ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 12 ความสามารถพิเศษของเด็กสาว
- Home
- All Mangas
- ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป
- ตอนที่ 12 ความสามารถพิเศษของเด็กสาว
บทที่ 12 ความสามารถพิเศษของเด็กสาว
“อืมม…”
“ทีนี้ พอกองพลทหารม้าฝั่งศัตรูถูกทำลายโดยพลธนูทางปีกซ้าย ทหารม้าของคริชจะเข้าโจมตีพลธนูที่แนวหลัง”
“ตอนนี้ขวัญกำลังใจของทหารราบทางปีกขวาของกองทัพคาลเดร่าตกต่ำจากการถูกระดมยิงจากระยะไกล”
“ส่งทหารราบครึ่งหนึ่งจากปีกซ้ายไปยังปีกขวาแล้วล้อมศัตรูไว้ตรงกลาง”
รอยย่นที่หว่างคิ้วของชายที่นั่งตรงข้ามกับคริชเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
และผู้ชมที่ยืนดูอยู่รอบๆต่างส่งเสียงพูดคุยกัน
วันนี้โบแกนพาคริชมาที่ห้องห้องหนึ่งในพื้นที่ฝึกซ้อมของกองทัพ
มันเป็นห้องที่มีโต๊ะใบใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง
บนโต๊ะปกคลุมไปด้วยทรายบางๆ และผ้าสีฟ้ากับเขียวที่แสดงถึงภูมิประเทศ
เช่น ป่าและแม่น้ำ มีตัวหมากวางกระจายอยู่ตามจุดต่างๆทั่วทั้งโต๊ะ
ซึ่งคริชเป็นคนจัดตำแหน่งและเคลื่อนหมากจำนวนมหาศาลเหล่านั้น
ตอนนี้เธอกำลังเล่นเกมฝึกยุทธวิธี
ซึ่งเป็นเกมสงครามที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ฝึกกลยุทธ์
หมากแต่ละตัวเปรียบเหมือนกองกำลัง พวกมันมีสัญลักษณ์เป็นตัวกำหนดประเภทของกำลังพลนั้นๆ
รายละเอียดอื่นๆ เช่นความสามารถและจำนวน จะถูกระบุไว้ในแผ่นคู่มือที่แยกต่างหาก
กรรมการสามคนจะเป็นคนตัดสินผลแพ้ชนะ ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจะถูกสุ่มด้วยการทอยเต๋า
จากสถานการณ์ตอนนี้ คริชได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด และศึกกำลังจะจบลงในไม่ช้า
ผลลัพธ์อาจจะแตกต่างออกไปหากศึกนี้เป็นการบุกป้อมปราการหรือตั้งค่ายทหาร
แต่ว่าครั้งนี้เป็นการสู้รบในทุ่งกว้าง
ในภูมิศาสตร์แบบนี้ ทหารม้าเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถเข้าโจมตีพลธนูที่เปราะบางได้ ก่อกวนแนวหลัง และเข้าจู่โจมกระบวนทัพของศัตรูแบบสายฟ้าแลบ ในขณะเดียวกันก็สามารถป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายใช้กลยุทธ์แบบเดียวกันได้
การเสียทหารม้าไปก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้
แม้จะมีข้อได้เปรียบด้านจำนวนมากแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะพลิกสถานการณ์ได้
คริชจงใจส่งทหารราบที่อ่อนแอไปที่ปีกซ้ายและปล่อยให้พวกเขาโดนถล่มเละ เพื่อล่อทหารม้าของศัตรูออกมา
จากนั้นเธอก็ให้พลธนูที่ซ่อนตัวอยู่ออกโรง
เมื่อกองพลทหารม้าของศัตรูถูกทำลายแล้ว พลธนูจะเริ่มโจมตีทหารราบที่บุกเข้ามาที่ปีกซ้ายต่อ
ทหารราบของศัตรูจะต้องรับมือกับกำลังเสริมของคริชในระหว่างที่ถูกระดมยิงจากข้างหลังไปด้วย
นั่นทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาพังทลายอย่างง่ายดาย
ในขณะที่พลธนูสังหารหมู่ทหารราบที่แตกกระเจิง
คริชจะเคลื่อนทัพเสริมอีกครึ่งหนึ่งไปขนาบศัตรูไว้ตรงกลาง
