ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป - ตอนที่ 11 การตระหนักรู้และความปรารถนาของเด็กสาว
- Home
- All Mangas
- ตำนานวีรสตรีอันไร้ค่าของเด็กสาวต้องสาป
- ตอนที่ 11 การตระหนักรู้และความปรารถนาของเด็กสาว
บทที่ 11 การตระหนักรู้และความปรารถนาของเด็กสาว
ได้ฝึกดาบกับเซเลเน่ ได้ซื้อของ ทำอาหาร และทำความสะอาดกับเบรี่
ชีวิตในเมืองมีแต่เรื่องน่าตื่นตาตื่นใจและประสบการณ์ใหม่ๆเหมือนที่กาล่าพูดไว้ไม่มีผิด
สำหรับคริช เมืองนั้นเต็มไปด้วยความหรูหราที่ยากจะห้ามใจ โดยเฉพาะความหลากหลายของวัตถุดิบ เครื่องเทศ และอุปกรณ์ทำครัว
คริชรู้สึกพึงพอใจกับชีวิตใหม่อย่างมาก
คริชจิบไวน์ของเธอหลังจากที่เพลิดเพลินไปกับมื้ออาหาร มันเป็นไวน์ที่ถูกเจือจางโดยน้ำผลไม้เพื่อให้คริชดื่มได้
แต่ถึงอย่างนั้นคริชเป็นพวกคออ่อน เธอจึงเมานิดๆในระหว่างที่เก็บจานและไปอาบน้ำ
แม้จะอยู่ในห้องอาบน้ำ คริชกับเบรี่ก็ตัวติดกันตลอด
ถึงอ่างจะไม่ใหญ่เท่าอ่างอาบน้ำสาธารณะ แต่มันก็กว้างพอที่จะให้ทั้งคู่ลงไปแช่พร้อมกันได้
จู่ๆ คริชที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของเบรี่พลางเพลิดเพลินไปกับการแช่น้ำอุ่น ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“เบรี่ดูคล้ายท่านแม่มากเลย”
มันเริ่มตั้งแต่ที่เซเลเน่บอกคริชให้เรียกเธอว่าเซเลเน่เฉยๆก็ได้
เบรี่จึงขอให้คริชเรียกเธอด้วยชื่อธรรมดาๆเหมือนกัน
โดยเธออธิบายว่า ‘ถ้าท่านคริชจะเรียกคุณหนูด้วยชื่อแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเติมคุณนำหน้าชื่อฉันก็ได้นะคะ’
‘คุณเบรี่’ มันฟังดูเป็นทางการเกินไปและเบรี่ก็อยากลดระยะห่างระหว่างทั้งคู่ด้วย
มันเป็นความต้องการส่วนตัวของเบรี่ล้วนๆ แต่คริชก็ตอบตกลงอย่างว่าง่าย
เมื่อได้ยินคริชเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้ว เบรี่ก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
“…ท่านแม่ของท่านคริชเหรอคะ? ถือเป็นเกียรติมากเลยค่ะ… แต่ว่าคล้ายในแง่ไหนเหรอคะ?”
“อืมม…”
คริชเอียงหัว เธอพึมพำออกมาอย่างไม่ตั้งใจในระหว่างที่คิดหาคำอธิบาย
เธอแค่รู้สึกไปแบบนั้น แต่ก็คิดไม่ออกว่าทำไม
เกรซทำอาหารไม่เก่ง และต่อให้เธอพยายามทำความสะอาดแค่ไหนก็ยังมีฝุ่นเหลืออยู่ตามซอกมุมอยู่ดี
เกรซมักถูกมองว่าเป็นคนซุ่มซ่ามที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็วุ่นวายตลอด ต่างจากเบรี่ที่ทั้งฉลาดและมีฝีมือ
อ๊ะ ในที่สุดคริชก็นึกออกว่าสิ่งที่ทั้งคู่มีคล้ายกันคืออะไร
“ทั้งสองคนเก่งเรื่องการเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นล่ะ”
“เอ่อ เก่งเรื่องเป็นที่ชื่นชอบเหรอคะ…?”
เบรี่ทวนคำพูดอีกครั้งด้วยความงุนงง
แล้วคริชก็พยักหน้า
“ทั้งพ่อค้าแล้วก็ผู้คนในเมืองดูดีใจที่ได้เจอเบรี่ ท่านแม่เองก็เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนแบบนี้เหมือนกัน”
“อ้อ… ฟุฟุ ชมกันเกินไปแล้วนะคะ… ท่านแม่ของท่านคริชจะต้องเป็นคนที่วิเศษมากแน่ๆ”
“ใช่ค่ะ น่าเสียดายที่เธอตายแล้ว คริชอยากจะเรียนรู้วิธีสร้างความประทับใจที่ดีกับคนอื่นๆจากเธอให้มากกว่านี้”
คำพูดของคริชทำให้เบรี่ชะงักไปครู่หนึ่ง
เธอขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“น่าเสียดาย… หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
“ถ้าคริชระวังให้มากกว่านี้ ท่านแม่ก็คงไม่ตาย มันเลยเป็นเรื่องน่าเสียดาย ทั้งที่คริชชอบท่านแม่มากแท้ๆ”
เธอเลือกใช้คำผิดเหรอ? นั่นเป็นสิ่งแรกที่เบรี่คิดตอนที่เธอเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น
บางทีอาจเป็นเพราะว่าคริชกำลังเมานิดหน่อย
กระบวนการตัดสินใจของเธอทื่อลง ทำให้เธอไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาและน้ำเสียงของเบรี่
เบรี่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อไป
“นั่นหมายความว่า… เอ่อ คุณคงจะรู้สึกเศร้ามากๆที่สูญเสียพ่อแม่ไป… คงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก ใช่มั้ยคะ?”
เสียงของเบรี่แหบแห้งเล็กน้อย
“…ไม่นะคะ? คุณป้าเพื่อนบ้านกับท่านตาคอยเอาอาหารมาให้คริชตลอด แถมตอนนี้คริชก็มีชีวิตสุขสบายในบ้านหลังใหม่ ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องลำบากใจเลย”
คริชตอบด้วยความใสซื่อและไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ข้อสงสัยของเบรี่ได้รับการยืนยันแล้ว และเธอก็ถามคำถามต่อด้วยความระมัดระวัง
“…เอ่อ ท่านคริช ขอฉันถามคำถามอีกซักหน่อยได้มั้ยคะ?”
“…? ได้ค่ะ”
“ถ้างั้น—”
เบรี่ถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านของคริช
คำที่คริชเลือกใช้คือ ‘น่าเสียดาย’ ‘น่าผิดหวัง’ —— ไม่ใช่ ‘น่าเศร้า’
แม้ในขณะที่พูดถึงการจากไปอย่างน่าสลดของแม่ที่รับเธอมาเลี้ยง ดูแลคริชเหมือนเป็นลูกแท้ๆ
“ตอนนั้นมีเลือดออกมาเยอะมาก ขนาดคริชพยายามกดแผลไว้เลือดก็ไม่ยอมหยุด… พอนึกย้อนไปแล้ว มันเป็นความล้มเหลวของคริช”
แต่คริชกลับพูดถึงมันราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
เธอเสียแม่ไป แต่ก็ทำอะไรกับมันไม่ได้
เด็กสาวพูดออกมาราวกับว่าเธอไม่ได้ใส่ใจมันเลยซักนิด
“คริชน่าจะรีบขว้างดาบแล้วฆ่าคุณกาโด้ทิ้งซะ”
คำพูดของเธอมีความรู้สึกผิดปนอยู่ แต่ไม่มีความโศกเศร้าอยู่ในน้ำเสียงนั้น
การถามเรื่องความตายของพ่อแม่ใครซักคนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
แต่คริชยังคงสงบและเยือกเย็น
“คริชน่าจะฆ่าเขาเป็นคนแรก คริชตัดสินใจผิดไป”
“…ท่านคริช คุณไม่รู้สึกกลัวการสังหารผู้คนบ้างเหรอ?”
