระกูลที่ค่อนข้างร่ำรวยเหมือนกัน
“คิดไม่ถึงจริงๆว่าลูกสาวของท่านนายพลจะงดงามขนาดนี้ พวกเราทุกคนเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ร่วมเดินทางกับท่านคริชนะครับ”
ทหารสวมเกราะเหรอ ต้องฆ่าด้วยวิธีไหนถึงจะเหมาะที่สุดกันนะ?
คริชคิดเรื่องนี้อย่างเหม่อลอยพลางจ้องมองไปที่เกราะหนังคุณภาพดี
เธอหยุดความคิดที่จะหาจุดอ่อนของมันก่อนจะตอบกลับไป
“…? ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ คริชก็ยินดีที่ได้เดินทางไปกับรถม้าคันนี้เช่นกัน”
“ถึงเส้นทางที่นี่จะไม่ค่อยปลอดภัยซะทีเดียว แต่ได้โปรดวางใจ พวกเราจะปกป้องคุณด้วยชีวิตเลยครับ”
“เห…”
ก็หน้าที่พวกเขาอยู่แล้วนี่นา
คริชสงสัยว่าพวกเขาจะอธิบายเรื่องธรรมดาๆแบบนี้อีกทำไม
แต่เธอก็ทิ้งความสงสัยนั้นไปและพยักหน้า
เรื่องที่น่ากังวลมากกว่าคือความหิวของเธอ
วันนี้เธอกินลูกอมครบสองเม็ดแล้ว เธอจึงได้แต่อดทนต่อไป
สำหรับคนที่ใช้เวทย์มนต์ได้ อาหารที่กินเข้าไปจะถูกย่อยแล้วเปลี่ยนเป็นมานา
ซึ่งปกติแล้วเบรี่จะทำคุกกี้ให้คริชระหว่างมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นทุกวัน
เธอจึงเคยชินกับการทานของว่าง
อาหารเที่ยงที่เธอกินไปถูกเปลี่ยนเป็นมานาหมดแล้วและท้องของเธอกำลังหิว
เมื่อถึงช่วงเย็นเธอจะหิวโหยแบบนี้อยู่เสมอ
ในระหว่างการเดินทาง จะต้องจำกัดทั้งน้ำกินและน้ำอาบ
โชคดีที่เธอเป็นคนเหงื่อออกไม่มาก แต่ปัญหาเรื่องท้องว่างนั้นยากที่จะทนไหว
แม้จะไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น แต่เธอกำลังต่อสู้กับความหิวอยู่ในขณะที่ถามออกมาเบาๆ
“…เราใกล้จะถึงจุดตั้งแคมป์รึยังคะ?”
“ครับ เรากำลังจะไปถึงพื้นที่โล่งแล้ว เดี๋ยวเราจะตั้งแคมป์กันที่นั่น”
ขบวนขนส่งมีรถม้าอยู่เป็นจำนวนมาก
พื้นที่ที่พวกเขาสามารถตั้งแคมป์ได้จึงมีอยู่จำกัด
แม้เธอจะคิดว่าพวกเขาควรตั้งแคมป์ตั้งแต่ก่อนเข้าป่าแล้ว
แต่ในฐานะคนที่ติดรถมาด้วย คริชก็ไม่มีสิทธิที่จะบ่น
ทันใดนั้นเอง ท้องของคริชก็ส่งเสียง โครก ดังออกมา
คริชหน้าแดง และนายทหารก็ตาเบิกโพลงก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความขบขัน
“เอ๋ อะ คือว่า…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เพราะอย่างนี้คุณถึงถามเรื่องตั้งแคมป์นี่เอง รอซักครู่นะครับ”
ทหารคนนั้นวิ่งไปที่รถม้าใกล้ๆก่อนจะกลับมาพร้อมขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ
“ทานก่อนสิครับ ถึงจะไม่ใช่ของดีอะไร แต่อย่างน้อยน่าจะพอรองท้องได้บ้าง”
“…ขอบคุณค่ะ”
สายตารอบข้างจับจ้องไปที่คริชที่กำลังรับขนมปังด้วยใบหน้าแดงก่ำ
นั่นทำให้คริชรู้สึกอับอายขึ้นไปอีก แต่เธอก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้
และเมื่อรับมาแล้ว เธอก็ต้องกิน ——
คริชโยนหลักเหตุผลทิ้งไปอย่างง่ายดายก่อนจะฉีกขนมปังออกเป็นชิ้นเล็กๆและโยนเข้าปากด้วยสีหน้าเขินอาย
ตอนนี้เธอหิวมากจนอยากจะกัดมันลงไปตรงๆ แต่ความยึดมั่นในอุดมคติของเธอช่วยห้ามไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
จริงๆแล้วการที่เธอโยนขนมปังเข้าปากเล็กๆไม่หยุดทำให้เธอดูหิวโหยมากกว่าการกัดมันลงไปตรงๆซะอีก แต่ว่าคริชไม่ทันสังเกตเรื่องนั้น
ข่าวลือนี่เชื่อไม่ได้จริงๆ ทหารหนุ่มคิดพลางมองไปที่เด็กสาว
พวกทหารสังเกตเห็นดาบโค้งเล่มเล็กที่คริชพกมา แต่พวกเขาคิดว่าคงใช้สำหรับป้องกันตัวและไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก
ด้วยความสวยและเสน่ห์ที่น่าดึงดูด
คืนนั้นทหารหลายคนจึงพยายามหาโอกาสเข้ามาคุยกับเธอ และในวันถัดไปก็เช่นกัน
เมื่อถึงเวลาอาหารเธอก็ได้ซุปเยอะขึ้นและขนมปังสองชิ้น ไม่ใช่แค่ในคืนนั้นแต่รวมถึงมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงในวันถัดมาก็ด้วย
และหลังทานมื้อเที่ยง เธอก็ได้รับขนมปังและซุปเย็นๆที่เหลือมาโดยไม่ทันได้ขอด้วยซ้ำ
นั่นทำให้คริชแทบอยากเอาหัวโขกเต้าหู้ตายด้วยความอับอาย
แต่ในเมื่อได้รับมาแล้ว เธอจะกินมันโดยไม่ปริปากบ่น
มันเป็นวันที่ค่อนข้างวุ่นวายสำหรับเธอ วันสุดท้ายก่อนที่การเดินทางจะจบลง ——
และเหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้นในช่วงเย็นวันนั้น
===========================
TL note: จีบผิดคนแล้วไอ้หนุ่ม น้องกำลังคิดหาทางเชือดเอ็งไปพลางๆอยู่นะ
ผู้มีจิตศรัทธาสามารถโดเนทให้ผู้แปลได้ที่
——————————
พร้อมเพย์: 0943075995
——————————
คำเตือน: การโดเนทไม่ได้ทำให้แปลเร็วขึ้นแต่อย่างใด