“…ฉันถอนกำลัง ให้กองบัญชาการล่าถอย”
“คริชให้ทหารม้าโจมตีพลธนูต่อไป ส่วนพลธนูของฝั่งนี้ให้จัดการศัตรูที่ถูกล้อมไว้ทั้งหมด”
คริชไม่สนใจกองบัญชาการที่กำลังล่าถอยและเริ่มเก็บกวาดทหารฝั่งศัตรูที่ยังเหลืออยู่
เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการ ขวัญกำลังใจของทหารทั้งกองทัพก็จะพังทลาย
ในตอนแรกมันเป็นการต่อสู้ระหว่างทหารฝั่งละ 5000 นาย
แต่เมื่อจบเกมกลับกลายเป็น 4000 ต่อ 1200 นาย
ความจริงแล้วคริชจะตั้งใจจะกำจัดทหารอีกซัก 500 นาย แต่ว่าศัตรูตัดสินใจถอนทัพเร็วกว่าที่คาดไว้
คริชจึงได้แต่ยอมแพ้ และลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
โบแกนจมอยู่ในห้วงความคิดในขณะที่จ้องมองไปที่กระดาน
ส่วนเซเลเน่ก็มองคริชพร้อมกับทำแก้มป่อง เธอพึ่งจะแพ้คนที่แข่งกับคริชแบบฉิวเฉียวมาหมาดๆ
“ให้ตายสิ… แพ้ขาดลอยเลยจริงๆ ท่านเซเลเน่ก็ทำได้ยอดเยี่ยมอยู่หรอก แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นเกมแรกของท่านคริช ดูท่าตระกูลคริสแตนด์คงจะมีอนาคตที่สดใสน่าดู”
“ฮ่ะฮ่ะ… ฉันก็ตกใจเหมือนกัน ฉันอยากเห็นเธอลองเล่นดูเฉยๆ แต่คิดไม่ถึงว่านายจะแพ้นะซัลวา
นี่คริช ทั้งที่ได้เปรียบขนาดนั้น ทำไมเธอถึงไม่ไล่ล่ากองบัญชาการของศัตรูต่อล่ะ?”
“…? มันไม่ดีเหรอคะ?”
“ก็ไม่เชิงหรอก… แต่ที่เธอเลือกที่จะไม่ทำคงเพราะมีเหตุผลใช่มั้ยล่ะ?”
คริชคิดคำพูดอยู่ซักพักก่อนจะตอบออกมา
“คริชรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องตามล่าผู้บัญชาการของศัตรูค่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“กองบัญชาการยังมีกำลังพลระดับสูงจำนวนกว่า 1000 นายคอยคุ้มกันอยู่
เมื่อพวกเขาเริ่มถอนกำลัง จะมีแค่กองทหารม้าที่สามารถไล่ตามได้ทัน
ซึ่งถ้าทำแบบนั้น มีความเสี่ยงที่ทหารม้าของคริชจะถูกกำจัด
แถมยังต้องพึ่งดวงว่าทหารราบจะตามมาเสริมทัพได้ทันเวลารึเปล่า
สุดท้ายจะจัดการผู้บัญชาการได้หรือไม่ ก็มีความเป็นไปได้แค่ 50-50
ดังนั้นการมุ่งเป้าที่ชัยชนะเบ็ดเสร็จมีความเสี่ยงมากเกินไปค่ะ”
คริชชี้นิ้วไปตามกระดานพลางอธิบาย
“ในทางกลับกัน ยอดผู้เสียชีวิตจะเป็นตัวกำหนดผลการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว แทนที่จะพยายามไล่ล่าผู้บัญชาการกับกำลังพล 1000 นาย สู้จัดการกับทหาร 1500 นายที่เหลือตรงนี้ ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและมีความเสี่ยงน้อยกว่าค่ะ…
อีกอย่างต่อให้หนีกลับไปได้ ด้วยความเสียหายมากมายขนาดนี้ ผู้บัญชาการฝ่ายศัตรูไม่น่าจะมีโอกาสได้กลับมาในสนามรบอีกแล้วค่ะ”
มันเป็นคำอธิบายที่ไร้เดียงสา แต่นั่นทำให้ชายร่างผอมที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ
เสนาธิการของผู้บัญชาการกองพลที่สาม ซัลวา ปั้นหน้าถมึงทึง
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้บังคับกองพัน(battalion commander) ที่สั่งการทหารหนึ่งพันนาย ไม่ก็ผู้บัญชาการกองพล(corps commander) ที่สั่งการทหารห้าพันนาย รวมถึงเสนาธิการ(adjutant)ของพวกเขาด้วย