“…? ไม่ค่ะ ก็มันไม่ได้ทำให้คริชเจ็บปวดนี่นา”
“อย่างนั้น เหรอคะ…”
เบรี่ลูบหัวคริชและถามคำถามต่อไป
ในที่สุดเบรี่ก็เข้าใจว่าคริชไม่ใช่เด็กผู้หญิงธรรมดา
ท่านคริชคิดยังไงกับเรื่องความตาย หรือการฆ่าเหรอคะ?
คริชตอบว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี เพราะมันขัดต่อกฎระเบียบ
กฎที่ว่าคืออะไรคะ?
คริชตอบว่ามันระบบที่ช่วยปกป้องผลประโยชน์ของชุมชน
เพราะคริชอยู่ภายใต้การดูแลของชุมชน ของสังคม
มันจึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่คริชจะต้องเคารพกฎระเบียบและทำตัวให้เป็นประโยชน์
ซึ่งการกระทำใดๆที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนจัดว่าเป็น ‘สิ่งที่ดี’
“ถ้าเจอหมาป่าก็ต้องฆ่าทิ้ง คริชเลยคิดว่าการฆ่าโจรป่าเพื่อปกป้องหมู่บ้านเป็นสิ่งที่ดี แต่การแหกกฎและฆ่าคนเป็นเรื่องแย่ ส่วนนึงอาจเป็นเพราะคริชไม่ใช่คนคุ้มกันของหมู่บ้านก็ได้… ด้วยเหตุผลบางอย่าง สุดท้ายคริชเลยโดนเกลียด แต่คริชไม่ค่อยแน่ใจว่าเพราะอะไร”
คริชเอามือปิดหน้าด้วยความอับอาย
“ท่านปู่กับคุณป้าใจดีบอกว่าคริชไม่ได้ทำอะไรผิดและคริชจะไม่โดนลงโทษ แต่นั่นยิ่งทำให้คริชไม่เข้าใจ…”
คริชยังคงไม่เข้าใจว่าอะไรกันแน่คือ ‘สิ่งที่ดี’
เกรซจึงเป็นตัวอย่างที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ เช่นเดียวกับเบรี่
คริชยังอ่อนต่อโลกและชื่นชมในตัวทั้งคู่มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งคู่ต่างก็ใจดีกับคริช
คริชอธิบายว่านั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เธอชอบเกรซ และทำให้การตายของเธอถึงเป็นเรื่องน่าเสียดาย
“เพราะอย่างนี้นี่เอง…”
ในที่สุดเบรี่ก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆตอนที่เธออยู่กับคริช และหลับตาลง
เด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างแปลก แต่ก็น่ารัก ขยันขันแข็ง และอ่อนโยน
เบรี่ตระหนักว่าแท้จริงแล้วเธอเข้าใจคริชผิดไปตั้งต้น
“…ช่างน่าสงสารจริงๆ”
เบรี่กอดร่างผอมบางของคริชแน่น
“เบรี่……?”
เบรี่สัมผัสได้ว่าคริชยังขาดบางสิ่งบางอย่างในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไป
เธอฉลาดมากๆ มีแนวคิดที่แปลกใหม่และมีเอกลักษณ์
เป็นอัจฉริยะโดยไม่ต้องสงสัย
แต่ในทางตรงกันข้าม เธอขาดบางสิ่งที่สำคัญไป
อย่างไรก็ตาม เบรี่รู้สึกได้จากบทสนทนาเมื่อครู่ว่าสิ่งที่ขาดไปคืออะไร
“การใช้ชีวิตกับท่านแม่สนุกรึเปล่าคะ?”
“ค่ะ เธอใจดีมาก เหมือนกับเบรี่”
“ท่านคริชก็เลยรู้สึกเสียดายตอนที่เธอจากไปใช่มั้ยคะ?”
“อืม… ใช่ค่ะ มันน่าเสียดาย”
เบรี่ถอนหายใจออกมา
“ท่านคริช ความรู้สึกนั้นเรียกว่าความเศร้าค่ะ อย่างน้อยคนอื่นๆก็เรียกมันแบบนั้น”
“…..ความเศร้า?”
“ใช่ค่ะ สำหรับท่านคริชมันคงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่การเลือกใช้คำอาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ ดังนั้นจากนี้ไปถ้ามีใครถามเรื่องนี้อีก ได้โปรดบอกว่าคุณรู้สึกเศร้าด้วยนะคะ”
คริชนึกถึงคำพูดของกาเรนและพยักหน้า
เกเรนก็เคยพูดอะไรทำนองนี้เหมือนกัน
“…ท่านคริช คุณเคยรู้สึกว่า เวลาพูดกับใครซักคนแล้วเหมือนคุณกำลังคุยกันคนละเรื่อง คุณเคยรู้สึกว่า คุณไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆถึงพูดแบบนั้น หรือทำไมผู้คนถึงเสียใจหรือมีความสุขรึเปล่าคะ?”
“เอ่อ… ค่ะ”
มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริชบ่อยๆ
ผู้คนมักจะมีการตอบสนองที่แตกต่างไปจากที่คริชคาดไว้เสมอ
และนั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่คริชกังวลมากที่สุด
——เด็กประหลาด ผิดปกติ แปลกปลอม น่าขนลุก
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่รู้จักเธอ คำพูดเชิงลบเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกพูดขึ้นมามากที่สุด
มันเป็นคำที่คริชเคยได้ยินคนอื่นใช้พูดถึงเธอบ่อยๆ
ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คริชจะไม่พูดกับใครเลย
เพราะเธอรู้ตัวดีว่าความสามารถด้านการสื่อสารของเธอแย่แค่ไหน
เธอจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นมองเธอในแง่ร้ายผ่านการสนทนากับเธอ
แต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าการนิ่งเงียบนั้นก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกัน
มันเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกจนคริชไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไง
เมื่อการต่อบทสนทนานั้นไร้ประโยชน์
ตอนเธออยู่ที่หมู่บ้าน เธอจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบและปล่อยให้คนอื่นๆคาดเดากันเอาเอง
ด้วยความคิดตื้นๆว่ามันเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
แต่ผลสุดท้าย ชื่อเสียงด้านลบของเธอก็แพร่กระจายไปทั่ว
มันมีทางไหนที่คริชจะทำให้มันดีขึ้นได้มั้ยนะ?
“…..เบรี่เองก็มองว่าคริชประหลาดรึเปล่า?”