ส่วนโบแกนมีตำแหน่งเป็นนายพล(general) ซึ่งเป็นยศสูงสุดของทางทหาร
ที่พวกเขาไม่สามารถโต้แย้งคำอธิบายของคริชต่อหน้านายพลได้
เพราะว่าเธอเป็นลูกสาวของเขานั่นเอง
แต่ความตึงเครียดก็ก่อตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
บรรยากาศที่หนักอึ้งทำให้คริชเอียงคอด้วยความสงสัย
แต่เธอก็ยังคงพูดต่อไป
“แน่นอนว่าถ้าเป็นไปได้ คริชก็อยากกำจัดผู้บัญชาการด้วย
แต่ในกรณีนี้ ผู้บัญชาการของศัตรูตัดสินใจถอนกำลังได้เร็วโดยที่ยังมีกำลังเสริมเหลืออยู่
คริชเลยมุ่งเป้าไปที่การสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุดแทน แต่มันก็น่าเสียดายที่คริชไม่สามารถจัดการผู้บัญชาการของศัตรูได้ทั้งๆที่ได้เปรียบขนาดนี้”
เมื่อพูดจบ คริชเงยหน้าขึ้นมองโบแกน
โบแกนพยักหน้าและประกาศออกมา
“ถูกต้อง การถอนกำลังในสถานการณ์ที่จะนำไปสู่การเสียเปรียบถือเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม
ถึงจะพลาดไปหน่อยตรงที่ประมาทเพราะเห็นว่าคริชเป็นมือใหม่ แต่ว่าหลังจากนั้นก็ถือว่าทำได้ดี”
ความจริงแล้วกลยุทธ์ที่คริชใช้นั้นแยบยลอย่างมาก
และนอกจากตอนช่วงเริ่มเกม ซัลวาก็เอาจริงมาตลอด
แต่ที่โบแกนพูดออกไปแบบนั้นก็เพื่อช่วยซัลวารักษาหน้า
เมื่อบรรยากาศตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เซเลเน่ก็เข้ามากระซิบข้างๆหูคริช
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ระวังคำพูดหน่อยสิ”
“……?”
เซเลเน่พูดเสียงเบาให้มีแค่คริชที่ได้ยิน
ส่วนคริชก็เอียงคอด้วยความสงสัยว่าเธอทำอะไรผิด
ถึงบอกไปก็คงไม่มีประโยชน์สินะ
เซเลเน่ถอนหายใจออกมาและลูบหัวคริชแบบลวกๆ
คริชตั้งใจจะบ่นว่ามันทำให้ผมเธอยุ่ง แต่เพราะมันรู้สึกดี สุดท้ายเธอเลยไม่ได้ว่าอะไร
เวลาผ่านไปครึ่งปีแล้วตั้งแต่ที่คริชเข้ามาอยู่ในบ้านคริสแตนด์
แม้ว่าความอยากเอาชนะของเซเลเน่ที่มีต่อคริชจะยังไม่จางหายไป
แต่เซเลเน่ก็เริ่มโอ๋คริชเหมือนเป็นน้องสาวแท้ๆแล้ว
ถึงในบางครั้งคริชจะแสดงความเป็นอัจฉริยะหลุดโลกของเธอออกมา แต่เนื้อแท้แล้วเธอเป็นเด็กที่ทั้งซื่อสัตย์และว่าง่าย
เธอชอบพูดอะไรตรงเกินไปและไม่ค่อยไวต่อความรู้สึกของคนอื่น
แต่ถึงอย่างนั้น เซเลเน่ก็มองว่าเธอแค่เป็นเด็กที่แปลกนิดหน่อยเท่านั้น
เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะมุมที่ชอบงานบ้านเรือนของคริช
เธอมีความสุขกับการทำอาหารและทำความสะอาด
ซึ่งเซเลเน่เองก็เหมือนกับเบรี่ ที่เห็นด้านนั้นของคริชมาโดยตลอด และทำให้เธอมองว่าคริชเป็นเด็กดีมีมารยาท ถึงแม้จะมีจุดที่แตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้างก็ตาม
โบแกนเล็งเห็นพรสวรรค์ในตัวคริชและเริ่มให้เธอเข้าเรียนหลักสูตรทหารด้วยกันกับเซเลเน่
แต่ว่าพักหลังมานี้ เซเลเน่เริ่มสงสัยว่านั่นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องรึเปล่า
แม้ว่าคริชจะมีความเป็นเลิศในด้านการวางแผนและยุทธวิธี แล้วยังไม่รวมทักษะการต่อสู้นั่นอีก