—— ท่านแม่ คริชเป็นเด็กประหลาดเหรอ? คริชน่าขนลุกรึเปล่า? ช่วยบอกทีว่าคริชทำผิดตรงไหน คริชอยากจะแก้
ตอนที่คริชยังเด็ก เธอเคยถามคำถามนี้ออกไป
ในตอนนั้นเกรซตอบว่า เธอไม่ได้ประหลาด มันเป็นเอกลักษณ์ของคริช ไม่ว่าใครก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
เธอดึงคริชเข้ามากอดและอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าคริชไม่ได้ประหลาด มันไม่ใช่ความผิดของคริช
เกรซขอร้องทั้งน้ำตาว่าอย่าพูดแบบนั้นอีก คริชจึงไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย
แต่คำถามนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ในจิตใจของเธอเสมอ
บางทีเบรี่อาจจะมีคำตอบที่แตกต่างไปจากเกรซ
เบรี่ฉลาดแล้วก็สอนเก่งกว่าเกรซ
นั่นทำให้คริชหวนนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาและถามออกไป
“…เคยมีคนพูดกับคุณแบบนั้นเหรอคะ?”
“อื้ม หลายๆคนชอบบอกว่าคริชประหลาด ไม่ก็น่าขนลุก”
แขนของเบรี่โอบรอบตัวคริชแน่นขึ้นเล็กน้อย
“แต่คริชไม่ค่อยเข้าใจว่าคริชประหลาดหรือน่าขนลุกตรงไหน”
คริชจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำด้วยสายตาว่างเปล่าพลางพูดพึมพำ
“อย่างที่เบรี่บอก คริชคุยไม่ค่อยเก่ง บางครั้งคริชก็ไม่เข้าใจว่าคนอื่นกำลังพูดเรื่องอะไร
คริชรู้ว่านั่นอาจเป็นสาเหตุที่คนอื่นๆมองว่าคริชประหลาด… แต่คริชไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”
คำพูดไม่ได้มีความหมายตรงตัวเสมอไป มันมีความแตกต่างเล็กๆซ่อนอยู่
ผู้คนมักจะเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ บางครั้งความในใจกับสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาก็แตกต่างกัน
หลายคนที่คริชคิดว่าเป็นมิตร แต่จริงๆแล้วพวกเขานินทาเธอลับหลัง
นั่นยิ่งทำให้คริชสับสน นั่นยิ่งทำให้เธอไม่เข้าใจ
“…..เพราะอย่างนั้น คุณเลยอยากจะเรียนรู้วิธีสร้างความประทับใจที่ดีสินะคะ?”
“อื้ม ทั้งเบรี่และท่านแม่ดูจะเก่งเรื่องนั้น”
ถ้าคริชคุยกับคนอื่นได้เก่งๆ เธอคงใช้ชีวิตง่ายขึ้นกว่านี้
แต่คริชไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
“ตอนเด็กๆ คริชก็เคยถามคำถามนั้น ท่านแม่บอกคริชว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของคริช คริชไม่ได้ประหลาด
แต่คริชรู้ว่าคนส่วนใหญ่มองว่าคริชประหลาดไม่ก็น่าขนลุก ต่างจากที่ท่านแม่บอก
เบรี่พอจะรู้คำตอบรึเปล่า?”
เบรี่นิ่งเงียบไปและครุ่นคิด
หลังจากที่เวลาผ่านไปซักพักหนึ่งเธอจึงพูดขึ้นมา
“…..ต้องขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ ถ้าให้พูดตามตรง ฉันว่าท่านคริชค่อนข้างแตกต่างไปจากคนอื่นๆ
อย่างน้อยๆคือท่านคริชไม่ใช่คนปกติ ท่านแม่ของท่านคริชเองก็คงคิดเหมือนกัน”
“…..ท่านแม่ก็ด้วยเหรอ?”
“ค่ะ แต่ฉันขอบอกก่อนว่าการแก้ปัญหานี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย… ก่อนอื่น ท่านคริช คุณเคยคิดว่าฉันประหลาดรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ?”
เบรี่ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“ฟุฟุ แต่คนอื่นๆก็ชอบบอกว่าฉันประหลาดเหมือนกัน ทั้งในทางดีแล้วก็ทางแย่เลยล่ะค่ะ”
“จริงเหรอ…?”
“ค่ะ เหมือนกับท่านคริชเลย”
เบรี่ไล่นิ้วไปตามผิวน้ำและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“…เมื่อเรามีอะไรที่แตกต่างไปจากคนอื่น ถ้ามองในแง่ดีมันคือเอกลักษณ์ แต่ถ้ามองในแง่ร้ายมันคือความน่าขนลุก”
เบรี่ใช้มือทั้งสองข้างตักน้ำขึ้นมาและปล่อยให้มันไหลตกกลับไป
เสียงน้ำที่ตกกระทบกัน ดังสะท้อนไปท่ามกลางความเงียบ
“เอกลักษณ์นั้นจะดีหรือแย่ก็ขึ้นกับมุมมอง อย่างที่ฉันบอกว่ามันไม่มีวิธีแก้ไขที่ตรงตัว
และนั่นเป็นเพราะมันมีอีกหลายปัจจัยคุณไม่สามารถทำอะไรกับมันได้”
“อย่างนั้น…เหรอคะ”
คริชทำแก้มป่อง ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
คริชไม่เคยกังขาในสติปัญญาของเบรี่
ถ้าเบรี่พูดแบบนั้น มันก็คงไม่มีทางแก้จริงๆ
คริชเองก็ผ่านการลองผิดลองถูกมาเยอะ แต่ถ้ามันไม่มีวิธีไหนที่จะช่วยได้จริงๆ
เธอก็ได้แต่ยอมแพ้
“ท่านแม่ของท่านคริชคงรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่เธอไม่อยากทำให้… ท่านคริชต้องผิดหวัง เธอจึงเลือกที่จะตอบไปแบบนั้น”
“ผิดหวัง……?”
“ค่ะ เพราะเธอรักท่านคริชมาก… เพราะเธอรักคุณ เธอจึงมีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของท่านคริช และในทางกลับกันเธอจะเสียใจถ้าเห็นท่านคริชผิดหวัง”
“…เพราะว่าท่านแม่รักคริช…งืออ”
เบรี่ยิ้มออกมาพลางมองคริชที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“จะว่าไป ทำไมท่านคริชถึงมาช่วยฉันทำงานเหรอคะ”
“เอ่อ… เบรี่สอนคริชหลายอย่าง แล้วก็ เอ่อ นอนกับคริช… แล้วก็ชา…… แล้วก็ขนม
คริชได้รับอะไรหลายๆอย่างมาจากเบรี่”
เสียงคริชเบาลงตอนที่เธอพูดถึงขนม แต่เธอก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมา ถึงจะมีตะกุกตะกักอยู่บ้างก็ตาม
เบรี่ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดต่อ
“นั่นเป็นเหตุผลที่คุณพยายามทำให้ฉันมีความสุขใช่มั้ยคะ?”