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ชื่นชอบการทำอาหารและขนมหวานไม่ต่างอะไรจากรูปลักษณ์ภายนอก
ซึ่งเบรี่ยืนกรานไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรก และเซเลเน่ก็เริ่มลังเลเหมือนกัน
ตัวคริชเองบอกว่าเธอพร้อมที่จะเรียนถ้ามันจำเป็น
เธอไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นผู้สืบทอดต่อจากโบแกนเหมือนกับเซเลเน่
ไม่ได้ปรารถนาในชื่อเสียงหรือคำเยินยอ
คริชแค่อยากจะมีพลังพอที่จะปกป้องตัวเองและคนรอบข้างได้ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
นั่นเป็นสิ่งที่เซเลเน่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอรู้ว่าคริชสูญเสียพ่อแม่ของเธอไปยังไง
เซเลเน่จึงรู้สึกผิดเมื่อโบแกนสอนทักษะเหล่านี้ให้กับคริชเพียงเพราะเธอมีพรสวรรค์
ใบหน้าของคริชยังคงไร้อารมณ์ แต่ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย
มันเป็นสีหน้าตอนที่เธออารมณ์ดี เธอกำลังมีความสุขที่โดนลูบหัว
หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานาน เซเลเน่เริ่มสังเกตเห็นข้อแตกต่างเล็กๆเหล่านี้
และทุกครั้งที่เซเลเน่เห็นด้านที่น่าเอ็นดูของคริช ความลังเลของเธอก็มีแต่จะเพิ่มพูนมากขึ้น
“ท่านพ่อคะ หนูขอพาคริชไปเดินดูสนามฝึกหน่อยได้มั้ยคะ?”
“อ้า ได้สิ แต่อย่าไปรบกวนการฝึกล่ะ”
===============================
เมื่อเซเลเน่และคริชมาถึงสนามฝึก สายตาของเหล่าทหารก็จับจ้องมาที่พวกเธอ
ในประเทศนี้ ราชอาณาจักรอัลเบรัน
ผู้สืบราชบัลลังก์ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศชาย และผู้หญิงก็สามารถขึ้นครองราชย์ได้
จึงไม่แปลกที่ในบางสมัยจะมีองค์ราชินีเป็นผู้ปกครองประเทศ
ด้วยเหตุนี้ สถานะของเพศหญิงในประเทศนี่จึงค่อนข้างมั่นคง
และทหารหญิงก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะอยากมาเป็นทหาร
ในกองทัพมีทหารหญิงอยู่ไม่มาก และทหารหญิงเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องหน้าตาดี
ถ้ามีสาวงามอย่างคริชหรือเซเลเน่โผล่มาในที่แบบนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่สายตาของพวกผู้ชายทั้งหมดจะจับจ้องมากที่พวกเธอ
แต่เซเลเน่สัมผัสได้ว่าในบรรดาสายตาเหล่านั้น ไม่ได้มีแค่ความชื่นชมและความปรารถนาดี
แต่ว่ามีความหวาดกลัวปะปนอยู่ด้วย ความหวาดกลัวที่มีต่อคริช
ในครั้งก่อนที่คริชมาที่นี่ เธอได้ฝึกกับพวกทหารและอัดพวกเขาจนยับ
แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นของพลัง
และเพราะความทรงจำในวันนั้น พวกทหารจึงหวาดกลัวคริช
เซเลเน่ถอนหายใจออกมาเบาๆ และจูงมือคริชออกมานั่งพักที่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆกับตัวอาคาร
โชคยังดีที่คริชไม่ได้ใส่ใจสายตาเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
ยัยนี่จะหน้าทนไปไหนเนี่ย เซเลเน่คิดในใจก่อนจะเอ่ยปากถาม
“คริชเธอชอบเรียนวิชายุทธวิธีพวกนี้รึเปล่า?”
“…ชอบ?”
“อืมมม ยกตัวอย่างเช่น มันสนุกเหมือนตอนทำอาหารรึเปล่า?”
“ถ้าเทียบกับทำอาหาร มันไม่สนุกเลย”
เมื่อได้ยินคริชตอบแบบไม่ลังเล เซเลเน่ก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ
“…เข้าใจล่ะ คริช เธอไม่ต้องฝืนมากับฉันก็ได้นะ
ต่อให้ไม่เรียนสายนี้คริชก็ยังเลือกทำอะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ
อย่างไปเป็นนักวิจัย หรือไม่ก็นักวิชาการ คริชไม่จำเป็นต้องมาเรียนอะไรที่โหดร้ายแบบนี้ เธอยังมีทางเลือกอื่นนะ”
“…ทางเลือก”
“ใช่ ฉันน่ะตั้งใจจะรับช่วงต่อจากท่านพ่อ แล้วต่อให้ฉันทำไม่สำเร็จ
ฉันก็ยังสามารถดูแลเธอกับเบรี่ได้ เธอไม่จำเป็นต้องฝืนมาทำอะไรที่เธอไม่ชอบก็ได้”
เซเลเน่พูดพลางจินตนาการถึงมัน
เพื่อที่จะดูแลพวกเธอทั้งสองคนได้ นั่นฟังดูเป็นอนาคตที่มีความสุข
ที่เซเลเน่พูดแบบนั้นเพราะว่าเธอได้คุยกับเบรี่มาก่อนหน้านี้
เบรี่ไม่เห็นด้วยอย่างมากที่พาคริชไปที่สนามฝึกและฝึกเธอให้เป็นทหาร
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอฝ่าฝืนการตัดสินใจของโบแกนอย่างชัดเจน
นั่นทำให้ทั้งโบแกนและเซเลเน่รู้สึกประหลาดใจ
พวกเขาคิดว่าในเมื่อคริชมีพรสวรรค์ด้านการทหารที่โดดเด่นขนาดนี้แล้ว ขืนปล่อยทิ้งไว้ก็คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย
พวกเขามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะให้คริชเข้าร่วมในกองทัพ
‘…ถึงแม้ท่านคริชจะต่อสู้ได้เก่งกว่าใครทุกคน
ถึงแม้ว่าเธออาจจะเป็นวีรสตรีที่ได้จารึกชื่อในประวัติศาสตร์
แต่ท่านคริชที่ฉันรู้จักเป็นแค่เด็กขี้อ้อนที่ชอบทำอาหารเท่านั้น…… เพราะแบบนั้น ฉันถึงไม่เห็นด้วยค่ะ’
นั่นคือคำตอบของเบรี่หลังจากที่พวกเขาถามถึงเหตุผลที่เธอไม่เห็นด้วย
‘ท่านคริชเป็นเด็กที่ใสซื่อและไร้เดียงสา เธอพร้อมจะเป็นทุกอย่างที่คุณขอให้เธอเป็น จะทำทุกอย่างที่คุณขอให้เธอทำ
แต่ฉันไม่อยากเห็นเธอเดินไปในเส้นทางนั้น นี่ก็แค่…… คำขอที่เห็นแก่ตัวของฉันค่ะ’
คริชคงทำหน้าที่ของเธอได้ดีแม้จะอยู่ในสนามรบ
เมื่อถึงคราวจำเป็น คริชจะไม่ลังเล และเธอแข็งแกร่งพอที่จะทำมันได้
แต่แค่เพราะว่าเธอทำได้ดี ไม่ได้แปลว่าเธออยากจะทำ
คริชชอบการถูกลูบหัว ชอบทำอาหาร และมีความสุขกับการกินของหวาน
เธอเป็นเด็กขี้อ้อนอย่างคาดไม่ถึง และอยากให้มีคนนอนด้วยมากกว่านอนคนเดียว
เซเลเน่ไม่อยากเห็นเด็กคนนี้มือเปื้อนเลือด
ความรู้สึกนี้ค่อยๆชัดเจนขึ้นเมื่อเธอได้เห็นว่าพวกทหารหวาดกลัวเธอแค่ไหน
‘ถ้าเป็นแค่กลุ่มอันธพาล ฝีมือระดับนี้ก็ถือว่าพอใช้ได้ค่ะ แต่คริชว่าพวกเขายังอ่อนแอเกินไปในฐานะทหาร ก็ในเมื่อพวกเขาถูกจ้างมาให้ฝึกต่อสู้และฆ่าคนนี่นา?’