“… ค่ะ”
“ฟุฟุ ท่านคริชขี้กังวลเกินไปแล้ว”
เบรี่จับเอวของคริชขึ้นและหมุนตัวเธอให้หันหน้าเข้าหากัน
เบรี่ชูนิ้วขึ้นและฉีกยิ้มออกมา
“… ท่านคริชทำให้ฉันมีความสุขแล้วค่ะ อาจจะดูถือตัวไปหน่อย แต่ฉันก็รักท่านคริชเหมือนกัน ดังนั้นฉันเองก็อยากให้ท่านคริชความสุขด้วย”
เบรี่ลูบหัวคริชและมองเข้าไปในดวงตาของเธอ
คริชจ้องเบรี่กลับด้วยสีหน้าที่ดูมีความสุข
“ในทางกลับกัน ฉันไม่อยากทำให้ท่านคริชต้องผิดหวัง ท่านคริชเองก็…… ให้พูดเองก็ออกจะน่าอายไปหน่อย แต่คุณคงไม่อยากทำให้ฉันผิดหวังเหมือนกันใช่มั้ยคะ?”
“ค่ะ…… อ๊ะ”
เบรี่กอดคริชและบอกเธอด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“นั่นคือความรู้สึกชอบค่ะ เมื่อคุณชอบใครซักคนมากๆ มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความรัก ถึงจะดูคล้ายกัน แต่ถ้าลองคิดว่า… ความรู้สึกที่อยากจะทำอะไรให้ใครซักคน เพื่อให้คนคนนั้นมีความสุข นั่นแหละคือความรัก ซึ่งท่านคริชก็มีมันเหมือนกัน”
“ความรัก…”
สำหรับคริช การทำอะไรเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นคือความปรารถนาดี
นั่นคือคำจำกัดความอันคลุมเครือที่คริชมี
เกรซที่ยอมตายเพื่อปกป้องเธอ
ความสงสัยเล็กๆที่เธอมีตอนที่คุยกับกาล่า
ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มประกอบขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง และชัดเจนขึ้นเล็กน้อยในจิตใจของคริช
“ใช่ค่ะ และเมื่อคุณรักใครซักคน คุณจะไม่รู้สึกว่าด้านที่แปลกของคนคนนั้นดูน่าขนลุก นั่นเป็นสาเหตุที่ท่านแม่ของท่านคริชรู้ว่าท่านคริชแตกต่างจากคนอื่น แต่กลับบอกว่านั่นเป็นเอกลักษณ์ของท่านคริช… นั่นเป็นสาเหตุที่เธอบอกว่าท่านคริชไม่ได้แปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย”
คริชรู้สึกประทับใจในความปราดเปรื่องของเบรี่อีกครั้ง
คำอธิบายของเธอเข้าใจง่ายสำหรับคริชมาก
“…ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่าความแปลกที่ท่านคริชมีเป็นเรื่องประหลาดหรือน่าขนลุก พูดตามตรง ฉันมองว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของท่านคริชมากกว่า”
เบรี่กอดคริชแนบกับอกแล้วกระซิบเบาๆให้เธอฟัง
“…ถึงมันจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของคุณ แต่อย่างน้อย นั่นคือความรู้สึกที่ฉันมีและความรู้สึกนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดังนั้นถ้าเกิดวันหนึ่งคุณมีเรื่องอะไรให้กังวลใจ ได้โปรดมาปรึกษาฉันด้วยนะคะ”
“……ได้ค่ะ”
เบรี่เป็นคนใจดี ฉลาด ทำอาหารเก่ง ทำอะไรได้ทุกอย่าง
แถมตอนนี้เธอยังอาสามาเป็นอาจารย์ให้คริช
นั่นทำให้คริชมีความสุขมาก
แล้วคริชจะตอบแทนอะไรให้เธอดีล่ะ?
คริชครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในหัว
“ต่างจากฉันหรือคนอื่นๆ ท่านคริชน่ะเข้มแข็ง เพราะท่านคริชมีจิตใจที่แข็งแกร่ง
จนทำให้บางครั้งมันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจจิตใจของคนอื่น”
“จิตใจ ที่แข็งแกร่ง?”
“ใช่ค่ะ สำหรับฉัน… ถ้าเกิดว่านายท่าน คุณหนู หรือท่านคริชจากไปด้วยเหตุสุดวิสัย
ฉันคงจะเศร้ามากๆ จะเจ็บปวดจนไม่สามารถทำอาหารได้ แม้ว่าฉันจะรักการทำอาหารมากแค่ไหน
คนส่วนมากจะเป็นแบบนั้นเมื่อสูญเสียคนที่รักไป”
น้ำเสียงของเบรี่เศร้าหมองลงเล็กน้อย
คริชนึกถึงตอนที่กาล่าเสียลูกชายไปและพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
“ผู้คนที่มีจิตใจอ่อนแอต่างเข้าใจในความรู้สึกนั้น พวกเขาจะปลอบประโลมซึ่งกันและกัน และค่อยๆฟื้นคืนจากความโศกเศร้าไปด้วยกัน เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้า แต่เพราะว่าท่านคริชแข็งแกร่ง มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับท่านคริชที่จะเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น… ซึ่งสำหรับฉัน มันฟังดูโดดเดี่ยวเอามากๆ”
“โดดเดี่ยว…?”
“ค่ะ ท่านคริช… คุณชอบทำอาหารกับฉันรึเปล่าคะ?”
“ค่ะ มากๆเลย… เบรี่มีความรู้เรื่องการทำอาหารเยอะแยะ เรื่องที่เบรี่ลองทำอะไรใหม่ๆอยู่ตลอดก็สุดยอดเหมือนกัน ได้ทำอาหารด้วยกันแล้วสนุกมากๆเลย”
“ฟุฟุ ได้ยินท่านคริชพูดแบบนั้นแล้วฉันมีความสุขมากเลยค่ะ แต่ก็แอบเขินนิดนึงนะเนี่ย”
ด้วยรอยยิ้มขบขัน เบรี่เริ่มพูดต่อ
“ทั้งท่านคริชและฉันต่างก็ชอบในสิ่งเดียวกัน นั่นคือการทำอาหาร นั่นเป็นสาเหตุที่ฉันชอบทำอาหารกับท่านคริช และท่านคริชก็รู้สึกเหมือนกัน”
เบรี่จับมือของคริชขึ้นมาแล้วใช้นิ้วชี้ของทั้งคู่แตะกัน
“…นั่นเป็นเพราะเราทำงานร่วมกันด้วยความรู้สึกเดียวกัน”
เบรี่ผละนิ้วของเธอออกและพูดต่อไป
“ยกตัวอย่างเช่น ถ้าฉันไม่สนใจเรื่องการทำอาหารเลย ท่านคริชจะยังรู้สึกเหมือนเดิมรึเปล่าคะ?”
“ก็อาจจะ… ไม่”
“ที่ท่านคริชรู้สึกว่าการทำอาหารกับฉันสนุกกว่าการทำอาหารคนเดียว เป็นเพราะว่าท่านคริชได้รับความสนุกของฉันเติมเข้าไปด้วย”
เบรี่พูดด้วยน้ำสียงร่าเริงพลางประสานนิ้วมือของทั้งคู่เข้าด้วยกัน
“…นั่นเป็นหลักสำคัญของการเห็นอกเห็นใจ ความสุขสามารถเพิ่มพูนได้ ส่วนความเศร้าก็จะถูกแบ่งเบาออกไป
นั่นทำให้ฉันคิดว่าการที่ไม่สามารถเห็นใจคนอื่นได้คือความโดดเดียว”
“…อย่างนี้นี่เอง”
คริชพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ถ้าสิ่งที่สนุกอยู่แล้วสามารถสนุกมากขึ้นไปได้อีก
มันก็คงเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆที่จะไม่ได้สัมผัสมัน
ถ้าเทียบกันแล้ว คริชชอบการทำอาหารกับเบรี่มากกว่าตอนที่ทำคนเดียวเยอะเลย
“เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีจิตใจที่แข็งแกร่งเหมือนท่านคริช
พวกเขาจึงต้องการใครซักคนที่จะแบ่งปันความสุขหรือความทุกข์ร่วมกัน
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับท่านคริช และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอื่นๆมองว่าท่านคริชประหลาด”
เบรี่ชี้นิ้วแตะริมฝีปากและครุ่นคิด ซักพักก่อนจะพยักหน้า
เธอจับเอวคริชอีกครั้งและจัดท่านั่งของคริชใหม่ด้วยรอยยิ้ม
“…นี่อาจไม่ใช่วิธีที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ แต่อย่างน้อยในตอนนี้เรามาเริ่มจากการแบ่งปันความสนุกกันก่อนดีกว่าค่ะ”
“แบ่งความสนุก…”
“ค่ะ ด้วยวิธีนี้ คุณอาจจะค่อยๆเข้าใจความหมายของความเห็นใจมากขึ้น…
เหล็กน่ะต้องตีตอนยังร้อน หลังอาบน้ำเสร็จเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ”
ทันทีที่พูดจบ เบรี่ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับน้ำที่สาดกระเซ็น
คริชที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันเอียงคอพลางจ้องมองการเคลื่อนไหวของหน้าอกที่เปลือยเปล่าของเบรี่
“เอ่อ เบรี่ เราจะทำอะไรเหรอ?”
“สิ่งที่ท่านคริชชอบ… ซึ่งก็คือการทำอาหาร วันนี้เราจะทำของหวานกันค่ะ”
เบรี่ประกาศออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
===================================
“คือว่า ฉันยุ่งมากนะ… แล้วดึกดื่นป่านนี้ทำไมฉันต้องออกมาทำขนมด้วย…”
เซเลเน่จ้องเบรี่เขม็งด้วยสีหน้าหงุดหงิด เธอโดนเบรี่ลากออกมาระหว่างกำลังทบทวนบทเรียนอยู่ในห้อง
“ก็เพราะตอนกลางวันคุณหนูยุ่งตลอดเลยนี่คะ”
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ……”
“ท่านคริชคะ ช่วยคุณหนูสวมผ้ากันเปื้อนทีค่ะ”
“ได้ค่ะ”
คริชทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เธอถือผ้ากันเปื้อนมาให้เซเลเน่ที่ยังอยู่ในชุดนอนรุ่ยๆ
การทำของหวาน เป็นหนึ่งในขั้นตอนเพื่อการเรียนรู้ของคริช
ด้วยข้ออ้างนี้ พวกเธอยังสามารถจัดปาร์ตี้น้ำชาและมีคุกกี้กินหลังเสร็จงานอีกด้วย
แน่นอนว่านั่นทำให้คริชมีความสุขมาก เธอจ้องมองเซเลเน่ด้วยแววตาเป็นประกาย
“คะ คือว่านะ ฉันน่ะ เอ่อ…”
“ไม่อยาก เหรอ…?”
พวกเธอคุยกันไว้ว่าจะจัดปาร์ตี้น้ำชากันที่ห้องของเซเลเน่
แต่เบรี่บอกคริชว่าถ้าเซเลเน่ไม่เอาด้วยจริงๆ ก็คงต้องเลื่อนไปเป็นวันอื่น
ซึ่งเบรี่ที่อยู่กับเซเลเน่มาตั้งแต่ยังเล็กรู้ดีว่าเธอไม่มีทางปฏิเสธแน่
แต่ว่าคริชไม่รู้เรื่องนั้น เธอจึงถามออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
สายตาลูกหมาหงอย
ด้วยแรงกดดันจากคริช เซเลเน่ได้แต่เบือนหน้าหนีและสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้
ก็ได้ เธอพูดตอบเสียงเบา
สีหน้าของคริชสดใสขึ้นมาในทันที เธอสวมผ้ากันเปื้อนผ่านหัวของเซเลเน่อย่างร่าเริง
และผูกสายรัดไว้รอบเอวเล็กๆของเธอ
“ท่านคริชคะ คุณหนูยังไม่เคยทำคุกกี้มาก่อน ฝากดูแลเธอให้ดีด้วยนะคะ”
“ได้ค่ะ!”
“……เบรี่ แล้วเธอล่ะทำอะไร?”
“ฉันก็จะนั่งดูพวกคุณสองคนด้วยรอยยิ้มไงคะ”
“เธอนี่มัน…”
เซเลเน่จ้องเบรี่เขม็ง แต่เบรี่ก็ไม่สะทกสะท้าน
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ พวกเราต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน กิจกรรมสานสัมพันธ์อย่างการทำขนมเป็นเรื่องสำคัญนะคะ เป็นโอกาสดีเลยนะคะ”
“เธอสนุกของเธอคนเดียวล่ะสิไม่ว่า…”
“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อยค่ะ ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการตอกไข่ ท่านคริช ช่วยสอนเธอด้วยค่ะ”
“ได้ค่ะ! เซเลเน่ มาทางนี้”
“อย่าดึงสิ ฉันกำลังไปอยู่น่า…”
ด้วยการคะยั้นคะยอของคริช เซเลเน่จึงเข้าร่วมการทำคุกกี้กับพวกเธออย่างไม่ค่อยเต็มใจ
เซเลเน่มีความชำนาญในวิชาดาบ แต่เธอไม่เหมาะกับงานฝีมืออย่างแรง——
พูดง่ายๆคือเธอเป็นเด็กผู้หญิงซุ่มซ่ามที่ไม่ใส่ใจรายละเอียด
ทั้งทำเศษเปลือกไข่ตกลงไปบ้าง ทั้งตวงแป้งเกินบ้าง
แต่ทุกครั้งที่เซเลเน่ทำพลาด คริชจะคอยบอกและสอนวิธีที่ถูกต้องอย่างใจเย็น
ถ้ามีเปลือกไข่ก็ต้องตักออก ถ้าใส่แป้งเกินก็ต้องปรับส่วนผสมอื่นให้เหมาะสมกัน