คริชฝึกสอนพวกทหารหลังจากที่อัดพวกเขาเรียงคน
พอเซเลเน่เข้าไปเตือนว่าเธอทำเกินไปแล้ว คริชก็ตอบคำตอบที่น่าเหลือเชื่อนั้นออกมา
หลักเหตุผลของเธอนั้นถูกต้อง แต่ไร้ซึ่งการประนีประนอม
คำพูดของเธอมีแต่จะสร้างศัตรูและความหวาดกลัว
คริชยึดมั่นในหลักเหตุผลอยู่เสมอ และเธอมีความสามารถพอที่จะทำตามโดยไม่อาศัยการประนีประนอมใดๆ
แต่เธอไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้แม้ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหน
และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงหวาดกลัวเธอ
ไม่นานผู้คนก็เริ่มตีตัวออกห่างจากเธอ——
ซึ่งเซเลเน่ไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งที่เธอรู้สึกแบบนั้นเป็นเพราะเธอใช้เวลาอยู่กับคริชมานานจนเริ่มรู้สึกเอ็นดูคริชขึ้นมา
และที่เบรี่เป็นกังวลมาตลอดก็คงเป็นเพราะส่วนนั้นของคริชเหมือนกัน
คริชพิจารณาคำพูดของเซเลเน่อยู่ซักพักก่อนจะตอบกลับไป
“……จริงอยู่ที่คริชไม่ได้ชอบเท่าไหร่ แต่คริชว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ไว้ อีกอย่างคริชยังรู้สึกผิดอยู่”
“……รู้สึกผิด?”
“ถ้าในตอนนั้นคริชทำได้ดีกว่านี้ ท่านแม่ก็คงไม่ตาย”
คริชพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยน้ำเสียงตามปกติ ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
แต่ว่าเซเลเน่ไม่กล้าที่จะสบตาเธอและได้แต่ก้มหน้า
“…เธอ ชอบท่านแม่ของเธอรึเปล่า?”
“ค่ะ คริชเคยเป็นเด็กถูกทิ้ง แต่ว่าเธอดูแลคริชดีมากๆ”
คริชพยักหน้าพลางนึกถึงเกรซ
น่าเสียดายจริงๆ— ไม่สิ น่าเศร้าต่างหาก
คริชนึกถึงคำที่เบรี่เคยบอกไว้ ก่อนจะพูดต่อ
“คริชไม่อยากทำพลาดอีก คริชเลยอยากจะมีทางเลือกให้มากกว่านี้
แน่นอนว่าถ้าเป็นไปได้ คริชก็แค่อยากใช้ชีวิตอยู่กับเบรี่และเซเลเน่ แล้วทำอาหารด้วยกันไปวันๆเท่านั้นเอง”
สำหรับคริช สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทำอาหาร
รองลงมาคือเบรี่ ผู้ชี้ทางและผู้ร่วมอุดมการณ์ของเธอ และเซเลเน่เองก็พึ่งถูกเพิ่มเข้ามาเมื่อเร็วๆนี้
ชีวิตที่แสนสุขสบายของคริชได้รับการสนับสนุนโดยโบแกน และได้รับการปกป้องภายใต้สังคมขนาดใหญ่ที่เรียกว่าประเทศ
ยิ่งเธอได้ศึกษาและต่อยอดความรู้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเข้าใจโลกได้กว้างขึ้น
เธอได้เรียนรู้ว่าชีวิตการทำอาหารของเธอได้รับการปกป้องจากหลายปัจจัย
สำหรับคริช เบรี่เป็นผู้ร่วมอุดมการณ์และมีความสำคัญต่อเธออย่างมาก
เช่นเดียวกับโบแกนที่คอยสนับสนุนการใช้ชีวิตของคริช รวมถึงเซเลเน่ ลูกสาวของเขา
ทั้งโบแกนที่เป็นผู้ปกครองของเธอ และเซเลเน่ ต่างก็เป็นคนในกองทัพ
คริชจึงอยากจะอยู่ในฐานะที่สามารถปกป้องพวกเขาได้เมื่อตกอยู่ในอันตราย นั่นคือสิ่งที่คริชคิด
ตอนที่โจรป่าโจมตีหมู่บ้าน
ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดของคริชคือเธอไม่มีอำนาจและไม่สามารถสั่งการชาวบ้านได้——
ถ้าคริชมีอำนาจในการสั่งการคนคุ้มกันของหมู่บ้าน ปัญหาก็คงถูกแก้ไขอย่างง่ายดาย