สุดท้ายพวกเธอเลยทำคุกกี้ออกมาเยอะกว่าที่ตั้งใจไว้มาก
แต่นั่นก็เป็นผลลัพธ์ที่น่ายินดีสำหรับคริชและทำให้เธออารมณ์ดีสุดๆ
ดูเหมือนว่าเซเลเน่เองก็คล้อยตามไปกับคริชด้วย ถึงเธอจะบ่นนู่นนี่ในตอนแรก แต่ตอนนี้เธอก็เริ่มรู้สึกสนุกเหมือนกัน
ลิ้นของเซเลเน่ถูกขัดเกลาด้วยอาหารของเบรี่มาตลอด ทำให้เธอมีประสาทรับรสที่ยอดเยี่ยม เธอให้ข้อเสนอมากมายเกี่ยวกับการแต่งกลิ่นและเพิ่มส่วนผสมต่างๆเพื่อเติมแต่งรสชาติของคุกกี้
ถึงบางสูตรจะล้มเหลว แต่คริชไม่เคยทดลองทำคุกกี้มากมายขนาดนี้มาก่อนและเพลิดเพลินไปกับการชิมรสชาติของพวกมัน
โชคดีที่พวกเธอเตรียมแป้งผสมไว้เพียบ ซึ่งต้องขอบคุณเซเลเน่(ที่ใส่แป้งเกิน)
ทำให้พวกเธออบกองทัพคุกกี้หลากรสออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา
หลังจากที่ทำเสร็จ พวกเธอก็แวะไปหาโบแกน
โบแกนที่กำลังเคลียร์งานเอกสารประหลาดใจกับการเยี่ยมเยือนที่กะทันหันนี้
แต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ในทันทีเมื่อเบรี่บอกว่านี่คือคุกกี้ที่เซเลเน่ทำเป็นครั้งแรก
เขารับคุกกี้มาและเริ่มกินมันอย่างมีความสุข
ถึงเซเลเน่ดูจะเขินเอามากๆ แต่เธอก็ไม่สามารถเก็บซ่อนสีหน้ามีความสุขที่ได้เห็นโบแกนกินคุกกี้ของเธอไว้ได้
ในขณะเดียวกัน คริชก็จ้องมองเซเลเน่ด้วยความสงสัย
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาปาร์ตี้น้ำชาที่ห้องของเซเลเน่
ซึ่งเจ้าตัวกำลังอารมณ์เสียเพราะโดนเบรี่แหย่เล่นก่อนหน้านี้
แต่เธอก็กลับมาร่วมวงสนทนาในตอนที่เริ่มคุยเรื่องส่วนผสมและกลิ่นที่ใช้
ชิ้นนี้อร่อย ชิ้นนี้เปรี้ยวไป ส่วนชิ้นนั้นหวานไป
ชิ้นนี้ถึงจะขมและไม่อร่อย แต่ว่ามีกลิ่นที่หอม
คริชชอบอันที่หวานๆ ส่วนเบรี่ชอบชิ้นที่มีรสเค็มแทรกเล็กน้อย
เซเลเน่ชอบรสจัดหน่อยอย่างรสเปรี้ยว
ฉันว่าวิธีนี้ดีกว่านะคะ, ไม่ล่ะ ลองทำแบบนี้ดีกว่า——
แม้ว่าพวกเธอจะมีความชอบแตกต่างกัน และมีความคิดเห็นที่หลากหลาย
แต่มันก็เป็นการพูดคุยที่มีประโยชน์มากสำหรับคริช
คุกกี้รสหวานก็ดี แต่ถ้าใส่เกลือลงไปนิดหน่อยจะช่วยดึงรสชาติออกมาได้มากขึ้น
อันที่มีรสเปรี้ยวก็เหมาะที่จะใช้กินตัดเลี่ยน
คุกกี้แต่ละชิ้นมีจุดเด่นของความอร่อยที่แตกต่างกัน
นั่นทำให้คริชได้ค้นพบอะไรหลายๆอย่างจากความคิดเห็นที่หลากหลายเหล่านี้
มันสนุกมากกว่าการอบและชิมคุกกี้คนเดียวเยอะเลย
พอนึกย้อนไป คริชเองก็ชอบอะไรแบบนี้มาตลอด
คริชชอบให้คนอื่นๆชิมอาหารที่เธอทำ
อาหารวันนี้เป็นยังไงบ้างคะ? อร่อยกว่าเมื่อวานรึเปล่าคะ?
นั่นเป็นสิ่งที่เธอมักจะถามเกรซ กอร์คา กาเรน และกาล่าอยู่เสมอ
—— อา มันคือความสนุกนี่เอง ในที่สุดคริชก็เข้าใจ
ถ้าเกรซได้กินคุกกี้พวกนี้เธอจะรู้สึกยังไงกันนะ
แล้วกอร์คาล่ะ
คริชได้แต่จินตนาการ แต่ว่าพวกเขาไม่อยู่แล้ว
เธอไม่มีโอกาสได้ถามพวกเขาอีกแล้ว
เมื่อคริชนึกถึงสีหน้ายิ้มแย้มของโบแกนและเซเลเน่ที่เธอเห็นเมื่อซักครู่
ความรู้สึกที่แปลกประหลาดบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นในอกของเธอ
คริชขมวดคิ้วและเอียงคอ
“คริช? เป็นอะไรไป?”
“…เปล่าค่ะ แค่ว่า ที่หน้าอกมันรู้สึกแปลกๆ…”
“…เธอกินเยอะไปรึเปล่า?”
“เอ๋ อืออ…”
พอเซเลเน่พูดขึ้นมา บางทีมันก็อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นก็ได้
คริชหน้าแดงและทำตาลอกแล่ก
ทั้งที่กินมื้อเย็นไปแล้วแท้ๆ แต่เธอกลับกินคุกกี้ไปเยอะมาก
เธอรู้สึกว่าท้องของเธอป่องขึ้นมานิดนึง
“ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ”
เบรี่กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับจานที่มีอะไรบางอย่างสีแดงๆใสๆเรียงรายอยู่
“…นั่นคืออันที่เธอแอบทำตะกี้ใช่มั้ย?”
“ฟุฟุ เป็นเซอร์ไพรส์เล็กๆน้อยๆน่ะค่ะ คิดว่าถ้าได้ทานอะไรสดชื่นๆต่อจากคุกกี้ก็น่าจะดี นี่ค่ะ ท่านคริช”
เจ้าสิ่งที่ดูใสๆส่ายไปมาเมื่อเบรี่วางมันลงตรงหน้าคริช
มันสวยเหมือนกับอัญมณี ซึ่งคริชไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
“มันคือเยลลี่ค่ะ ฟุฟุ ดูเหมือนว่าท่านคริชจะพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกสินะคะ… เอ้า อ้ามม”
เบรี่ใช้ช้อนตักมันขึ้นมาบางส่วน และยื่นใส่ปากของคริช
เจ้าวุ้นเด้งไปมาบนลิ้นของเธอด้วยรสชาติที่คุ้นเคย
“ชาเหรอ…?”
“ถูกต้องค่ะ! เป็นไงบ้างคะ? ถึงท่านคริชจะชอบของหวานๆก็เถอะ
แต่หลังทานของหวานแล้ว ทานอะไรที่สดชื่นแบบนี้ต่อก็ไม่เลวใช่มั้ยล่ะคะ?”
“อร่อยย”
“ฟุฟุ ยังมีอีกเยอะเลยนะคะ ฉันไม่แน่ใจว่าท่านคริชจะชอบรึเปล่า แต่ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจแล้วล่ะค่ะ เอ้า อ้ามม”
“งุ่มมม…”
เซเลเน่มองทั้งคู่ด้วยสีหน้าหงุดหงิดพลางกินเยลลี่ของตัวเอง
“…เธอไม่ใช่เด็กๆที่ต้องมีคนคอยป้อนแล้วนะ”
“ท่านคริชตอนโดนป้อนน่ะน่ารักจะตาย เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ
ฟุฟุ อิจฉารึเปล่าคะ? ท่านเซเลเน่ก็เอาด้วยสิคะ”
“ฮะ ฝันไปเหอะ…”
“เบรี่ ทำยังไง ทำยังไง… อันนี้ทำยังไง?”
คริชที่หลงใหลในสัมผัสของเยลลี่ถามเบรี่ด้วยแววตาเป็นประกาย
เบรี่หัวเราะเบาๆพลางลูบหัวคริช และสัญญาว่าพรุ่งนี้จะสอนวิธีทำให้เธอ
===================================
กว่าเวลาน้ำชาจะจบลงก็ดึกมากแล้ว
คริชที่ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและความสุข ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง——
โดยมีเบรี่นั่งอยู่ข้างๆพลางลูบหัวเธอเบาๆ
ครั้งหน้าอยากจะลองทำคุกกี้แบบนั้นแบบนี้อีกเยอะแยะ
เบรี่พยักหน้ารับข้อเสนอของคริชด้วยรอยยิ้ม
“…เป็นยังไงบ้างคะ ปาร์ตี้น้ำชาสนุกรึเปล่า”
“ค่ะ มากๆเลย…”
“ดีแล้วค่ะ นั่นคือการแบ่งปันความสนุกที่ฉันพูดถึง
ความสนุกจะเพิ่มพูนขึ้นเมื่อได้แบ่งปันมันให้กับคนอื่นๆ…
การทำอาหารเองก็เป็นอีกตัวอย่างนึง”
เบรี่ใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากของคริชและพูดขึ้น
“ทุกคนมีความชอบที่แตกต่างกัน ทุกคนมีความเห็นที่แตกต่างกัน
แต่ทั้งฉันและท่านคริช แม้กระทั่งคุณหนู ต่างก็มีความรู้สึกที่เหมือนกัน”
“…เหมือนกัน?”
“ใช่ค่ะ”
เบรี่ยิ้มอย่างร่าเริง
“ท่านคริช คุณหนู และฉันต่างก็อยากกินอะไรดีๆ อยากทำอะไรอร่อยๆ
คุณสัมผัสได้รึเปล่าว่าพวกเรากำลังมีความรู้สึกแบบเดียวกันอยู่”
“…ค่ะ”
“นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าการเข้าใจผู้อื่นค่ะ ด้วยการทำอาหาร
ท่านคริชสามารถเข้าใจความรู้สึกของพวกฉันได้
ถ้าคุณค้นพบความรู้สึกที่เรามีตรงกัน
นั่นจะทำให้ท่านคริชยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างและสนุกไปกับมันได้ค่ะ”
เบรี่จับมือคริชและประสานนิ้วของทั้งคู่เข้าด้วยกัน
“เพราะตั้งแต่แรกแล้ว ทุกๆอย่างต่างก็มีจุดเริ่มต้นที่เชื่อมถึงกัน”
“…ตั้งแต่แรก”
“ใช่ค่ะ ทั้งฉันและท่านคริชก็เหมือนผลไม้จากต้นไม้ต้นเดียวกัน”
เบรี่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหลังมือของคริชอย่างอ่อนโยน
“เหมือนกับการทำอาหาร ทุกคนต่างก็มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ มีสิ่งที่น่าสนใจและน่าเบื่อหน่าย
ทุกคนมีสิ่งเหล่านี้ที่แตกต่างกัน… แต่ว่านะคะ
ทั้งความรู้สึกสนุก ความชอบอะไรซักอย่าง ความสุข หรือแม้กระทั่งความอับอาย
ทุกๆคนต่างมีความรู้สึกเหล่านี้เหมือนกัน”
“…คริชก็ด้วยเหรอ?”
“ค่ะ แม้ว่าท่านคริชจะแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ว่าลึกๆแล้ว ท่านคริชเองก็เหมือนกัน
ท่านคริชไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคุณหนู นายท่าน ท่านกาเรน หรือแม้แต่ฉันก็ด้วย”
เบรี่ปล่อยมือของคริชและปัดผมออกจากใบหน้าของเธอ
สัมผัสจากมือของเบรี่เหมือนกับของเกรซ ทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน
เป็นความรู้สึกที่คริชชอบ
“คุณสามารถมองเห็นจิตใจของผู้คนได้เพียงเปลือกนอกเท่านั้น พูดอีกอย่างคือ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะไม่เข้าใจจิตใจของคนอื่น เหมือนกับการที่คุณไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ก้นหม้อซุปได้ ส่วนลึกสุดในจิตใจของผู้คนก็ไม่สามารถมองเห็นได้เช่นกัน
ท่านคริชสามารถคาดเดารสชาติของซุปจากการมองด้วยตาได้รึเปล่าคะ?”
“……คริชต้องลองชิมรสชาติดูก่อน”
คริชตอบไปตามตรง เธอหน้าแดงเล็กน้อยตอนที่พูดคำว่า ‘ชิมรสชาติ’ ออกไป
เบรี่พยักหน้าตอบ
“ใช่แล้วค่ะ แต่ถ้าคุณรู้ว่าหัวหอม มะเขือเทศ และเนื้อมีรสชาติยังไง
ถ้าคุณรู้รสชาติของวัตถุดิบทั้งหมดในซุปหม้อนั้น คุณจะพอจินตนาการรสชาติของมันได้รึเปล่าคะ?”
“เอ่อ…ได้ค่ะ”
เบรี่เอาหน้าผากของเธอแตะกับของคริชและยิ้มออกมา
“ฟุฟุ ความรู้สึกของคนก็เหมือนกันค่ะ… ยกตัวอย่างเช่น เพราะฉันรู้ว่าความสนุกเป็นยังไง และยังรู้ว่าความเศร้าและการผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากรู้สึกยังไง ฉันเลยสามารถจินตนาการสิ่งที่คนอื่นจะรู้สึกถ้าต้องเจอสถานการณ์แบบเดียวกันได้ นั่นแหละคือสิ่งที่ท่านคริชยังขาดหายไป”
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่อ่อนโยนของเบรี่จ้องเข้าไปในดวงตาสีม่วงของคริช
“ถ้าได้เรียนรู้ความรู้สึกของท่านคริชให้มากขึ้น และคิดในสิ่งที่ต่างๆมากขึ้น
มองตัวเองให้ลึกลงไป ก็จะค้นพบอะไรหลายๆอย่างมากขึ้นไปอีก——”
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด คริชรู้สึกเหมือนถูกมนต์สะกดจากดวงตาของเบรี่
คริชทำได้เพียงเหม่อมองดวงตาของเธอ ฟังเสียงของเธอ
คริชหรี่ตาลงและเพลิดเพลินไปกับสัมผัสอันอบอุ่นบนหน้าผาก
“ซักวันนึง ท่านคริชจะสามารถเข้าความรู้สึกของคนอื่นได้…
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย และคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเริ่มเห็นผล
แต่ด้วยวิธีนี้ ฉันมั่นใจว่าท่านคริชจะได้รับในสิ่งที่คุณปรารถนา
“สิ่งที่ปรารถนา?”