แต่เพราะคริชเอาแต่ขี้เกียจและผลักภาระให้คนอื่น—— ผลก็คือโศกนาฏกรรมที่พรากเกรซและกอร์คา ผู้ปกครองทั้งสองคนของเธอไป
ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คริชก็แค่สนุกกับการทำอาหารไปตามปกติ
แต่ถ้ามีเหตุสุดวิสัยขึ้นมา มันคงจะแย่ถ้าเธอไม่สามารถทำอะไรได้ นั่นคือข้อสรุปที่คริชมี
ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มาจากความตั้งใจของเธอทั้งหมด แต่คริชก็จะทำตามความต้องการของโบแกนที่จะให้เธอฝึกฝนทักษะทางการทหารและขัดเกลาความสามารถของเธอ
ต่างจากที่หมู่บ้าน ทักษะด้านการฆ่าเป็นสิ่งสำคัญในกองทัพ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บซ่อนมันไว้
แต่คริชไม่ได้ตระหนักเลยว่าความเถรตรงต่อกฎระเบียบและหลักเหตุผลจนเกินเหตุของเธอเป็นบ่อเกิดของความหวาดกลัวที่เซเลเน่พูดถึง
“คริชจะลำบากถ้าโบแกนหรือเซเลเน่ตายไปโดยที่คริชไม่รู้ตัว
คริชเลยอยากจะอยู่ในที่ที่คริชสามารถปกป้องนายท่านกับเซเลเน่ได้”
“…คริช”
ไม่ว่าความรู้สึกและเหตุผลของคริชจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าคริชเอาใจใส่คนใกล้ตัวของเธอมาก
ถึงตามหลักแล้วมันจะไม่ได้มากจากความรัก
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ คำพูดที่เธอพูดออกไป และความรู้สึกของผู้ที่ได้ฟังมัน
เซเลเน่ตีความคำพูดของคริชไปตามที่เธอเข้าใจ และดึงคริชเข้ามากอดก่อนจะกระซิบให้เธอฟังเบาๆ
“ถ้างั้นฉันจะคอยปกป้องเธอเอง เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีก”
“…..แต่คริชว่าเซเลเน่น่าเป็นห่วงมากกว่านะ เซเลเน่อ่อนจะตาย”
“…..นี่ ฉันอุตส่าห์พูดประโยคน่าอายแบบนั้นออกไปก็หัดอ่านบรรยากาศซะบ้าง เธอนี่มันน่าโมโหจริงๆ ให้ตายสิ”
เซเลเน่มองคริชด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“เวลาใครพูดอะไรแบบนี้กับเธอ สิ่งที่เธอควรทำคืออยู่เงียบๆ แล้วตอบว่า ‘ค่ะ’ หรือไม่ก็ ‘ขอบคุณค่ะ’ เข้าใจมั้ย?”
“…..? เข้าใจแล้ว”
“ดี”
เซเลเน่ยิ้มและหยิกแก้มคริช
“เฮเอเน่ แอ้ม อันเอบ” (เซเลเน่ แก้ม มันเจ็บ)
“จบเรื่องไร้สาระไว้แค่นี้ก่อน คริช มาฝึกกับฉันหน่อยได้มั้ย?”
“โอเฮ…?” (โอเค)
เซเลน่าปล่อยแก้มคริชและดึงแขนเธอตามไป
และคริชก็ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข จนกระทั่งสงครามได้อุบัติขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า
===============================
TL note: จากนี้ไปศัพท์ทหารจะโผล่มารัวๆเลยล่ะครับ
จริงๆผมก็ไม่แน่ใจว่าต้นฉบับญี่ปุ่นกับฉบับแปลอังกฤษเขาใช้คำที่มีความหมายเดียวกันรึเปล่า
——แต่จะไปแกะศัพท์เฉพาะจากภาษาญี่ปุ่นผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน เลยขอยึดตามฉบับอังกฤษแล้วกันนะครับ!
ถ้ามีใครที่มีความรู้ด้านนี้ลองเสนอคำหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาได้นะครับ
ผู้มีจิตศรัทธาสามารถโดเนทให้ผู้แปลได้ที่
——————————
พร้อมเพย์: 0943075995
——————————
คำเตือน: การโดเนทไม่ได้ทำให้แปลเร็วขึ้นแต่อย่างใด