“ใช่ค่ะ… บางสิ่งที่ท่านคริชยังไม่ตระหนักถึง บางสิ่งที่ทรงคุณค่าสำหรับท่านคริช”
คริชขมวดคิ้วด้วยความสับสน ทำให้เบรี่หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไม่ต้องคิดมากก็ได้
ขนาดตัวฉันเองก็ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนกัน ไม่มีสิทธิที่จะไปบอกท่านคริชหรอกนะคะ……
บางครั้งฉันเองที่พยายามจะทำความเข้าใจใครจากเปลือกนอกที่เห็น ก็เข้าใจคนอื่นผิดไปโดยไม่รู้ตัว เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดนั่นแหละค่ะ”
“จริงเหรอ…?”
“ใช่ค่ะ ทุกๆคนก็เป็นแบบนี้ ไม่ใช่แค่ท่านคริชหรอกนะคะ”
หลังจากหยุดคิดไปซักพัก เบรี่ก็บอกกับคริช
“มาลองแบบนี้ดีกว่า ถ้าเกิดว่าท่านคริชคิดอยากจะทำอะไร
ขอให้ท่านคริชไม่ต้องเกรงใจ ช่วยพูดออกมาแล้วบอกกับฉันทีนะคะ”
เบรี่ชี้นิ้วขึ้นมาและยิ้มอย่างขี้เล่น
“ช่วยบอกฉันว่าท่านคริชชอบอะไร
อะไรที่ทำให้ท่านคริชมีความสุข หรืออะไรที่ทำให้ท่านคริชไม่มีความสุขก็ด้วย
…ฉันว่าการเข้าใจจิตใจของตัวเองก่อนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ”
“… เอ่อ เรื่องนั้น…”
“ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ถึงเวลาที่ท่านคริชเริ่มง่วงแล้ว และฉันว่าท่านคริชน่าจะชอบกอดใครซักตอนนอนใช่มั้ยคะ?”
“เอ๋…?”
คริชหน้าแดง เมื่อเห็นดังนั้นเบรี่ก็ยิ้มออกมา
“นี่แหละค่ะที่ฉันพูดถึง ช่วยพูดสิ่งที่คุณต้องการให้ฉันฟังทีค่ะ
เอาเลยค่ะ บอกมาเลย”
คริชเบิกตากว้าง แต่ก็ยังพยักหน้า
“อะ เอ่อ…… ชะ ช่วย นอนกับคริช ได้มั้ยคะ”
“ฟุฟุ ได้เลยค่ะ ด้วยความยินดี”
เบรี่จูบคริชเบาๆที่กลางหว่างคิ้ว ก่อนจะนอนลงข้างๆเธอ
เธอดึงคริชเข้ามากอดและสางผมของคริชออกจากใบหน้าอย่างอ่อนโยน
ตัวของเบรี่ทั้งนุ่มแล้วก็อบอุ่น
“ฉันเองก็เหมือนกันค่ะ ฉันชอบเวลามีใครให้กอดตอนนอน และหลับไปพร้อมกับความอบอุ่นนั้น
พวกเราใจตรงกันเลยนะคะ… พักหลังมานี้ คุณหนูเริ่มอายที่จะนอนกับฉันแล้ว
ดังนั้นจากนี้ไปต้องขอฝากตัวด้วยนะคะ ท่านคริช”
“…ได้ค่ะ”
“การซื่อสัตย์กับตัวเองเป็นสิ่งที่ดีนะคะ เหมือนกับครั้งนี้ ช่วยบอกเรื่องของคุณให้ฉันฟัง
อาจจะยังไม่ต้องคิดถึงคนอื่นก็ได้ แต่อย่างน้อยฉันอยากจะเข้าใจท่านคริชให้มากกว่านี้
ถ้าเข้าใจจะซึ่งกันและกันแล้ว จะมีทั้งความสุขและความสนุกอีกมากมายที่รออยู่…
ทั้งสำหรับฉัน และสำหรับท่านคริชด้วย”
เบรี่จูบลงที่หว่างคิ้วของคริชอีกครั้ง
คริชสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความจั๊กจี้ แต่เธอก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร
มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี แต่มันทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ
คริชจะรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่นใจทุกครั้งที่ถูกกอดและลูบหัวแบบนี้
มันเป็นความรู้สึกที่คริชชอบ
“ไม่ว่าเราจะไขว่คว้าหาความสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่ทุกคนย่อมมีข้อบกพร่อง
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องยอมรับและเติมเต็มความปรารถนาของกันและกัน ด้วยวิธีนี้ เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แสนวิเศษ และตามหาความสุขได้ค่ะ”
“ความสัมพันธ์ที่แสนวิเศษ?”
“ใช่แล้วค่ะ การที่เราได้นอนด้วยกันแบบนี้ ทั้งฉันและท่านคริช…
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้พวกเราทั้งคู่ก็มีความสุขแล้ว
นั่นเป็นเพราะเราได้เติมเต็มความปรารถนาของกันและกันยังไงล่ะคะ”
เบรี่กระซิบเสียงเบาให้คริชฟัง
‘เมื่อลูกพยายามที่จะเข้าใจใครซักคน และคนคนนั้นก็พยายามที่จะเข้าใจลูก
เมื่อนั้นทั้งสองคนก็จะสามารถมอบความสบายใจให้แก่กันได้
นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าความสุข
นี่คริช ในบางครั้งแค่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้ว ความสุขมันเป็นแบบนั้น’
คริชนึกถึงคำที่เกรซเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้ว
ตอนนั้นคริชพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเข้าใจผู้อื่น ซึ่งมันก็ค่อนข้างได้ผล
ต้องขอบคุณเกรซที่ทำให้เธอสามารถอาศัยอยู่ในหมู่บ้านได้
แต่คำพูดของเกรซในตอนนั้นคงหมายถึงคนอย่างเบรี่นี่แหละ
ทั้งคู่เหมือนกันมากเลย
“……เบรี่เหมือนกับท่านแม่มากจริงๆด้วย”
“ตายจริง เป็นเกียรติมากเลยค่ะ”
เบรี่หัวเราะออกมาเบาๆและพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ทีละเล็ก ทีละน้อย เรามาเรียนรู้เรื่องท่านคริชให้มากกว่านี้กันเถอะค่ะ”
“เรียนรู้ เกี่ยวกับคริช?”
“ใช่ค่ะ…ตัวตนอีกด้านที่แม้แต่ท่านคริชยังไม่รู้จัก ตัวตนอีกด้านที่ท่านคริชใฝ่ฝันถึง”
แล้วซักวันนึง คุณจะเข้าใจ เบรี่กอดคริชไว้แนบอก
คริชพยักหน้า เธอเพลิดเพลินไปกับสัมผัสอันอบอุ่นและค่อยๆหลับตาลง
===================================
TL note: หวานกว่าคุกกี้ก็โมเม้นต์คู่นี้นี่แหละ
ขอโทษที่หายไปตั้งอาทิตย์นึงนะครับ แต่ตอนนี้ยาวจุใจเลยแหละ หวังว่าจะพอชดเชยกันได้นะครับ5555
ตอนนี้เป็นตอนที่ชอบมากๆตอนนึงเลย เบรี่พูดดีมากก แล้วในที่สุดคริชก็เจอกับคนที่เข้าใจในตัวเธอจริงๆซักที
ผู้มีจิตศรัทธาสามารถโดเนทให้ผู้แปลได้ที่
——————————
พร้อมเพย์: 0943075995
——————————
คำเตือน: การโดเนทไม่ได้ทำให้แปลเร็วขึ้นแต่อย่างใด